เริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆ

Mark Manson นักเขียนชาวอเมริกันที่เขียนหนังสือดังอย่าง “The Subtle Art of Not Giving a Fck” กลับมาอีกครั้งด้วยหนังสือ “Everything Is Fcked: A Book About Hope” ที่พยายามตอบคำถามง่ายๆ แต่ซับซ้อน: ทำไมในยุคที่ทุกอย่างดีขึ้น เราถึงรู้สึกแย่ลง?

ลองคิดดูสิ เราอยู่ในยุคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เด็กตายน้อยลง คนยากจนน้อยลง เทคโนโลยีก้าวหน้า การศึกษาแพร่หลาย แต่ทำไมเรากลับรู้สึกว่าโลกกำลังจะจบ? ทำไมคนหดหู่กันมากขึ้น? ทำไมเราถึงรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย?

Manson เริ่มต้นหนังสือด้วยการสังเกตว่า เราติดกับดักของ “ความก้าวหน้า” เมื่อปัญหาเก่าๆ หมดไป ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น และปัญหาใหม่เหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องของความอยู่รอด แต่เป็นเรื่องของ “ความหมาย”

สมองสองส่วนที่อยู่ในหัวเรา

หนึ่งในแนวคิดหลักที่ Manson อธิบายอย่างเข้าใจง่าย คือเรื่องของ “สมองสองส่วน” ที่อยู่ในหัวเราทุกคน

สมองส่วนความรู้สึก (Feeling Brain) เหมือนกับเด็กเล็กอายุ 3 ขวบ มันต้องการทุกอย่างทันที ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากลำบาก อยากสนุก อยากสบาย เวลามันเห็นช็อกโกแลต มันก็จะร้องว่า “กินเลย! กินเลย!” ไม่สนใจว่าจะอ้วนหรือเป็นเบาหวาน

สมองส่วนเหตุผล (Thinking Brain) เหมือนกับผู้ใหญ่ที่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีในระยะยาว มันจะบอกว่า “เดี๋ยวก่อน ถ้ากินช็อกโกแลตทุกวัน เราจะอ้วนนะ ควรกินผลไม้แทน” มันชอบวางแผน คิดไปข้างหน้า และทำสิ่งที่ถูกต้อง

ปัญหาคือ สมองส่วนความรู้สึกมันแรงกว่ามาก! มันเหมือนช้างตัวใหญ่ ส่วนสมองส่วนเหตุผลเหมือนคนขี่ช้างตัวเล็กๆ เวลาช้างอยากไปทางไหน คนขี่ช้างก็ต้องตาม

ยกตัวอย่างที่เราเจอในชีวิตประจำวัน:

  • รู้ว่าควรออกกำลังกาย แต่กลับนอนดูซีรีส์
  • รู้ว่าควรออม แต่กลับซื้อของที่ไม่จำเป็น
  • รู้ว่าไม่ควรดูโซเชียลมีเดียก่อนนอน แต่กลับเลื่อนดูไปเรื่อยๆ

นี่คือการที่สมองส่วนความรู้สึกเอาชนะสมองส่วนเหตุผลไง

ปัญหาของ “ความรู้สึกดี” ในยุคใหม่

Manson อธิบายว่าในอดีต คนเราต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ต้องหาอาหาร ต้องสู้กับภัยอันตราย สมองส่วนความรู้สึกของเราเลยมีงานทำ – มันต้องกลัว ต้องระแวง ต้องหิว เพื่อให้เราอยู่รอด

แต่ในยุคนี้ เราไม่ต้องห่วงเรื่องความอยู่รอดแล้ว เราเลยเริ่มหาสิ่งอื่นมา “กลัว” และ “ห่วง” แทน เช่น:

  • กลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบเราในโซเชียลมีเดีย
  • ห่วงว่าเราจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าคนอื่น
  • กลัวว่าอนาคตจะแย่

ผลคือ เรากลายเป็นคนที่วิตกกังวลกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นเรื่องชีวิตชีวาจริงๆ

เรื่องของค่านิยมที่ผิดๆ

Manson ยกตัวอย่างว่า ปัญหาของคนยุคใหม่คือเราเลือกค่านิยมที่ผิด เขาแบ่งค่านิยมออกเป็นสองแบบ:

ค่านิยมที่แย่:

  • ความสุข (เพราะเราควบคุมไม่ได้ว่าจะมีความสุขเมื่อไหร่)
  • ความสำเร็จทางวัตถุ (เพราะมันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกมากเกินไป)
  • การได้รับการยอมรับจากคนอื่น (เพราะเราควบคุมใจคนอื่นไม่ได้)

ค่านิยมที่ดี:

  • ความซื่อสัตย์กับตัวเอง
  • การช่วยเหลือผู้อื่น
  • การเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
  • การรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง

ลองเปรียบเทียบกันดู:

คนที่มีค่านิยมคือ “ต้องมีความสุขตลอดเวลา” จะทุกข์เวลาไม่มีความสุข เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว แต่คนที่มีค่านิยมคือ “เรียนรู้จากทุกสถานการณ์” จะไม่ทุกข์เวลาเศร้า เพราะเขารู้ว่าความเศร้านี้กำลังสอนอะไรบางอย่างให้เขา

สามเสาหลักของความหวัง

Manson บอกว่ามนุษย์เราสร้างความหวังผ่านสามสิ่งนี้:

1. ศาสนา (Religion)

ศาสนาให้ความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิต มันตอบว่า “เราคือใคร” “ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่” “ควรทำอะไรในชีวิต”

ตัวอย่าง: คนที่เชื่อในพุทธศาสนาอาจจะมีความหวังว่าการทำความดีจะนำพาไปสู่การเกิดใหม่ที่ดีกว่า หรือการบรรลุนิพพาน

2. วิทยาศาสตร์ (Science)

วิทยาศาสตร์ช่วยแก้ปัญหาและทำให้ชีวิตดีขึ้น มันให้ความหวังว่าเราสามารถเข้าใจและควบคุมโลกรอบตัวได้

ตัวอย่าง: เมื่อเราป่วย เราหวังว่าแพทย์และยาจะรักษาเราได้ เมื่อเรามีปัญหา เราหวังว่าเทคโนโลยีจะช่วยแก้ได้

3. การเมือง (Politics)

การเมืองช่วยจัดระเบียบสังคม ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ มันให้ความหวังว่าเราสามารถสร้างสังคมที่ดีขึ้นได้

ตัวอย่าง: เราเลือกตั้งเพราะหวังว่านักการเมืองจะทำให้ประเทศดีขึ้น เราปฏิบัติตามกฎหมายเพราะเชื่อว่าสังคมจะมีระเบียบ

แต่ปัญหาคือ เมื่อคนเราเชื่อมากเกินไป สามสิ่งนี้ก็กลายเป็นปัญหา เช่น:

  • ศาสนาที่คลั่งไคล้ทำให้เกิดสงคราม
  • วิทยาศาสตร์ที่หลงตัวเองทำให้ทำลายธรรมชาติ
  • การเมืองที่เสียหายทำให้เกิดเผด็จการ

เรื่องของความทุกข์ที่เราต้องยอมรับ

สิ่งที่ Manson เน้นมากที่สุดคือ ความทุกข์เป็นเรื่องปกติ อย่าหนีจากมัน

เขาเล่าเรื่องเปรียบเทียบว่า ถ้าเราไม่เคยออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะไม่แข็งแรง ถ้าเราไม่เคยเผชิญความยาก จิตใจจะไม่แข็งแกร่ง ความทุกข์เหมือนการออกกำลังกายสำหรับจิตใจ

ยกตัวอย่างจากชีวิตจริง:

  • นักศึกษาที่เรียนหนัก สอบตก แต่เรียนรู้ที่จะวางแผนและมีระเบียบวินัยมากขึ้น
  • คนที่ล้มเหลวในงาน แต่ได้เรียนรู้ทักษะใหม่และค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ
  • คนที่เสียคนรัก แต่ได้เรียนรู้ว่าการให้คุณค่ากับคนที่เรารักสำคัญแค่ไหน

คนที่พยายามหลีกเลี่ยงความทุกข์ตลอดเวลา เช่น:

  • กิน ดื่ม สนุกสนานตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เศร้า
  • หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเพื่อไม่ให้เครียด
  • ไม่ยอมเสี่ยงเพื่อไม่ให้ผิดหวัง

คนเหล่านี้จะพบว่า ชีวิตของพวกเขาว่างเปล่า ไม่มีความหมาย และไม่มีความสุขที่แท้จริง

ความหวังแบบสมจริงคืออะไร

Manson อธิบายว่าความหวังที่ดีไม่ใช่การคิดว่า “ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” หรือ “ฉันจะไม่เจอปัญหาอีก”

ความหวังที่แท้จริงคือ: “ถึงแม้จะยากลำบาก ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่เราสามารถรับมือและทำให้มันดีขึ้นได้”

เขายกตัวอย่างจากชีวิตของนักกีฬาระดับโลก นักกีฬาเหล่านี้ไม่ได้หวังว่าจะไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ ไม่ล้มเหลว แต่พวกเขาหวังว่าการเหนื่อย การเจ็บ และการล้มเหลวเหล่านี้ จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นและประสบความสำเร็จในที่สุด

หรืออีกตัวอย่าง คนที่ต้องการมีครอบครัวที่อบอุ่น เขาไม่ได้หวังว่าจะไม่เคยทะเลาะกับคู่ครอง ไม่เคยเครียดกับลูก แต่เขาหวังว่าเมื่อมีปัญหา พวกเขาจะแก้ไขด้วยกัน เรียนรู้ด้วยกัน และแข็งแกร่งขึ้นด้วยกัน

การยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้

สิ่งสุดท้ายที่ Manson เน้นคือการยอมรับ เขาอ้างอิงถึง “Serenity Prayer” ที่ว่า:

“ขอให้ฉันมีความสงบเพื่อยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
มีความกล้าหาญเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เปลี่ยนได้
และมีปัญญาเพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้”

ในชีวิตจริง มีหลายสิ่งที่เราเปลี่ยนไม่ได้:

  • อดีตที่ผ่านมา
  • ความคิดและการกระทำของคนอื่น
  • การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
  • สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง (ในระดับใหญ่)

แต่มีหลายสิ่งที่เราเปลี่ยนได้:

  • ทัศนคติของเรา
  • การตอบสนองต่อสถานการณ์
  • การเลือกทำหรือไม่ทำบางสิ่ง
  • ทักษะและความรู้ของเรา
  • วิธีการดูแลตัวเองและคนที่เรารัก

เวลาเราโฟกัสไปที่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ เราจะรู้สึกหงุดหงิด โมโห สิ้นหวัง แต่เวลาเราโฟกัสไปที่สิ่งที่เปลี่ยนได้ เราจะรู้สึกมีพลัง มีความหวัง และสามารถก้าวไปข้างหน้าได้

บทเรียนจากหนังสือ

Manson ปิดท้ายหนังสือด้วยข้อคิดที่ลึกซึ้งแต่เข้าใจง่าย:

1. ชีวิตยากอยู่แล้ว อย่าทำให้มันยากกว่านี้ เราควรหยุดสร้างปัญหาเพิ่มให้กับตัวเอง หยุดกังวลกับสิ่งที่ไม่สำคัญ หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

2. เลือกสิ่งที่คุ้มค่าจะทุกข์เพื่อมัน ทุกคนต้องทุกข์อยู่แล้ว แต่ให้เลือกทุกข์ให้คุ้มค่า ทุกข์เพื่อครอบครัว ทุกข์เพื่อเป้าหมายที่มีความหมาย ทุกข์เพื่อการเติบโตของตัวเอง

3. ความหวังอยู่ในการกระทำ ไม่ใช่ในผลลัพธ์ อย่าหวังว่าทุกอย่างจะออกมาตามที่เราต้องการ แต่ให้หวังว่าเราจะทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

จบด้วยความหวัง

ท้ายที่สุดแล้ว “Everything Is F*cked” ไม่ใช่หนังสือที่มาบอกว่าโลกแย่ไปหมดแล้ว ให้ยอมแพ้เสียเถอะ แต่เป็นหนังสือที่มาบอกว่า “ใช่ โลกมันยุ่งเหยิง ชีวิตมันยาก แต่นั่นแหละคือความงามของมัน”

การที่เราสามารถยืนหยัด สู้ต่อ เรียนรู้ และสร้างสรรค์ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ นั่นแหละคือความหวังที่แท้จริง ไม่ใช่การหวังว่าโลกจะสมบูรณ์แบบ แต่การหวังว่าเราจะสามารถจัดการกับความไม่สมบูرณ์แบบได้

เหมือนกับที่ Manson เขียนไว้: “หวังไว้อย่างหนึ่ง ถ้าทุกอย่างพังแล้ว อย่างน้อยเราก็ยังมีกันและกัน”

และนั่นก็เพียงพอแล้ว

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment