ลองจินตนาการดูสิครับว่า หากเราย้อนเวลากลับไป 20 ปี และบอกกับผู้จัดการของบริษัทใหญ่ๆ ว่าวันหนึ่งพนักงานจะทำงานจากบ้าน ใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Zoom ประชุมกัน และมีหุ่นยนต์ชื่อ ChatGPT ช่วยเขียนอีเมล์ให้ พวกเขาคงคิดว่าเราบ้าไปแล้วแน่ๆ
แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Jacob Morgan ผู้เขียนหนังสือ “The Future Leader” ถึงบอกว่าผู้นำในอนาคตต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันโลก
การเดินทางค้นหาผู้นำยุคใหม่
Jacob Morgan ใช้เวลาหลายปีในการสัมภาษณ์ผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 140 คน ตั้งแต่ Reed Hastings ของ Netflix ที่เปลี่ยนวิธีคนดูหนัง ไปจนถึง Marc Benioff ของ Salesforce ที่ปฏิวัติวิธีการขายของบริษัทต่างๆ
สิ่งที่เขาค้นพบคือ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ไม่ใช่คนที่มีอำนาจมากที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่สามารถปรับตัว เรียนรู้ และช่วยให้คนอื่นเติบโตได้ดีที่สุด
4 กรอบความคิดของผู้นำอนาคต
1. Explorer: นักสำรวจผู้กล้าเสี่ยง
ผู้นำแบบ Explorer คือคนที่มีจิตใจนักผจญภัย ไม่กลัวที่จะออกจาก comfort zone และพร้อมจะลองสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
ตัวอย่างจริง: Brian Chesky ของ Airbnb เริ่มต้นธุรกิจด้วยการปล่อยเช่าที่นอนลมในบ้านตัวเอง เพื่อหาเงินจ่ายค่าเช่า ใครจะคิดว่าความคิดแปลกๆ นี้จะกลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์
ในชีวิत ประจำวัน ผู้นำแบบนี้อาจจะเป็นคนที่:
- ลองใช้แอปใหม่ก่อนใคร แล้วนำมาใช้ในการทำงาน
- เสนอโปรเจ็กต์ที่ดูเสี่ยง แต่มีโอกาสสำเร็จสูง
- พาทีมไปทำงานในสถานที่ใหม่ๆ เพื่อหาไอเดียใหม่
สิ่งสำคัญคือ Explorer ไม่ได้หมายถึงการเสี่ยงแบบไม่คิด แต่เป็นการเสี่ยงแบบมีข้อมูล พวกเขาศึกษาให้ดีก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ
2. Chef: นักผสมผสานไอเดีย
ผู้นำแบบ Chef ไม่ใช่คนที่คิดอะไรออกมาคนเดียว แต่เป็นคนที่เก่งในการนำเอาความคิดจากหลายๆ คนมาผสมผสานให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ตัวอย่างจริง: Tim Cook ของ Apple เป็นตัวอย่างที่ดี เขาไม่ได้เป็นคนคิดค้นผลิตภัณฑ์เอง แต่เก่งในการนำเอาไอเดียจากทีมงานหลายแผนกมาผสมผสานให้เกิดเป็น iPhone, iPad ที่เราใช้กันอยู่
ในบริบทไทย ลองดู CEO ของ CP Group ที่สามารถนำเอาธุรกิจอาหาร เกษตร และค้าปลีก มาผสมผสานจนเกิดเป็นระบบนิเวศน์ธุรกิจที่แข็งแกร่ง
ผู้นำแบบ Chef จะ:
- ฟังความคิดเห็นจากทุกคนในทีม ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือหัวหน้า
- สร้างบรรยากาศที่ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็น
- นำเอาแนวคิดที่ดูไม่เกี่ยวข้องกันมาผสมผสาน
3. Servant: ผู้นำที่รับใช้
นี่อาจจะฟังดูแปลก แต่ผู้นำในอนาคตต้องคิดว่าตัวเองอยู่เพื่อช่วยเหลือลูกทีม ไม่ใช่เพื่อใช้อำนาจสั่งการ
ตัวอย่างจริง: Cheryl Sandberg อดีต COO ของ Facebook (ปัจจุบันคือ Meta) เธอมีกฎว่า “หากลูกทีมต้องการคุยด้วย เธอจะหยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่” เธอเชื่อว่าการช่วยให้ลูกทีมประสบความสำเร็จ คือการช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จ
ในวัฒนธรรมไทย เราอาจจะคุ้นเคยกับแนวคิด “พ่อปกครองลูกผู้ใต้บังคับบัญชา” แต่แนวคิด Servant Leader นี้ไปไกลกว่านั้น มันคือการคิดว่า “เราอยู่ที่นี่เพื่อทำให้ลูกทีมประสบความสำเร็จ”
ผู้นำแบบนี้จะ:
- ถามลูกทีมบ่อยๆ ว่า “เราจะช่วยอะไรได้บ้าง”
- ขจัดอุปสรรคที่ทำให้ลูกทีมทำงานได้ไม่เต็มที่
- ให้เครดิตแก่ลูกทีมเมื่อโปรเจ็กต์สำเร็จ
4. Global Citizen: พลเมืองโลกผู้เข้าใจความแตกต่าง
ในโลกที่เชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดน ผู้นำต้องเข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่าง และคิดถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมโลก
ตัวอย่างจริง: Satya Nadella ของ Microsoft เกิดในอินเดีย เรียนจบในอเมริกา และนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จในตลาดโลก เขาใช้ประสบการณ์จากการใช้ชีวิตในหลายวัฒนธรรมมาช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
สำหรับผู้นำไทย ลองดู CEO ของ PTT ที่ต้องทำธุรกิจในหลายประเทศ พวกเขาต้องเข้าใจว่าการทำธุรกิจในเมียนมาร์ต่างจากการทำธุรกิจในกาตาร์อย่างไร
ผู้นำแบบ Global Citizen จะ:
- เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอื่น ไม่เพียงแค่ในหนังสือ
- คิดถึงผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจ
- สร้างทีมงานที่หลากหลาย เพื่อให้ได้มุมมองที่แตกต่าง
5 ทักษะที่ผู้นำต้องมี
1. Futurist: นักคิดอนาคต
ผู้นำในอนาคตต้องเป็นคนที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะเกิดขึ้น และเตรียมตัวให้พร้อม
ตัวอย่างจริง: Jeff Bezos ของ Amazon มองเห็นว่าอนาคตคนจะซื้อของออนไลน์มากขึ้น ตั้งแต่ปี 1990s เมื่อคนยังไม่ค่อยรู้จักอินเทอร์เน็ต เขาจึงเริ่มต้นธุรกิจขายหนังสือออนไลน์ วันนี้ Amazon กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่เปลี่ยนวิธีการซื้อของของโลก
ในบริบทไทย ลองดู CEO ของ Grab ที่มองเห็นว่าคนไทยจะใช้แอปเรียกรถมากขึ้น และขยายไปสู่บริการส่งอาหาร จ่ายเงิน จนกลายเป็น “super app”
การเป็น Futurist ไม่ได้หมายถึงการทำนายอนาคตแบบหมอดู แต่เป็นการ:
- ติดตามเทรนด์ในอุตสาหกรรม
- สังเกตพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
- ลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อดูว่าจะส่งผลกระทบอย่างไร
2. Technology Teenager: วัยรุ่นเทคโนโลยี
ผู้นำไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ต้องเข้าใจเทคโนโลยีและกล้าที่จะลองใช้เหมือนวัยรุ่นที่ไม่กลัวอะไร
ตัวอย่างจริง: Marc Benioff อายุ 60+ แล้ว แต่เขายังคงติดตาม AI, blockchain และเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด เขาไม่ได้เขียนโค้ดเอง แต่เข้าใจพอที่จะตัดสินใจได้ว่าเทคโนโลยีไหนจะช่วยบริษัทได้
ผู้บริหารไทยหลายคนเริ่มใช้ ChatGPT ช่วยเขียนอีเมล์ หรือใช้ Notion ในการจัดการงาน พวกเขาไม่ได้เป็นคนเทค แต่เปิดใจที่จะเรียนรู้
วิธีการเป็น Technology Teenager:
- ลงแอปใหม่ๆ เล่นดู แม้จะไม่ชำนาญก็ไม่เป็นไร
- ถามลูกทีมที่เก่งเทคว่าเทคโนโลยีไหนน่าสนใจ
- อ่านข่าวเทคโนโลジี แต่ไม่ต้องเข้าใจทุกรายละเอียด
3. Translator: นักแปลความหมาย
ผู้นำต้องสามารถสื่อสารกับคนที่มีพื้นเพมาแตกต่างกัน และอธิบายเรื่องซับซ้อนให้เข้าใจง่าย
ตัวอย่างจริง: Elon Musk เก่งในการอธิบายเทคโนโลยีที่ซับซ้อนของ Tesla และ SpaceX ให้คนทั่วไปเข้าใจ เขาไม่พูดด้วยศัพท์เทคนิค แต่ใช้คำง่ายๆ ที่ทุกคนเข้าใจ
ในออฟฟิศไทย ลองนึกถึงผู้จัดการที่ต้องอธิบายให้ลูกทีม IT เข้าใจความต้องการของทีมการตลาด หรือช่วยให้ทีมขายเข้าใจผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น
ทักษะ Translator รวมถึง:
- พูดให้เหมาะกับผู้ฟัง (ไม่พูดเทคนิคกับคนที่ไม่เข้าใจ)
- ใช้เปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่าย
- ถามย้อนกลับเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจ
4. Coach: โค้ชผู้พัฒนาคน
ผู้นำไม่ได้อยู่เพื่อสั่งงาน แต่อยู่เพื่อช่วยให้คนอื่นเก่งขึ้น เหมือนโค้ชกีฬาที่ช่วยให้นักกีฬาเล่นได้ดีที่สุด
ตัวอย่างจริง: Oprah Winfrey เป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นโค้ช เธอไม่ได้แค่สัมภาษณ์แขกรับเชิญ แต่ช่วยให้พวกเขาค้นพบศักยภาพในตัวเอง หลายคนที่เคยไปรายการของเธอกลายเป็นคนมีชื่อเสียง
ในสำนักงาน ผู้จัดการแบบโค้ชจะ:
- ถามคำถามเพื่อให้ลูกทีมคิดเอง แทนการบอกคำตอบ
- ให้โอกาสลูกทีมลองผิดลองถูก
- ให้ feedback ทันที ทั้งที่ดีและที่ควรปรับปรุง
ตัวอย่างการเป็นโค้ช: แทนที่จะพูดว่า “ทำแบบนี้” ให้ถามว่า “คุณคิดว่าถ้าทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น?”
5. Yoda: นักปราชญ์ผู้รู้จักตนเอง
ผู้นำต้องมีปัญญา รู้จักตัวเอง และสามารถให้คำปรึกษาที่ลึกซึ้ง เหมือนอาจารย์โยดาในหนัง Star Wars
ตัวอย่างจริง: Warren Buffett เป็นตัวอย่างของผู้นำแบบ Yoda เขารู้จักจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง รู้ว่าเขาไม่เก่งเทคโนโลยี จึงมักจะลงทุนในธุรกิจที่เขาเข้าใจ และเขาให้คำปรึกษาแก่ CEO หลายคนด้วยภาษาที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง
การเป็น Yoda ไม่ได้หมายถึงการรู้ทุกเรื่อง แต่หมายถึง:
- รู้จักตัวเอง ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน
- ยอมรับเมื่อไม่รู้ และหาคนที่รู้มาช่วย
- ให้คำปรึกษาจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่ทฤษฎี
การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
เริ่มต้นจากตัวเอง
คุณไม่จำเป็นต้องเป็น CEO เพื่อใช้หลักการเหล่านี้ ลองเริ่มจากทีมเล็กๆ ที่คุณดูแลอยู่ หรือแม้แต่กับครอบครัว
ตัวอย่างการฝึกฝน:
- Explorer: สัปดาห์นี้ลองใช้เครื่องมือใหม่ในการทำงาน
- Chef: ในมีติ้งครั้งต่อไป ให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นก่อนจะตัดสินใจ
- Servant: ถามลูกทีมว่า “มีอะไรที่เราช่วยได้บ้าง”
- Global Citizen: อ่านข่าวจากหลายประเทศเพื่อเข้าใจมุมมองที่แตกต่าง
สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ผู้นำในอนาคตต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่คนกล้าลองผิดลองถูก กล้าแสดงความคิดเห็น และเรียนรู้ร่วมกัน
บริษัทอย่าง Google มี “20% time” ที่พนักงานสามารถใช้เวลา 20% ในการทำโปรเจ็กต์ที่ตัวเองสนใจ Gmail ที่เราใช้กันทุกวันนี้ เกิดจาก “20% time” นี้เอง
การเตรียมตัวสำหรับอนาคต
โลกเปลี่ยนเร็วมาก สิ่งที่เราเรียนรู้วันนี้อาจจะล้าสมัยในไม่กี่ปี แต่หากเราฝึฝนทักษะและกรอบความคิดเหล่านี้ เราจะสามารถปรับตัวได้เร็วกว่า
บทสรุป: ผู้นำของอนาคตคือใคร?
หลังจากที่ได้อ่านเรื่องราวของผู้นำยุคใหม่ เราจะเห็นว่าผู้นำในอนาคตไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด หรือมีอำนาจมากที่สุด แต่เป็นคนที่:
- กล้าเสี่ยงแต่รอบคอบ (Explorer)
- รู้จักนำเอาความคิดหลากหลายมาผสมผสาน (Chef)
- ใส่ใจและช่วยเหลือคนอื่น (Servant)
- เข้าใจโลกที่เชื่อมโยงกัน (Global Citizen)
- มองเห็นอนาคตและเตรียมพร้อม (Futurist)
- กล้าใช้เทคโนโลยีใหม่ (Technology Teenager)
- สื่อสารให้คนหลากหลายเข้าใจ (Translator)
- พัฒนาศักยภาพของคนอื่น (Coach)
- รู้จักตนเองและให้คำปรึกษาได้ (Yoda)
สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ทักษะและกรอบความคิดเหล่านี้ สามารถฝึกฝนได้ คุณไม่จำเป็นต้องเกิดมาพร้อม แต่สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้
ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานใหม่ ผู้จัดการระดับกลาง หรือ CEO หลักการเหล่านี้จะช่วยให้คุณก้าวไปข้างหน้าได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
จำไว้ว่า การเป็นผู้นำไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา เริ่มต้นจากวันนี้ เริ่มต้นจากตัวเราเอง และเริ่มต้นจากคนที่อยู่รอบข้างเรา
อนาคตของการเป็นผู้นำไม่ได้อยู่ที่การสั่งการ แต่อยู่ที่การสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ได้อยู่ที่การควบคุม แต่อยู่ที่การปลดปล่อยศักยภาพ และไม่ได้อยู่ที่การรู้ทุกเรื่อง แต่อยู่ที่การเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง
นี่คือผู้นำของอนาคต และนี่คือสิ่งที่โลกกำลังรอคอยจากเรา
#hrรีพอร์ต
Leave a comment