คุณเคยรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องกังวลไปทุกเรื่องไหม? ตื่นขึ้นมาแล้วคิดเรื่องงาน กังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา เครียดกับโพสต์ในโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งห่วงว่าเสื้อผ้าที่ใส่วันนี้จะเหมาะสมไหม นี่คือสิ่งที่ Mark Manson นักเขียนชื่อดังเรียกว่า “การให้ความสำคัญผิดที่ผิดทาง”

ในหนังสือ “The Subtle Art of Not Giving a F*ck” ที่ขายดีติดอันดับ 1 ใน New York Times เป็นเวลานานหลายปี Manson ได้นำเสนอแนวคิดที่ฟังดูแปลกแต่ใช้ได้จริง นั่นคือ “ศิลปะแห่งการไม่สนใจ” หรือการเลือกว่าอะไรควรแคร์ และอะไรไม่ควรแคร์

เริ่มต้นด้วยความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง

เรื่องเริ่มต้นเมื่อ Manson สังเกตว่าสังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อความบวกจนเกินไป ทุกที่ที่เราไปจะเจอแต่คำพูดแบบ “คิดบวก จะสำเร็จ” หรือ “ทำตามความฝัน แล้วจะได้ทุกอย่าง” จนเราเริ่มคิดว่าถ้าเราไม่มีความสุขตลอดเวลา หรือไม่ประสบความสำเร็จ แสดงว่าเราทำอะไรผิด

แต่ความจริงคือ ชีวิตไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกคนมีปัญหา ทุกคนเจ็บปวด และทุกคนต้องเผชิญกับความยากลำบาก การปฏิเสธความจริงนี้กลับทำให้เราทุกข์มากขึ้น เพราะเราคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีปัญหา

ลองคิดดูสิ เวลาเราดูโซเชียลมีเดีย เราจะเห็นแต่ภาพสวยๆ ของคนอื่น ทริปท่องเที่ยวสุดหรู อาหารอร่อยๆ ความสำเร็จในการงาน เราจึงเปรียบเทียบชีวิตตัวเองที่เต็มไปด้วยปัญหากับชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบของคนอื่น ทำให้เรารู้สึกว่าเราล้มเหลว

เราเสียพลังงานไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ

Manson อธิบายว่า เรามีพลังงานจำกัดในแต่ละวัน เหมือนกับมีเหรียญจำนวนหนึ่งในกระเป๋า ถ้าเราเอาเหรียญเหล่านี้ไปใช้กับสิ่งไม่สำคัญ เมื่อเจอเรื่องสำคัญจริงๆ เราก็จะไม่มีพลังงานเหลือให้แล้ว

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ นักเรียนคนหนึ่งที่ใช้เวลาทั้งคืนเล่นเกมและดูซีรีส์ แล้วมาเครียดตอนสอบใกล้ จริงๆ แล้วเขาใช้พลังงานทางจิตใจไปกับความสนุกชั่วคราว จนไม่มีพลังงานเหลือสำหรับสิ่งที่สำคัญกว่า คือการเรียน

หรือตัวอย่างในที่ทำงาน คนที่ใช้เวลาไปกังวลว่าเพื่อนร่วมงานจะคิดยังไงกับเสื้อผ้าที่เขาใส่ แทนที่จะโฟกัสไปที่คุณภาพงานที่เขาทำ ผลที่ได้คือ งานออกมาไม่ดี และเขาก็ยังคงกังวลอยู่ดี

เลือกปัญหาที่คุณอยากแก้

จุดสำคัญที่ Manson เน้นย้ำคือ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาในชีวิตได้ แต่เราเลือกปัญหาที่เราอยากจะเผชิญได้

คิดดูสิ นักกีฬาโอลิมปิกต้องตื่นเช้า ฝึกหนัก เจ็บปวด เหนื่อยยาก ไม่มีเวลาสนุกเหมือนคนอื่น แต่เขาเลือกที่จะทนกับปัญหาเหล่านี้ เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจน

ในทางกลับกัน คนที่อยากสุขสบาย ไม่อยากลำบาก ไม่อยากเหนื่อย เขาก็จะได้ปัญหาอื่นแทน คือความน่าเบื่อ การขาดพัฒนาตัวเอง และความรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย

เรื่องนี้เหมือนกับการเลือกร้านอาหาร ถ้าเราเลือกกินอาหารอร่อย เราต้องยอมจ่ายเงินแพงและอาจจะอ้วนขึ้น ถ้าเราเลือกกินอาหารถูกและดีต่อสุขภาพ เราต้องยอมว่าอาจจะไม่อร่อยเท่าไหร่ ไม่มีทางเลือกไหนที่สมบูรณ์แบบ

ค่านิยมที่ดี vs ค่านิยมที่แย่

Manson แบ่งค่านิยมออกเป็น 2 ประเภท คือค่านิยมที่ดีและค่านิยมที่แย่

ค่านิยมที่แย่ มักจะเป็นสิ่งที่:

  • ขึ้นอยู่กับคนอื่น เช่น การได้รับการยอมรับ
  • ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความดัง ความสำเร็จภายนอก
  • ไม่ใช่สิ่งที่แท้จริงของเรา เช่น การแสดงตัวให้ดูดีเพื่อคนอื่น

ตัวอย่างของค่านิยมที่แย่ เช่น หนุ่มคนหนึ่งที่ใช้เงินซื้อรถแพงๆ ที่เขาไม่มีเงินจ่าย เพื่อให้คนอื่นคิดว่าเขาประสบความสำเร็จ ผลที่ได้คือ เขาเป็นหนี้ เครียด และไม่มีความสุขจริงๆ

ค่านิยมที่ดี จะเป็นสิ่งที่:

  • ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เช่น ความซื่อสัตย์ ความพยายาม
  • สามารถควบคุมได้ เช่น การเรียนรู้ การปรับปรุงตัวเอง
  • สร้างคุณค่าให้กับเราและคนรอบข้าง

ตัวอย่างของค่านิยมที่ดี เช่น หมอคนหนึ่งที่เลือกทำงานในโรงพยาบาลรัฐ แม้จะได้เงินน้อยกว่าเปิดคลินิกส่วนตัว เพราะเขาต้องการช่วยเหลือคนจน เขามีความสุขจากการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่จากเงินหรือชื่อเสียง

การรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง

หนึ่งในแนวคิดที่ Manson เน้นหนักคือ การรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่การโทษคนอื่นหรือสถานการณ์

เขาเล่าเรื่องของเพื่อนที่เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ขาพิการ เพื่อนคนนี้สามารถเลือกได้ระหว่างการโทษคนที่ขับรถชน หรือยอมรับและปรับตัว เพื่อนของเขาเลือกที่จะยอมรับ เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบใหม่ และกลับมามีความสุขได้

นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราคือความผิดของเรา แต่หมายความว่า เราเป็นคนเดียวที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้

ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน คือนักเรียนที่โทษครูว่าสอนไม่ดี จึงทำให้เขาสอบตก เขาสามารถเลือกได้ว่าจะโทษครูต่อไป หรือจะหาวิธีเรียนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง อ่านหนังสือ ดูวิดีโอออนไลน์ หรือเข้าคอร์สเสริม

การปฏิเสธ: พลังแห่งการพูด “ไม่”

Manson สอนว่า การปฏิเสธคือทักษะสำคัญที่เราต้องเรียนรู้ การที่เราพูด “ใช่” กับทุกอย่าง จะทำให้เราไม่มีเวลาสำหรับสิ่งสำคัญ

ลองนึกถึงคนที่ไม่เคยปฏิเสธใคร เขาตอบตกลงทุกคำเชิญ ทำทุกงานที่คนขอ ช่วยเหลือทุกคน ฟังดูดีใช่ไหม? แต่ผลที่ตามมาคือ เขาไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาพัฒนาตัวเอง ไม่มีเวลาทำสิ่งที่เขารัก

การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราไม่อยากให้คนอื่นผิดหวัง แต่ Manson บอกว่า เราต้องยอมให้คนบางคนผิดหวัง เพื่อที่เราจะมีเวลาและพลังงานสำหรับคนและสิ่งที่สำคัญจริงๆ

เรียนรู้จากความล้มเหลว

สังคมเรามักจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลว แต่ Manson มองว่า ความล้มเหลวคือครูที่ดีที่สุด เพราะมันบอกเราตรงๆ ว่าอะไรผิด แล้วเราจะได้ปรับแก้

เขายกตัวอย่างนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ล้มเหลวหลายครั้งก่อนที่จะสำเร็จ Steve Jobs ถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาก่อตั้งเอง แต่เขาเรียนรู้จากความผิดพลาด กลับมาทำให้ Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

หรือนักเรียนที่สอบตก แทนที่จะท้อแท้ เขาอาจจะค้นพบว่าเขาเรียนผิดวิธี หรือไม่เข้าใจพื้นฐาน การสอบตกครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณให้เขาปรับวิธีเรียน

ยอมรับว่าเราไม่รู้ทุกอย่าง

หนึ่งในอุปสรรคของการเรียนรู้คือ ความคิดที่ว่าเรารู้ทุกอย่างแล้ว Manson เรียกสิ่งนี้ว่า “ความไม่รู้เรื่องแบบไม่รู้ตัว”

เขาเล่าว่า เมื่อเขาอายุ 20 กว่า เขาคิดว่าเขารู้เรื่องผู้หญิงดี รู้วิธีจีบ รู้วิธีทำให้คนรัก แต่พอเขาเริ่มฟังความคิดเห็นของผู้หญิงจริงๆ เขาค้นพบว่า สิ่งที่เขาคิดว่ารู้นั้นผิดหมดเปลือก

การยอมรับว่าเราไม่รู้ จะเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่ยอมรับความผิดพลาดและพร้อมเรียนรู้

ตัวอย่างเช่น พ่อค้าขายของออนไลน์ที่คิดว่าเขารู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่พอเขาเริ่มสำรวจและถามลูกค้าจริงๆ เขาพบว่าความต้องการของลูกค้าไม่เหมือนที่เขาคิด เขาจึงปรับสินค้าและบริการ ทำให้ยอดขายดีขึ้น

การตายและความหมายของชีวิต

ในบทสุดท้าย Manson พูดถึงเรื่องการตายว่า การคิดถึงความตายจะทำให้เรามองเห็นสิ่งที่สำคัญจริงๆ ในชีวิต

เขายกตัวอย่างคนที่กำลังจะตาย มักจะเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำผิด พวกเขาเสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลากับครอบครัว ไม่ได้ทำตามความฝัน ไม่ได้บอกรักคนที่รัก

การรู้ว่าชีวิตเรามีจำกัด จะทำให้เราเลิกเสียเวลากับเรื่องไม่สำคัญ และเริ่มโฟกัสไปที่สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

บทเรียนสำหรับชีวิตประจำวัน

จากหนังสือเล่มนี้ เราสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายอย่าง:

ก่อนที่จะทำอะไร ให้ถามตัวเองว่า “เรื่องนี้สำคัญจริงๆ ไหม?” ถ้าคำตอบคือไม่ ก็อย่าเสียเวลาและพลังงานไปกับมัน

เลิกเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย จำไว้ว่าคนอื่นแสดงแต่ด้านดี ไม่ได้แสดงปัญหาและความยากลำบาก

ยอมรับปัญหาและความยากลำบาก เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แทนที่จะหนี ให้มองหาวิธีแก้ไขและเรียนรู้จากมัน

ตั้งเป้าหมายที่ขึ้นอยู่กับตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพึ่งคนอื่นหรือสถานการณ์ภายนok

เรียนรู้การพูด “ไม่” กับสิ่งที่ไม่สำคัญ เพื่อให้มีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญ

อย่ากลัวความล้มเหลว มันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และเติบโต

ในท้ายที่สุด “ศิลปะแห่งการไม่สนใจ” ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่แคร์อะไรเลย แต่หมายความว่า เราจะเลือกแคร์สิ่งที่สำคัญจริงๆ และปล่อยวางสิ่งที่ไม่สำคัญ เพื่อให้เรามีชีวิตที่มีความหมายและมีความสุขมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเราเริ่มจากสิ่งเล็กๆ เช่น ลดเวลาดูโซเชียลมีเดีย เพิ่มเวลาทำสิ่งที่เรารัก เราจะค่อยๆ รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น เป็นของเราขึ้น และมีความสุขที่แท้จริงมากขึ้น

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment