ถ้าใครเคยสงสัยว่าทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จในชีวิต ในขณะที่บางคนดิ้นรนแต่ยังไม่เจอทางออก หนังสือ “The 7 Habits of Highly Effective People” ของ Stephen R. Covey อาจจะมีคำตอบที่คุณกำลังมองหา
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่คู่มือการทำงาน แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง Covey ใช้เวลากว่า 25 ปีในการวิจัยและศึกษา จนค้นพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จยั่งยืนมีนิสัยร่วมกัน 7 ข้อ ที่เป็นเหมือน DNA ของความสำเร็จ
เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ก่อนที่จะไปดู 7 นิสัย เราต้องเข้าใจหลักคิดพื้นฐานก่อน Covey บอกว่าความสำเร็จที่แท้จริงต้องเริ่มจาก “ชัยชนะส่วนตัว” ก่อนที่จะไปสู่ “ชัยชนะต่อสาธารณะ”
ลองนึกภาพคุณเป็นต้นไผ่ หากรากไม่แข็งแรง แม้ลำต้นจะเติบโตได้สูง แต่เมื่อมีลมแรงมา ก็จะโค่นล้มได้ง่าย นิสัย 3 ข้อแรกคือการสร้าง “ราก” ให้แข็งแรง นิสัย 3 ข้อถัดไปคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และนิสัยสุดท้ายคือการบำรุงรักษาทั้งหมดให้คงอยู่
นิสัยที่ 1: Be Proactive – เป็นคนริเริ่ม ไม่ใช่คนรอ
“ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา และการตอบสนองของเรา มีช่องว่างที่เราสามารถเลือกได้”
คนส่วนใหญ่มักจะเป็น “reactive” คือตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนลูกบอลที่ถูกเตะไปมา แต่คนที่ประสบความสำเร็จเป็น “proactive” คือเลือกการตอบสนองของตัวเองได้
ตัวอย่างจริง: น้องมิ้นต์เป็นพนักงานขายที่ผลงานไม่ค่อยดี เธอมักจะบ่นว่า “เศรษฐกิจแย่ ลูกค้าไม่มีเงิน ผลิตภัณฑ์ราคาแพง” แต่เมื่อเธอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เธอเปลี่ยนมาคิดว่า “ฉันจะทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์นี้?”
เธอเริ่มศึกษาลูกค้า หาข้อมูลคู่แข่ง พัฒนาทักษะการนำเสนอ และปรับกลยุทธ์ใหม่ ผลที่ได้คือ ยอดขายเธอพุ่งขึ้น 200% ภายใน 6 เดือน
คำถามสำคัญคือ: คุณใช้เวลากับสิ่งที่ควบคุมได้มากกว่าสิ่งที่ควบคุมไม่ได้หรือเปล่า?
นิสัยที่ 2: Begin with the End in Mind – เริ่มด้วยการมองปลายทาง
“หากคุณไม่รู้ว่าจะไปไหน ทางไหนก็ไปได้”
Covey เล่าเรื่องที่น่าคิด: ลองนึกภาพคุณอยู่ในงานศพของตัวเอง มีคนมาร่วมงาน 4 กลุ่ม – ครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และคนในชุมชน พวกเขาจะพูดอะไรถึงคุณ?
การออกแบบชีวิตก็เหมือนการสร้างบ้าน ต้องมีแบบแปลนก่อน ไม่งั้นจะได้บ้านที่สวยแต่ไม่สามารถอยู่ได้ หรือใช้งานได้แต่ไม่สวย
ตัวอย่างจริง: พี่โต้งเป็นหมอที่ทำงานหนักมาก รายได้ดี แต่รู้สึกว่างเปล่า เขาใช้เวลาเขียน “พันธกิจชีวิต” ของตัวเอง และพบว่าสิ่งที่เขาต้องการคือ “เป็นหมอที่รักษาคน พ่อที่ดี และคนที่ช่วยเหลือสังคม”
เขาเปลี่ยนจากการทำงานเก็บเงิน มาเป็นการทำงานเพื่อสร้างคุณค่า เขาเปิดคลินิกในชุมชนยากจน สอนหนังสือลูก และมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น รายได้ลดลง แต่ความสุขเพิ่มขึ้น
วิธีเขียนพันธกิจชีวิต:
- คุณอยากให้คนจดจำคุณในฐานะอะไร?
- คุณอยากสร้างผลกระทบอะไรให้โลก?
- ค่านิยมสำคัญของคุณคืออะไร?
นิสัยที่ 3: Put First Things First – จัดลำดับความสำคัญ
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการทำสิ่งที่สำคัญที่สุด”
Covey แบ่งงานทั้งหมดออกเป็น 4 ประเภท:
- ช่องที่ 1: เร่งด่วนและสำคัญ (วิกฤต เช่น ไฟไหม้ ป่วยหนัก)
- ช่องที่ 2: ไม่เร่งด่วนแต่สำคัญ (การป้องกัน การพัฒนา เช่น ออกกำลังกาย เรียนรู้ใหม่)
- ช่องที่ 3: เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ (การรบกวน เช่น โทรศัพท์บางสาย อีเมลไม่สำคัญ)
- ช่องที่ 4: ไม่เร่งด่วนและไม่สำคัญ (การเสียเวลา เช่น เล่นเกม ดูซีรีส์เกินไป)
คนประสบความสำเร็จใช้เวลาในช่องที่ 2 มากที่สุด
ตัวอย่างจริง: น้องปิงเป็นนักศึกษาปี 4 ที่เรียนเก่ง แต่รู้สึกเครียดเสมอ เธอวิเคราะห์การใช้เวลาแล้วพบว่า เธอใช้เวลา 70% ในช่องที่ 1 (ทำงานด่วน ทำรายงานกะทันหัน) และ 25% ในช่องที่ 3-4 (ดูโซเชียล ซีรีส์) แต่ใช้เวลาในช่องที่ 2 เพียง 5%
เธอเปลี่ยนพฤติกรรมโดย:
- วางแผนการเรียนล่วงหน้า (ช่องที่ 2)
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (ช่องที่ 2)
- เรียนรู้ทักษะใหม่ที่จำเป็นสำหรับงาน (ช่องที่ 2)
- ลดเวลาดูโซเชียลมีเดีย
ผลคือ เกรดดีขึ้น ความเครียดลดลง และได้งานที่ต้องการ
นิสัยที่ 4: Think Win-Win – คิดให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
“ในชีวิต ไม่จำเป็นต้องมีคนแพ้ เพื่อให้เรื่องชนะ”
คนส่วนใหญ่มักคิดแบบ Win-Lose (ฉันชนะ เธอแพ้) หรือ Lose-Win (ฉันยอมแพ้ เพื่อให้เธอชนะ) แต่คนที่ประสบความสำเร็จคิดแบบ Win-Win (ทุกคนชนะ)
ตัวอย่างจริง: บริษัทของพี่แจ็คมีปัญหาลูกค้าผิดนัดชำระเงินบ่อย วิธีเก่าคือส่งทนายฟ้องร้อง (Win-Lose) หรือยอมรับ (Lose-Win) แต่เขาเปลี่ยนมาใช้ Win-Win
เขาไปคุยกับลูกค้า ศึกษาปัญหาของลูกค้า แล้วร่วมกันหาวิธีแก้ไข เช่น แบ่งชำระเป็นงวด ปรับเงื่อนไขสัญญา หรือยืดเวลาการส่งงาน
ผลคือ ลูกค้าพึงพอใจ ได้เงินครบ และมีความสัมพันธ์ที่ดีระยะยาว ธุรกิจเติบโตแบบยั่งยืน
หลักการคิด Win-Win:
- ทุกคนมีศักดิ์ศรี
- มองหาผลประโยชน์ร่วมกัน
- สื่อสารอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์
- หาทางออกที่ดีกว่าเดิม
นิสัยที่ 5: Seek First to Understand, Then to be Understood – เข้าใจก่อน แล้วจึงให้เข้าใจ
“เรามี 2 หู 1 ปาก ใช้ในอัตราส่วนนั้น”
ปัญหาใหญ่ของคนเราคือ เวลาคนอื่นพูด เรามักจะคิดว่าจะตอบอะไร แทนที่จะตั้งใจฟังจริงๆ
การฟังมี 5 ระดับ:
- ไม่ฟังเลย – วุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง
- แกล้งฟัง – พยักหน้า แต่คิดเรื่องอื่น
- ฟังแบบเลือกสรร – ฟังเฉพาะที่สนใจ
- ฟังแบบตั้งใจ – มุ่งเน้นกับคำพูด
- ฟังด้วยใจ – ฟังทั้งคำพูด อารมณ์ และความรู้สึก
ตัวอย่างจริง: พี่นก เป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่มีปัญหากับทีมงาน เขามักจะให้คำสั่งแล้วหงุดหงิดเมื่อลูกน้องไม่ทำตาม
เมื่อเขาเปลี่ยนมาฟังก่อน เขาพบว่า:
- ลูกน้องคนหนึ่งมีปัญหาครอบครัว เลยทำงานไม่มีสมาธิ
- อีกคนไม่เข้าใจเป้าหมายที่แท้จริง เลยทำงานผิดทิศทาง
- คนอื่นๆ ต้องการการฝึกอบรมเพิ่มเติม
เขาเปลี่ยนมาปรับแต่งงานให้เหมาะกับแต่ละคน ให้การสนับสนุน และฝึกอบรม ผลคือ ผลงานทีมดีขึ้น 150% และทุกคนมีความสุขในการทำงาน
เทคนิคการฟังที่ดี:
- ฟังด้วยตา (สังเกตภาษากาย)
- ฟังด้วยหู (ฟังคำพูด)
- ฟังด้วยใจ (เข้าใจความรู้สึก)
- สรุปให้ฟังว่าเข้าใจถูกต้องไหม
นิสัยที่ 6: Synergize – ร่วมมือกันให้เกิดพลังเหนือกว่า
“ทั้งหมดมากกว่าผลรวมของแต่ละส่วน”
Synergy เกิดขึ้นเมื่อคนหลายคนมาร่วมมือกัน และสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำงานคนเดียว 1+1 = 3, 5, หรือแม้แต่ 10
ตัวอย่างจริง: บริษัทแห่งหนึ่งมีปัญหาคือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ค่อยขายดี ฝ่ายต่างๆ ทำงานแยกกัน:
- ฝ่ายวิจัยคิดว่าผลิตภัณฑ์ดีที่สุดแล้ว
- ฝ่ายการตลาดบอกว่าราคาแพงเกินไป
- ฝ่ายขายบ่นว่าขายยาก
- ฝ่ายผลิตต้องการลดต้นทุน
แต่เมื่อพวกเขานั่งคุยกันจริงจัง พบว่า:
- ฝ่ายวิจัยมีเทคโนโลยีที่ลดต้นทุนได้
- ฝ่ายการตลาดรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร
- ฝ่ายขายรู้จุดอ่อนของคู่แข่ง
- ฝ่ายผลิตมีความยืดหยุ่นในการปรับกระบวนการ
เมื่อรวมกัน พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ราคาแข่งขันได้ และผลกำไรสูงกว่าเดิม 300%
เงื่อนไขของ Synergy:
- เปิดใจกับความคิดเห็นที่แตกต่าง
- เคารพในจุดแข็งของแต่ละคน
- มุ่งเน้นเป้าหมายร่วมกัน
- สื่อสารอย่างโปร่งใส
นิสัยที่ 7: Sharpen the Saw – ลับเลื่อยให้คม
“ให้เวลาฉัน 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ฉันจะใช้ 4 ชั่วโมงแรกลับเลื่อยให้คม”
Covey เปรียบเทียบเราเป็นคนตัดไม้ที่ตัดมาทั้งวัน จนเหนื่อยและเลื่อยทื่อ แต่ไม่หยุดพักเพื่อลับเลื่อย เพราะคิดว่าไม่มีเวลา
การ “ลับเลื่อย” คือการพัฒนาตัวเองใน 4 มิติ:
1. มิติร่างกาย
- ออกกำลังกาย กิน พัก ผ่อน ที่สมดุล
- ไม่เอาแต่ทำงาน จนสุขภาพพัง
2. มิติจิตใจ/อารมณ์
- จัดการความเครียด
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- ทำสิ่งที่ทำให้มีความสุข
3. มิติสมอง
- อ่านหนังสือ เรียนรู้สิ่งใหม่
- ฝึกคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา
- เขียนบันทึกความคิด
4. มิติจิตวิญญาณ
- ทำสมาดิ ไตร่ตรอง
- ใช้ชีวิตตามค่านิยม
- ช่วยเหลือผู้อื่น ทำประโยชน์ให้สังคม
ตัวอย่างจริง: น้องเฟิร์น เป็นนักศึกษาที่เรียนดี แต่รู้สึกเหนื่อยหน่ายตลอดเวลา เธอใช้เวลาทั้งหมดกับการเรียน ไม่ออกกำลังกาย ไม่พบเพื่อน และไม่ทำกิจกรรมอื่น
เมื่อเธอเริ่มฝึก “ลับเลื่อย”:
- ร่างกาย: วิ่งเล่นเช้า 30 นาที กินอาหารครบ 5 หมู่
- จิตใจ: ใช้เวลากับเพื่อนๆ ทำงานอดิเรกที่ชอบ
- สมอง: อ่านหนังสือนอกเหนือการเรียน ฝึกคิดเชิงวิพากษ์
- จิตวิญญาณ: ทำสมาดิ 10 นาทีก่อนนอน ทำกิจกรรมอาสาสมัครสุดสัปดาห์
ผลคือ เกรดไม่ได้ลดลง แต่มีความสุขมากขึ้น มีพลังในการเรียนมากขึ้น และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
การนำ 7 นิสัยไปใช้ในชีวิตจริง
เริ่มต้นอย่างไร?
- เริ่มจากนิสัยที่ 1: ถามตัวเองทุกเช้าว่า “วันนี้ฉันจะควบคุมอะไรได้บ้าง?”
- เขียนพันธกิจชีวิต: ใช้เวลาสักวันคิดว่าอยากให้ชีวิตเป็นอย่างไร
- วางแผนสัปดาห์: แบ่งงานตาม 4 ช่อง ให้เวลามากกับช่องที่ 2
- ฝึกฟัง: เลือกคนสักคนในชีวิต พยายามเข้าใจเขาให้มากขึ้น
- หาโอกาสทำงานร่วมกับคนอื่น: แทนที่จะแข่งขัน ให้ลองร่วมมือ
- กำหนดเวลาพัฒนาตัวเอง: วันละ 1 ชั่วโมง สำหรับการ “ลับเลื่อย”
อุปสรรคที่พบบ่อย:
- ไม่อดทน: นิสัยใหม่ต้องใช้เวลา 21-66 วัน ถึงจะเป็นธรรมชาติ
- ลืม: ตั้งเตือนความจำ หรือหาเพื่อนช่วยเตือน
- ท้อแท้: เริ่มทีละข้อ อย่าเร่งทำให้สำเร็จทีเดียว
- คนรอบข้างไม่เข้าใจ: อธิบายให้ฟัง แต่อย่าบังคับ
บทสรุป: จากนิสัยสู่ลักษณะนิสัย
Stephen Covey เตือนเราว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่การแต่งหน้าผ่านทางเทคนิค แต่เป็นการผ่าตัดผ่านทางการปรับเปลี่ยนนิสัย
7 นิสัยนี้เหมือนเสาเข็ม 7 ต้น ที่จะรองรับ “ตึกชีวิต” ของเรา:
- 3 ต้นแรกคือรากฐานส่วนตัว
- 3 ต้นถัดไปคือความสัมพันธ์กับคนอื่น
- 1 ต้นสุดท้ายคือการบำรุงรักษาทั้งหมด
เมื่อเราฝึกจนนิสัยเหล่านี้เป็นธรรมชาติ เราจะไม่ต้องคิดมากก่อนทำ เพราะมันจะกลายเป็น “ลักษณะนิสัย” ที่ติดตัวเราไป
คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่คนที่โชคดี หรือเก่งกว่าใคร แต่เป็นคนที่มีนิสัยที่ดี และใช้นิสัยเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นวิถีชีวิต
การเดินทางพัฒนาตัวเองไม่มีวันจบ แต่ทุกย่างก้าวจะทำให้เรามีชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น ไม่เพียงแต่ตัวเราจะมีความสุข แต่คนรอบข้างก็จะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากเราด้วย
อย่าลืมว่า “เราคือสิ่งที่เราทำซ้ำๆ ความเป็นเลิศจึงไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นนิสัย”
ดังนั้น วันนี้คุณจะเริ่มนิสัยไหนก่อน?
#hrรีพอร์ต
Leave a comment