มีหนังสือเล่มหนึ่งที่หลายคนเรียกว่า “ไบเบิลของผู้จัดการ” นั่นคือ “The Daily Drucker” ของ Peter F. Drucker ชายผู้ที่โลกยกย่องว่าเป็น “พ่อแห่งการจัดการสมัยใหม่” หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่ตำราธุรกิจธรรมดา แต่เป็นเหมือนคู่มือชีวิทที่สอนเราให้รู้จักทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” แทนที่จะวุ่นวายกับ “การทำให้ถูกต้อง”
เรื่องเล่าของคนธรรมดา
ลองนึกภาพคุณณัฐ พนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง ที่ทำงานหนักทุกวัน ตื่นเช้ามาก็เปิดอีเมล์ ตอบข้อความ เข้าประชุม ทำรายงาน จนกลับถึงบ้านตอนดึก แต่กลับรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรสำคัญเลย เหมือนวิ่งอยู่กับที่
หรือคุณสมชาย ผู้จัดการขายที่มีผลงานดี แต่ทีมงานมีปัญหากันเรื่อย เพราะเขาชอบสั่งงานแบบ “ทำตามที่บอก อย่าถามมาก” จนคนในทีมไม่กล้าเสนอความคิดเห็น
หรือคุณมาลี เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ที่วิ่งไปวิ่งมาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่จ่ายตลาด ทำอาหาร คิดเงิน จนไม่มีเวลาคิดว่าจะขยายธุรกิจหรือปรับปรุงคุณภาพอย่างไร
เหล่านี้คือตัวอย่างของคนที่ “ทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง” แต่ไม่ได้ “ทำสิ่งที่ถูกต้อง” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ Drucker ต้องการสอนเราผ่านหนังสือเล่มนี้
จุดเปลี่ยนมุมมอง
1. การจัดการตนเองมาก่อนจัดการคนอื่น
Drucker เริ่มต้นด้วยการบอกว่า “รู้จักตัวเองก่อน” ซึ่งฟังดูธรรมดา แต่จริงๆ แล้วยากมาก
ยกตัวอย่าง คุณณัฐที่เล่าไปเมื่อสักครู่ เมื่อเขาเริ่มจดบันทึกว่าใช้เวลาไปกับอะไรบ้างในหนึ่งสัปดาห์ เขาก็พบว่า:
- ใช้เวลา 3 ชั่วโมงต่อวันกับอีเมล์ (ส่วนใหญ่ไม่สำคัญ)
- เสียเวลา 2 ชั่วโมงในการประชุมที่ไม่มีวาระชัดเจน
- ทำรายงานที่ไม่มีใครอ่าน 1 ชั่วโมงต่อวัน
เมื่อรู้แล้ว เขาก็เริ่มปรับเปลี่ยน:
- เช็คอีเมล์แค่ 3 ครั้งต่อวัน ช่วงเช้า เที่ยง และเย็น
- ปฏิเสธการประชุมที่ไม่จำเป็น หรือขอวาระล่วงหน้า
- ใช้เวลาที่ประหยัดได้ทำงานสำคัญที่ต้องใช้สมาธิ
ผลลัพธ์คือ เขาทำงานได้มีประสิทธิผลมากขึ้น แม้จะใช้เวลาน้อยลง
2. ศิลปะแห่งการตัดสินใจ
Drucker สอนว่า การตัดสินใจที่ดีต้องเริ่มจากการ “กำหนดปัญหาให้ถูก” ไม่ใช่รีบแก้อาการ
เอาเรื่องคุณสมชาย ผู้จัดการขายมาเป็นตัวอย่าง เขาเจอปัญหาที่ยอดขายลดลง ปฏิกิริยาแรกคือ “เร่งให้ทีมขายเร็วกว่าเดิม” แต่เมื่อใช้หลักของ Drucker มาวิเคราะห์:
ขั้นที่ 1: หาปัญหาที่แท้จริง
- ยอดขายลดลงเพราะอะไร?
- เพราะคู่แข่งมีสินค้าใหม่?
- เพราะราคาแพงเกินไป?
- หรือเพราะทีมขายขาดทักษะ?
ขั้นที่ 2: รวบรวมข้อมูล เขาไปคุยกับลูกค้าและพบว่า ปัญหาหลักคือ “บริการหลังการขายแย่” ไม่ใช่ตัวสินค้า
ขั้นที่ 3: หาทางเลือกและผลที่ตามมา
- ทางเลือกที่ 1: ปรับปรุงทีมบริการหลังการขาย
- ทางเลือกที่ 2: ลดราคาเพื่อแข่งขัน
- ทางเลือกที่ 3: พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
ขั้นที่ 4: ตัดสินใจและทำ เขาเลือกปรับปรุงบริการหลังการขาย ผลลัพธ์คือ ยอดขายกลับมาสูงกว่าเดิม และลูกค้าเก่าแนะนำลูกค้าใหม่มาเพิ่ม
3. การจัดการเวลาอย่างชาญฉลาด
เวลาเป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนมีเท่าๆ กัน แต่ทำไมบางคนทำได้มาก บางคนทำไม่ทัน?
คุณมาลี เจ้าของร้านอาหารเป็นตัวอย่างที่ดี เธอเคยคิดว่าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองถึงจะดี แต่เมื่อใช้หลัการของ Drucker:
ขั้นที่ 1: บันทึกการใช้เวลา เธอพบว่าใช้เวลา 4 ชั่วโมงต่อวันกับการจ่ายตลาด ซึ่งจริงๆ แล้วพนักงานก็ทำได้
ขั้นที่ 2: แยกงานที่สำคัญออกจากงานที่เร่งด่วน
- งานสำคัญ: พัฒนาเมนูใหม่, วางแผนการตลาด, ฝึกพนักงาน
- งานเร่งด่วน: จ่ายตลาด, เก็บเงิน, จัดโต๊ะ
ขั้นที่ 3: มอบหมายงานที่ไม่จำเป็นต้องทำเอง เธอฝึกพนักงานให้จ่ายตลาด และจัดระบบเก็บเงินให้ชัดเจน
ขั้นที่ 4: โฟกัสกับงานสำคัญ เธอใช้เวลาที่ประหยัดได้พัฒนาเมนูใหม่ และวางแผนขยายสาขา
ผลลัพธ์คือ ร้านของเธอมีเมนูหลากหลายขึ้น ลูกค้าเพิ่ม และเธอมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น
4. ภาวะผู้นำที่แท้จริง
Drucker บอกว่า “ผู้นำคือคนที่มีคนติดตาม” ไม่ใช่คนที่มีตำแหน่ง
กลับไปที่คุณสมชาย ผู้จัดการขาย เขาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานจากการ “สั่ง” เป็นการ “นำ”:
เก่า: สั่งแบบเจ้านาย
- “ไปขายให้ได้ 10 รายวันนี้”
- “อย่าถามมาก ทำตามที่บอกไป”
- “ใครทำไม่ได้ก็ลาออกได้”
ใหม่: นำแบบผู้นำ
- “เป้าหมายของเราคือ 10 ราย มีใครมีไอเดียว่าจะทำอย่างไร?”
- “อุปสรรคที่พบคืออะไร? เราจะแก้ไขร่วมกันยังไง?”
- “ใครต้องการพัฒนาทักษะเพิ่ม? ผมจะช่วยหา training ให้”
ผลลัพธ์คือ:
- ทีมขายกล้าเสนอความคิดเห็น
- หาวิธีการขายใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ยอดขายเพิ่มขึ้น และทุกคนมีความสุขกับการทำงาน
บทเรียนที่ลึกซึ้ง
การมองไปข้างหน้า
Drucker สอนให้เรามองอนาคต ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาปัจจุบัน
มีบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง เจ้าของบริษัทมองแค่ว่า “เราขนส่งสินค้า” แต่เมื่ออ่าน Drucker แล้ว เขาเริ่มคิดว่า “เราช่วยลูกค้าให้สินค้าไปถึงมือผู้บริโภค”
การเปลี่ยนมุมมองนี้ทำให้:
- เขาเริ่มให้บริการ tracking สินค้าแบบ real-time
- มีบริการจัดส่งแบบด่วน
- มีบริการจัดส่งแบบกำหนดเวลาได้
- และขยายไปสู่บริการ e-commerce fulfillment
จากบริษัทขนส่งธรรมดา กลายเป็น “โซลูชั่นการจัดส่งครบวงจร” รายได้เพิ่มขึ้น 300% ในสองปี
การทำงานกับคนต่าง Gen
ในยุคนี้ ที่ทำงานมี Gen X, Gen Y, และ Gen Z ทำงานด้วยกัน Drucker สอนให้เรารู้จักใช้จุดแข็งของแต่ละคน
เช่น ในบริษัท IT แห่งหนึ่ง:
- Gen X (รุ่น 40-50): มีประสบการณ์ ใจเย็น เหมาะกับงานวางแผนยาว
- Gen Y (รุ่น 30-40): สมดุล มีภาวะผู้นำ เหมาะเป็นตัวกลางประสานงาน
- Gen Z (รุ่น 20-30): เก่งเทคโนโลยี สร้างสรรค์ เหมาะกับงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
แทนที่จะบ่นว่า “เด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจ” หรือ “คนรุ่นเก่าล้าสมัย” ผู้จัดการคนนั้นจัดทีมแบบผสมผสาน:
- ให้ Gen X วางแผนกลยุทธ์
- ให้ Gen Y เป็น project manager
- ให้ Gen Z ทำ prototype และทดสอบ
ผลลัพธ์คือ ผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีทั้งความมั่นคง ทันสมัย และใช้งานง่าย
การนำไปใช้
สำหรับคนทำงาน
เช้าวันจันทร์ แทนที่จะกระโดดเข้าไปทำงานทันที ให้หยุดถามตัวเอง:
- อะไรคืองานที่สำคัญที่สุดสัปดาห์นี้?
- ถ้าทำได้แค่ 3 อย่าง จะเลือกอะไร?
- อะไรคืองานที่ทำแล้วส่งผลต่อเป้าหมายใหญ่ของปีนี้?
ตอนเย็น ก่อนกลับบ้าน ให้ทบทวน:
- วันนี้ทำอะไรสำเร็จบ้าง?
- อะไรคืองานที่เสียเวลาไป?
- พรุ่งนี้จะปรับปรุงอย่างไร?
สำหรับผู้ประกอบการ
ทุกเดือน ให้ถามตัวเอง:
- ลูกค้าได้ประโยชน์อะไรจากสินค้า/บริการของเรา?
- เราทำอะไรได้ดีที่สุด?
- ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราปรับตัวยังไง?
ทุกไตรมาส ให้ทบทวน:
- พนักงานพัฒนาขึ้นหรือไม่?
- ระบบงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่?
- เรากำลังสร้างอนาคตที่ยั่งยืนหรือแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า?
สำหรับชีวิตส่วนตัว
Drucker ไม่ได้พูดถึงแค่งาน แต่รวมถึงชีวิต
การจัดการเงิน แทนที่จะคิดแค่ “ประหยัด” ให้คิดว่า “ลงทุนในสิ่งที่สำคัญ”
- การศึกษา (หนังสือ, course, อบรม)
- สุขภาพ (อาหารดี, exercise, checkup)
- ความสัมพันธ์ (เวลากับครอบครัว, เพื่อน)
การวางแผนชีวิต ให้คิดในแง่ “ผลลัพธ์ที่ต้องการ”
- 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นแบบไหน?
- อะไรคือสิ่งที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้?
- อะไรคือสิ่งที่ต้องหยุดทำ?
การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
“The Daily Drucker” ไม่ใช่หนังสือที่อ่านครั้งเดียวแล้วเก็บ แต่เป็นหนังสือที่ต้อง “ใช้” วันละน้อย แต่ต่อเนื่อง
สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้พิเศษคือ มันไม่ได้สอนให้เราเป็น “เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ” แต่สอนให้เราเป็น “มนุษย์ที่มีประสิทธิผล”
ความแตกต่างคือ:
- เครื่องจักร ทำงานเร็ว แต่ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร
- มนุษย์ ทำงานอย่างมีจุดหมาย รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร และส่งผลดีต่อตัวเองและสังคม
ท้ายที่สุดแล้ว Drucker อยากให้เรารู้ว่า การทำงานไม่ใช่แค่การหาเลี้ยงชีพ แต่เป็นการใช้ชีวิตให้มีความหมาย การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้โลก และการทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น
นี่คือเหตุผลที่ทำไม “The Daily Drucker” จึงไม่ใช่แค่หนังสือธุรกิจ แต่เป็นหนังสือชีวิต ที่อ่านแล้วเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่วิธีการทำงาน แต่รวมถึงวิธีการใช้ชีวิต
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ยังคงเป็น “ไบเบิลของผู้จัดการ” มาจนถึงทุกวันนี้
#hrรีพอร์ต
Leave a comment