HR รีพอร์ต
Everything in hr job.
หมวดหมู่
Recent Post
about
Category: กฎหมายแรงงาน
-
เมื่อความลับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ลองนึกภาพว่าคุณเป็นนักพัฒนาแอปสมาร์ทโฟนรายหนึ่ง วันหนึ่งคุณได้รับโทรศัพท์จากบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง พวกเขาต้องการให้คุณพัฒนาแอปพิเศษที่จะปฏิวัติวงการโซเชียลมีเดีย แต่ก่อนที่พวกเขาจะเล่าไอเดียให้ฟัง สิ่งแรกที่เขาขอให้คุณทำคือ “ลงชื่อในเอกสารนี้ก่อน” เอกสารนั้นคือ “สัญญารักษาความลับ” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า NDA (Non-Disclosure Agreement) ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากในโลกธุรกิจปัจจุบัน NDA คืออะไรกันแน่? พูดง่ายๆ แล้ว สัญญารักษาความลับคือ “สัญญาสัญญา” ระหว่างคนสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายสัญญาว่าจะไม่เอาข้อมูลลับของกันและกันไปเล่าให้คนอื่นฟัง เหมือนกับการทำ “คำมั่นสัญญา” ให้เก็บความลับ แต่มีผลทางกฎหมายด้วย ตัวอย่างจากชีวิตจริง: สมมติว่าคุณเป็นพ่อครัวที่มีสูตรต้มยำกุ้งลับสุดอร่อย คุณต้องการให้ร้านอาหารใหญ่มาใช้สูตรนี้ แต่กลัวว่าเขาจะเอาสูตรไปให้คนอื่น การลงนาม NDA จะทำให้เขาผิดกฎหมายถ้าเอาสูตรของคุณไปบอกใคร ทำไม NDA ถึงสำคัญ? ในโลกธุรกิจ ข้อมูลคือพลัง บริษัทใหญ่ๆ มักมี “ความลับทางธุรกิจ” ที่หากรั่วไหลไปได้ อาจทำให้เสียเปรียบคู่แข่งหรือเสียหายอย่างมหาศาล iPhone รุ่นแรก ปี 2007 ก่อน iPhone จะเปิดตัว พนักงานของ Apple ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโปรเจคนี้ต้องลงนาม NDA…
-
เงินเปอร์เซ็นต์จากค่าตั๋วโดยสารที่ลูกจ้างได้รับ ไม่ถือเป็นค่าจ้าง ตามกฎหมายแรงงาน เพราะ… ดังนั้น ศาลฎีกาตัดสินว่า “เงินเปอร์เซ็นต์จากค่าตั๋วโดยสาร ไม่ใช่ค่าจ้าง” และไม่ต้องนำมาคำนวณจ่ายค่าทำงานในวันหยุด สรุป เงินที่ได้จากยอดขาย หรือเปอร์เซ็นต์จากรายได้ อาจไม่นับเป็นค่าจ้างเสมอไป! ขึ้นอยู่กับว่า เป็นค่าตอบแทนเวลาทำงานปกติหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๘๑-๙๙๑/๒๕๒๖ (เงินเปอร์เซ็นต์) #hrรีพอร์ต
-
คดีนี้เกี่ยวกับการตีความว่า “เงินนายหน้า” เป็นค่าจ้างหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาตัดสินว่า… 📌 กรณีนี้ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าโจทก์มีวันและเวลาทำงานปกติหรือไม่ 📌 คู่ความไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องเวลาทำงานมาต่อสู้ในศาล 📌 หากฝ่ายจำเลยสามารถพิสูจน์ได้ว่า โจทก์ไม่มีเวลาทำงานปกติ ผลคดีอาจเปลี่ยนไป ดังนั้น ศาลฎีกาตัดสินว่า เงินนายหน้าในคดีนี้ “ไม่ใช่ค่าจ้าง” สรุป ถ้าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าผู้รับเงินมีเวลาทำงานปกติ เงินนายหน้าอาจไม่ถูกนับเป็นค่าจ้าง ตามกฎหมายแรงงาน! คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๒๔/๒๕๒๗ (ค่านายหน้า) #hrรีพอร์ต
-
คดีนี้เกิดจากการที่โจทก์ (ผู้ฟ้อง) ฟ้อง บริษัท ก. จำกัด (นายจ้าง) โดยอ้างว่า เงินเปอร์เซ็นต์จากการขายสินค้าควรนับเป็นค่าจ้าง ตามกฎหมายแรงงาน แต่ ศาลฎีกาตัดสินว่า เงินเปอร์เซ็นต์นี้ “ไม่ใช่ค่าจ้าง” เนื่องจาก… ดังนั้น เงินเปอร์เซ็นต์ที่ได้รับจากการขายสินค้า ถือเป็นค่าตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจของตัวเอง ไม่ใช่ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน สรุป ถ้าบุคคลไม่มีเวลาทำงานที่แน่นอน และได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ถือเป็นสถานะอิสระ ไม่ใช่ลูกจ้าง และ เงินนั้นไม่ถือเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน! คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๙/๒๕๓๑ (เงินเปอร์เซ็นต์) #hrรีพอร์ต
-
ในคดีนี้ โจทก์ (ลูกจ้าง) ฟ้อง บริษัท ก. จำกัด (นายจ้าง) โดยอ้างว่า เงินเปอร์เซ็นต์ที่ได้รับจากการขายสินค้า ควรนับเป็น ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน และใช้เป็นฐานคำนวณค่าชดเชย แต่ ศาลฎีกาตัดสินว่าเงินเปอร์เซ็นต์นี้ “ไม่ใช่ค่าจ้าง” เนื่องจาก… ดังนั้น เงินเปอร์เซ็นต์ที่ได้รับจากการขายสินค้า ไม่ถือเป็นค่าจ้าง ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และ ไม่นับเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย สรุป ถ้าการจ่ายเงินเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย โดยที่ผู้ขายไม่มีเวลาทำงานแน่นอน เงินนั้นไม่ใช่ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน และ ไม่นับเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย ตอนเลิกจ้าง! คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๓-๒๑๘/๒๕๓๖ (เงินเปอร์เซ็นต์) #hrรีพอร์ต
-
คดีนี้ นายจ้างกับลูกจ้างมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินชดเชยตอนเลิกจ้าง โดยมีประเด็นว่า เงิน “จูงใจ” หรือค่าคอมมิชชั่นที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้าง ควรนับเป็น ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน หรือไม่ ศาลฎีกาชี้ชัดว่า แม้เงินจูงใจนี้จะคำนวณจากผลงาน เช่น ยอดขายรายเดือน ไตรมาส หรือรายปี แต่เงินดังกล่าว ไม่ใช่ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน มาตรา 5 เพราะ… ดังนั้น เงินจูงใจนี้ ไม่ใช่ค่าจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 นายจ้างจึง ไม่ต้องนำมาคิดรวมเพื่อจ่ายค่าชดเชยตอนเลิกจ้าง คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่ให้บริษัทจ่ายค่าชดเชยเพิ่ม โดยนับรวมเงินจูงใจเข้าไปด้วยนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงพิพากษาให้บริษัทชนะคดี สรุป เงินจูงใจหรือคอมมิชชั่นตามเป้ายอดขาย “ไม่ใช่ค่าจ้าง” นายจ้าง ไม่ต้องนำมาคิดรวมค่าชดเชย ตอนเลิกจ้าง เพราะจ่ายเพื่อกระตุ้นยอดขาย ไม่ใช่ตอบแทนงานปกติ. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๔๖/๒๕๔๘ (คอมมิชชั่นเป็นเงินจูงใจ) #hrรีพอร์ต
-
ในคดีนี้ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าคอมมิชชั่น 1.75% จากยอดขาย ที่นายจ้างได้รับจากเขตพื้นที่ซึ่งลูกจ้างรับผิดชอบ นอกเหนือจากเงินเดือนปกติ นายจ้างอ้างว่า มี ระเบียบภายใน (เอกสารหมายเลข จ.2) ที่กำหนดว่า จะไม่จ่ายเงินค่านายหน้า แบบนี้ให้กับพนักงาน แต่ ศาลฎีกาชี้ชัดว่า เงินค่านายหน้าดังกล่าวถือเป็น “ค่าจ้าง” ตามกฎหมายแรงงาน เพราะเป็น ค่าตอบแทนจากการทำงานในเวลาปกติ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2515 ระเบียบที่นายจ้างอ้างว่า ห้ามจ่ายค่าจ้างประเภทนี้จึงขัดต่อกฎหมายแรงงาน ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ส่งผลให้ ระเบียบนั้นเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับใช้ เมื่อนายจ้าง ถูกเตือนและยอมจ่ายค่าคอมมิชชั่นนั้นแล้ว จึงไม่สามารถเรียกเงินคืนจากลูกจ้างได้ เพราะเป็นเงินที่ต้องจ่ายตามกฎหมายอยู่แล้ว สรุปสั้น ๆ: ค่าคอมมิชชั่นตามผลงานขาย คือ “ค่าจ้าง” ตามกฎหมายแรงงาน แม้นายจ้างมีระเบียบห้ามจ่าย ก็ ใช้ไม่ได้ เพราะ ขัดกฎหมายแรงงาน และเป็น โมฆะทันที! ศาลยืนยันลูกจ้างต้องได้รับ และนายจ้างไม่มีสิทธิเรียกคืนเงิน. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๑๕/๒๕๒๐ (ค่านายหน้า)…
-
จำเลยอ้างว่า ค่าคอมมิชชั่นจากยอดขาย ไม่ใช่ค่าจ้าง จึงไม่ต้องเอามาคิดรวมในการคำนวณ ค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง แต่ ศาลฎีกาชี้ชัดว่าเงินค่าคอมมิชชั่นที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ เป็น ค่าตอบแทนในการทำงานช่วงเวลาปกติ ถือเป็น ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน ต้องนำมารวมเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย แม้โจทก์จะอุทธรณ์ว่า จำนวนค่าคอมมิชชั่นที่ศาลแรงงานกลางคำนวณเฉลี่ยไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง (ศาลคำนวณเฉลี่ยเดือนละ 9,171.25 บาท แต่โจทก์อ้างว่าได้จริงเดือนละ 13,175 บาท)แต่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่อง ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางตัดสินไว้แล้ว สรุป ค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้า = ค่าจ้างตามกฎหมาย ต้องเอามารวมคำนวณค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง และการอุทธรณ์จำนวนเงินต้องอยู่ในกรอบกฎหมายเท่านั้น ศาลแรงงานกลางทำถูกต้องแล้วที่ใช้ค่าคอมเฉลี่ยรวมเป็นค่าจ้างรวมเดือนละ 24,321.25 บาท ในการคิดค่าชดเชย. (๑๑) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๔๔/๒๕๓๑ (ค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนการขาย) #hrรีพอร์ต
-
นายจ้างเดิมตกลงจ่าย ค่าคอมมิชชั่น ให้ลูกจ้าง (โจทก์ที่ 1 และ 2) ในอัตรา 1% ของยอดขายที่เก็บเงินจากลูกค้าได้ ต่อมา เปลี่ยนหลักเกณฑ์ใหม่ให้คอมมิชชั่นลดลงตามระยะเวลาที่ลูกค้าชำระเงิน เช่น ลูกจ้างยังต้องทำยอดขายให้ถึงเป้าหมาย 70% จึงมีสิทธิ์ได้ค่าคอมมิชชั่น ศาลวินิจฉัยว่า ถึงแม้นายจ้างจะเปลี่ยนเงื่อนไข แต่เงินค่าคอมมิชชั่นนี้ก็ยังถือเป็น ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน เพราะจ่ายเป็นค่าตอบแทนตามผลงานในเวลาทำงานปกติ และลูกจ้างมีหน้าที่ทั้งขายและติดตามทวงหนี้อยู่แล้ว สรุป ค่าคอมมิชชั่นแบบนี้ต้องถือว่าเป็นค่าจ้าง และ ต้องนำไปรวมคำนวณค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง ตามกฎหมายแรงงานมาตรา 5 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (๒) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๓๓-๖๕๓๔/๒๕๕๖ (ค่านายหน้า) #hrรีพอร์ต
-
คดีนี้เกี่ยวข้องกับ ค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยว ที่จำเลยจ่ายให้กับพนักงานขับรถและพนักงานยกของ โดยจำเลยกำหนด อัตราค่าตอบแทนต่อเที่ยวไว้อย่างแน่นอน และสามารถคำนวณตามจำนวนเที่ยวที่พนักงานทำได้ในเวลาทำงานปกติ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยวนี้ถือเป็น “ค่าจ้าง” ตามนิยามของ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 เนื่องจากเป็นค่าตอบแทนที่นายจ้างมุ่งหมายให้เป็นค่าจ้างสำหรับการทำงาน ไม่ใช่เป็นเงินที่จ่ายเพื่อจูงใจให้ทำงานหนักขึ้น ดังนั้น ค่าคอมมิชชั่นในกรณีนี้ต้องถือเป็น ค่าจ้าง และมีผลต่อการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๙๔ – ๕๔๐๔/๒๕๔๗ (ค่าคอมมิชชั่น) #hrรีพอร์ต