ในโลกของการทำงานและการบริหารจัดการ มีชื่อหนึ่งที่ทุกคนควรรู้จัก นั่นคือ ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ (Peter F. Drucker) ชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการจัดการสมัยใหม่” เขาเป็นคนที่สร้างแนวคิดเรื่องการจัดการให้กลายเป็นศาสตร์ที่เป็นระบบ และหนังสือเล่มหนึ่งที่รวบรวมภูมิปญญาของเขาไว้อย่างครบถ้วน คือ “Management: Revised Edition” ที่เผยแพร่ในปี 2008

ดรักเกอร์เกิดในเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในปี 1909 และใช้ชีวิตเขียนหนังสือกว่า 30 เล่ม ก่อนจากไปในปี 2005 หนังสือ “Management: Revised Edition” เล่มนี้เป็นการปรับปรุงจากหนังสือต้นฉบับที่เขียนในปี 1973 โดยได้รับความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์โจเซฟ มาเซียริเอลโล เพื่อนรักและผู้สืบทอดแนวคิดของดรักเกอร์

สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้หนังสือจะหนาถึง 558 หน้า แต่เนื้อหาในนั้นไม่เคยล้าสมัย เพราะดรักเกอร์ไม่ได้เขียนแค่เทคนิคการจัดการ แต่เขาเขียนเรื่อง “หลักคิด” ที่เป็นรากฐานของการจัดการที่ดี

การจัดการคืออะไร?

มากกว่าแค่การสั่งงาน

หลายคนคิดว่าการจัดการคือการสั่งงานคนใต้บังคับบัญชา หรือการควบคุมธุรกิจให้ได้กำไร แต่ดรักเกอร์มองเรื่องนี้ลึกกว่านั้น

เขาบอกว่า การจัดการคือ “ศิลปศาสตร์อิสระ” หมายความว่าอะไร?

ลองนึกภาพคุณเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล คุณต้องดูแลไม่เพียงแค่เงิน แต่ต้องคิดถึงชีวิตผู้ป่วย ความรู้สึกของแพทย์และพยาบาล ความต้องการของชุมชน และแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการแพทย์ การตัดสินใจแต่ละครั้งต้องใช้ทั้งข้อมูล (วิทยาศาสตร์) และสัญชาตญาณ (ศิลปะ)

นี่คือสิ่งที่ดรักเกอร์หมายถึง การจัดการไม่ใช่วิทยาศาสตร์แน่นอนที่มีสูตรสำเร็จ แต่เป็นศิลปะที่ต้องปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์

การจัดการไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ

หนึ่งในแนวคิดปฏิวัติของดรักเกอร์คือการที่เขาบอกว่า “การจัดการไม่ใช่เฉพาะเรื่องของธุรกิจ”

ดูโรงเรียนสิ วิทยาลัย โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ องค์กรการกุศล ล้วนต้องใช้หลักการจัดการทั้งสิ้น ตัวอย่างที่ชัดเจน:

โรงเรียน ต้องจัดการงบประมาณ คุณภาพการเรียนการสอน ความพึงพอใจของผู้ปกครอง และการพัฒนาครู

โรงพยาบาล ต้องจัดการคิวผู้ป่วย อุปกรณ์การแพทย์ คุณภาพการรักษา และต้นทุน

องค์กรการกุศล ต้องจัดการการระดมทุน การใช้งบอย่างโปร่งใส และการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม

ทุกองค์กรเหล่านี้ต้องการ “ผู้จัดการ” ที่เข้าใจหลักการเดียวกัน: การสร้างผลงานที่มีประสิทธิภาพ

หัวใจของการจัดการ: ผลงาน ไม่ใช่ความพยายาม

ดรักเกอร์เน้นย้ำเสมอว่า “หัวใจของการจัดการคือผลงาน” (Performance) ไม่ใช่ความพยายาม ไม่ใช่ความตั้งใจ

ลองดูตัวอย่างจากบริษัทขายอาหารออนไลน์ที่มีพนักงานขยันมาก มาทำงานเช้าเย็น แต่ยอดขายกลับไม่เพิ่มขึ้น ลูกค้าบ่นเรื่องอาหารมาช้า คุณภาพไม่สม่ำเสมอ

ผู้จัดการที่ดีไม่ควรมองแค่ว่าพนักงานขยันหรือเปล่า แต่ต้องถามว่า:

  • ทำไมยอดขายไม่เพิ่ม?
  • ปัญหาคืออะไร? ระบบ? คน? หรือกระบวนการ?
  • จะปรับปรุงอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ?

นี่คือการมองแบบ “ผลงาน” ที่ดรักเกอร์สอน

การจัดการในยุคสารสนเทศ

ดรักเกอร์เป็นหนึ่งในคนแรกที่ทำนายการเปลี่ยนแปลงจากยุคอุตสาหกรรมไปสู่ยุคสารสนเทศ เขาเห็นว่าโครงสร้างองค์กรจะต้องเปลี่ยนจากแบบ “ปิรามิด” ที่มีหัวหน้าชั้นเดียวควบคุมทุกอย่าง ไปเป็นแบบ “เครือข่าย” ที่ข้อมูลไหลเวียนได้อย่างอิสระ

ดูการเปลี่ยนแปลงในปจจุบันสิ:

ธนาคารแบบเก่า ลูกค้าต้องไปธนาคาร พูดกับพนักงาน พนักงานต้องถามหัวหน้า หัวหน้าตัดสินใจ กระบวนการช้าและซับซ้อน

ธนาคารดิจิทัล ลูกค้าใช้แอปฯ ระบบวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ ตัดสินใจได้ทันที พนักงานหน้าเคาน์เตอร์กลายเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวคิดของดรักเกอร์ที่ว่าองค์กรอนาคตต้องให้ความสำคัญกับ “ข้อมูล” และ “ความรู้” มากกว่า “ตำแหน่ง”

การบริหารตนเอง: ทักษะสำคัญที่สุด

หนึ่งในบทเรียนที่ดรักเกอร์เน้นมากคือ “Managing Oneself” หรือการบริหารตนเอง เขาบอกว่าในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ทุกคนต้องเป็น “ผู้บริหารตัวเอง”

ดรักเกอร์แนะนำให้ถามตัวเองว่า:

1. จุดแข็งของฉันคืออะไร? ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเก่ง แต่สิ่งที่เราเก่งจริงๆ ลองดูจากผลงานที่เราทำได้ดี ความคิดเห็นของคนรอบข้าง และการวิเคราะห์ตัวเอง

2. ฉันทำงานได้ดีอย่างไรมากที่สุด? บางคนทำงานดีตอนเช้า บางคนเก่งเรื่องการพูด บางคนเก่งการเขียน บางคนชอบทำงานคนเดียว บางคนต้องมีทีม

3. ค่านิยมของฉันคืออะไร? เราต้องการอะไรจากการทำงาน? เงิน? การเรียนรู้? การช่วยเหลือสังคม? การมีชื่อเสียง?

เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราจะสามารถจัดการชีวิตและอาชีพได้อย่างมีทิศทาง

ยกตัวอย่าง นักเขียนคนหนึ่งพบว่าเขาเขียนได้ดีที่สุดในยามเช้า อยู่ในที่เงียบๆ และต้องมีกาแฟ เขาจึงปรับตารางงานให้เขียนหนังสือตั้งแต่ 5 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า ส่วนช่วงบ่ายไปทำงานอื่นที่ไม่ต้องใช้สมาธิมาก ผลคือ เขาเขียนได้เร็วขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้น

นวัตกรรมต้องมีระบบ

หลายคนคิดว่านวัตกรรมเกิดจากแรงบันดาลใจ หรือความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ดรักเกอร์เชื่อว่า “นวัตกรรมต้องมีระบบ” (Systematic Innovation)

เขาแนะนำให้มองหา “หน้าต่างโอกาส” (Windows of Opportunity) 7 แห่ง:

1. สิ่งที่ผิดคาด – เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คิด

2. ความไม่สอดคล้องกน – เมื่อสิ่งที่เราทำกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการไม่ตรงกัน

3. ความต้องการในกระบวนการ – เมื่อมีขั้นตอนที่ขาดหายไป

4. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม – เมื่อธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป

5. การเปลี่ยนแปลงประชากรศาสตร์ – เมื่อสังคมเปลี่ยนไป

6. การเปลี่ยนแปลงความคิด – เมื่อคนคิดแตกต่างจากเดิม

7. ความรู้ใหม่ – เมื่อมีเทคโนโลยีหรือความรู้ใหม่

ตัวอย่างที่ชัดเจน:

Grab เกิดจากการเห็น “ความไม่สอดคล้องกัน” ระหว่างการขนส่งแบบเก่า (แท็กซี่ที่หายาก บริการไม่ดี) กับความต้องการของคนยุคใหม่ (สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย)

Shopee เกิดจากการเห็น “การเปลี่ยนแปลงประชากรศาสตร์” คือคนไทยใช้โทรศัพท์มากขึ้น และ “ความรู้ใหม่” เรื่องการซื้อขายออนไลน์

ความรับผิดชอบทางสังคม

ดรักเกอร์เชื่อว่าองค์กรไม่ได้อยู่แยกจากสังคม การทำงานของเราส่งผลต่อคนรอบข้างเสมอ เขาจึงเน้นเรื่อง “ความรับผิดชอบทางสังคม”

แต่เขาไม่ได้หมายถึงการทำ CSR หรือบริจาคเงิน เขาหมายถึงการทำงานด้วยความรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว

ตัวอย่าง:

บริษัทอาหาร มีหน้าที่ทำอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ราคาเป็นธรรม ไม่ใช่แค่หากำไร

โรงเรียนเอกชน มีหน้าที่ให้การศึกษาที่มีคุณภาพ พัฒนาครู มีหลักสูตรที่ทันสมัย ไม่ใช่แค่เก็บค่าเรียนสูง

ธนาคาร มีหน้าที่ให้บริการทางการเงินที่โปร่งใส ช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ใช่แค่หากำไรจากดอกเบี้ย

เมื่อแต่ละองค์กรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี สังคมก็จะดีตามไปด้วย

หลักการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

ดรักเกอร์สอนว่าการตัดสินใจที่ดีมี 5 องค์ประกอบ:

1. เข้าใจปญหาอย่างชัดเจน – ปญหาจริงคืออะไร? อาการคืออะไร?

2. รู้ว่าตัดสินใจต้องการอะไร – เป้าหมายคืออะไร? มาตรฐานความสำเร็จคืออะไร?

3. พิจารณาทางเลือก – มีวิธีแก้ปญหาอื่นอีกไหม? ข้อดีข้อเสียของแต่ละทางคืออะไร?

4. รู้ว่าใครจะได้รับผลกระทบ – การตัดสินใจนี้จะส่งผลต่อใครบ้าง? ควรปรึกษาใครบ้าง?

5. มีแผนติดตาม – จะรู้ได้อย่างไรว่าการตัดสินใจประสบความสำเร็จ? ถ้าไม่สำเร็จจะทำอย่างไร?

บทเรียนสำหรับยุคปัจจุบัน

แม้ดรักเกอร์จะจากไปแล้วเกือบ 20 ปี แต่แนวคิดของเขายังใช้ได้ในยุคปจจุบัน เพราะเขาไม่ได้สอนเทคนิค แต่เขาสอน “หลักคิด” ที่เป็นรากฐาน

ในยุคโควิด ผู้นำองค์กรที่ประสบความสำเร็จ คือคนที่ใช้หลักการของดรักเกอร์:

  • มองผลงานมากกว่ากิจกรรม (ทำงานที่บ้านก็ได้ ขอให้ได้ผลลัพธ์)
  • ยืดหยุ่นและปรับตัวเร็ว (เปลี่ยนจากขายที่ร้านเป็นขายออนไลน์)
  • ดูแลคนในองค์กร (ไม่ปลดคนงาน แต่หาวิธีช่วยเหลือ)
  • คิดถึงสังคม (ผลิตหน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ ช่วยเหลือชุมชน)

ในยุค AI หลักการของดรักเกอร์ยิ่งสำคัญ:

  • ต้องบริหารตนเองให้เก่งในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ (ความคิดสร้างสรรค์ การเข้าใจอารมณ์ การตัดสินใจเชิงจริยธรรม)
  • ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต (ทักษะเปลี่ยนเร็ว)
  • ต้องทำงานร่วมกับเทคโนโลยี ไม่ใช่แข่งขัน

สรุป: การจัดการเป็นเรื่องของคน สำหรับคน โดยคน

สิ่งที่ทำให้ดรักเกอร์ยิ่งใหญ่คือ เขาไม่ได้มองการจัดการเป็นแค่เครื่องมือในการหากำไร แต่เขามองเป็น “ศิลปะในการทำให้คนและองค์กรประสบความสำเร็จร่วมกัน”

ไม่ว่าคุณจะเป็นใครทำงานอะไร หนังสือ “Management: Revised Edition” มีบทเรียนที่ใช้ได้กับทุกคน:

  • นักศึกษา ใช้หลักการบริหารตนเองในการวางแผนการเรียนและอาชีพ
  • พ่อแม่ ใช้หลักการจัดการในการเลี้ยงดูลูกและจัดการงานบ้าน
  • ผู้ประกอบการ ใช้หลักการทั้งหมดในการสร้างและพัฒนาธุรกิจ
  • พนักงาน ใช้หลักการในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและสร้างคุณค่า

ท้ายที่สุดแล้ว การจัดการที่ดีคือการทำให้ “คน” “องค์กร” และ “สังคม” เติบโตไปด้วยกัน ด้วยความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ และการมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้โลก

นี่คือมรดกที่ปีเตอร์ ดรักเกอร์ฝากไว้ให้เรา และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการจัดการสมัยใหม่” ที่ไม่มีใครเทียบได้

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment