“เขียนหนังสือยาก แต่ขายหนังสือยิ่งยากกว่า” นี่คือประโยคเปิดที่ Ricardo Fayet หนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Reedsy ใช้เริ่มต้นหนังสือ “How to Market a Book: Overperform in a Crowded Market”

แล้วคุณรู้มั้ยว่าทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้ดี? เพราะเขาช่วยนักเขียนถึง 150,000 คนทำการตลาดหนังสือผ่านจดหมายข่าวรายสัปดาห์ จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดหนังสือระดับโลก

วันนี้เราจะมาฟังเรื่องราวและเคล็ดลับจากเขากันว่า นักเขียนในยุคนี้ควรทำการตลาดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

มหาสมุทรแห่งหนังสือ

ลองนึกภาพดูสิ ว่าตลาดหนังสือในยุคนี้เปรียบเสมือนมหาสมุทรที่มีหนังสือล้นทะลัก ทุกวันมีหนังสือใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นหมื่นเล่ม ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หนังสือพิมพ์ หรือหนังสือเสียง

นักเขียนคนหนึ่งที่ Ricardo เล่าถึงเคยบอกว่า “หลังจากที่ผมเขียนหนังสือเสร็จ ผมคิดว่าแค่โพสต์ขายบน Amazon แล้วรอ ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นเองแหละ” แต่ผลที่ได้คือ หนึ่งเดือนผ่านไป ขายได้แค่ 3 เล่ม… ให้ญาติเพื่อน

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับนักเขียนหลายพันคนทุกวัน เพราะพวกเขาคิดว่าการเขียนหนังสือที่ดีคือทั้งหมดแล้ว แต่ความจริงคือ การทำการตลาดหนังสือมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเรียนรู้

นักเขียนทำทุกอย่างแต่ไม่ได้ผล

Ricardo เล่าว่า นักเขียนในยุคนี้รู้สึกเหมือนต้องเป็น “Superman” ทำได้ทุกอย่าง:

  • ต้องโพสต์โซเชียลมีเดียทุกวัน
  • ต้องไปร่วมบล็อกทัวร์
  • ต้องจ่ายเงินโฆษณา
  • ต้องทำโปรโมชันลดราคา
  • ต้องสร้างอีเมลรายชื่อ
  • ต้องจัดกิจกรรมแจกของรางวัล
  • แล้วก็อีกเป็นร้อยๆ อย่าง

ผลที่ได้คือ นักเขียนหลายคนรู้สึกเหนื่อยล้า ใช้เวลาทำการตลาดมากกว่าเขียนหนังสือ และที่แย่ที่สุดคือ… ยอดขายก็ไม่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่

มีนักเขียนคนหนึ่งเล่าให้ Ricardo ฟังว่า “ผมใช้เวลา 8 ชั่วโมงต่อวันทำการตลาด แต่เขียนหนังสือได้แค่วันละ 1 ชั่วโมง ผลคือ หนังสือเล่มที่สองออกช้าไปหนึ่งปี และยอดขายก็ไม่ได้ดีขึ้นมากเท่าไหร่”

ไม่ต้องทำทุกอย่าง!

แล้ว Ricardo มีคำตอบอะไรให้กับปัญหานี้? เขาบอกว่า “คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง!”

ฟังดูเหมือนไม่น่าเชื่อใช่มั้ย? แต่นี่คือความจริงที่เขาค้นพบจากการวิเคราะห์ข้อมูลนักเขียนที่ประสบความสำเร็จหลายพันคน

หลักการง่ายๆ คือ: ทำน้อย แต่ทำให้เก่ง

แทนที่จะทำ 20 อย่างแล้วได้ผลร้อยละ 10 ทุกอย่าง ให้เลือกแค่ 2-3 อย่าง แล้วทำให้ได้ผลร้อยละ 80

เปลี่ยนกรอบความคิดเป็นขั้นตอนแรก

Ricardo เล่าเรื่องนักเขียนคนหนึ่งชื่อ Sarah ที่มาปรึกษาเขา Sarah เขียนนิยายแฟนตาซีแล้วใช้เวลา 3 ปี แต่ขายได้แค่ 50 เล่ม

เมื่อ Ricardo ถามว่า “คุณเขียนหนังสือนี้เพราะอะไร?”

Sarah ตอบว่า “เพราะเป็นเรื่องราวที่ผมอยากเล่า”

“แล้วคุณรู้มั้ยว่าใครจะอยากอ่าน?”

“เอ่อ… คนที่ชอบแฟนตาซีน่ะสิ”

“แล้วคนที่ชอบแฟนตาซีเขาชอบอะไรกันบ้าง? เขาอ่านหนังสือใครบ้าง? เขาซื้อหนังสือที่ไหน?”

Sarah ตอบไม่ได้

นี่คือปัญหาใหญ่ที่ Ricardo พบบ่อย: นักเขียนเขียนหนังสือที่ตัวเองอยากเขียน แต่ไม่รู้ว่าใครจะอยากอ่าน

คำแนะนำของ Ricardo คือ: อย่าเขียนหนังสือแล้วค่อยหาคนอ่าน แต่ให้หาว่าคนอ่านอยากอ่านอะไร แล้วค่อยเขียน

การวิจัยตลาด

หลังจากที่ Sarah เปลี่ยนวิธีคิดแล้ว เธอเริ่มทำการวิจัยตลาด Ricardo สอนเธอขั้นตอนง่ายๆ:

ขั้นตอนที่ 1: หาหนังสือขายดีในแนวเดียวกัน

Sarah ไปดูหนังสือแฟนตาซีที่ขายดีใน Amazon Top 100 เธอพบว่า:

  • ส่วนใหญ่เป็น “Young Adult Fantasy”
  • มีรูปแบบเป็นซีรีส์ ไม่ใช่เล่มเดียวจบ
  • ตัวเอกมักเป็นเด็กผู้หญิงวัย 16-18 ปี
  • มีธีมเกี่ยวกับ “จากคนธรรมดาสู่พลังวิเศษ”

ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ปกหนังสือ

เธอสังเกตว่าปกหนังสือขายดีมีลักษณะ:

  • สีสันสดใส (ไม่ใช่สีมืดๆ)
  • มีตัวละครหญิงเด่นชัด
  • ฟอนต์ที่อ่านง่าย
  • มี “element” แฟนตาซีเห็นชัดเจน (เช่น ปีก, ดาบ, เวทมนตร์)

ขั้นตอนที่ 3: อ่านรีวิวของผู้อ่าน

Sarah ใช้เวลาอ่านรีวิว 5 ดาว และ 1 ดาว ของหนังสือขายดี เธอพบว่า:

  • ผู้อ่านชอบตัวละครที่ “relatable” (เข้าถึงได้)
  • ผู้อ่านไม่ชอบเนื้อเรื่องช้าเกินไป
  • ผู้อ่านอยากได้ romance subplot (โรแมนซ์เป็นเรื่องเล็ก)

ผลลัพธ์

หลังจากศึกษาตลาดแล้ว Sarah ตัดสินใจเขียนหนังสือใหม่ตามที่ตลาดต้องการ ผลคือ:

  • หนังสือเล่มใหม่ขายได้ 2,000 เล่มในเดือนแรก
  • ได้รีวิว 4.3 ดาวจาก 150 คน
  • มีคนขอให้เขียนภาคต่อ

เทคนิคของ Amazon

Ricardo เล่าต่อว่า Amazon คือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ เพราะยอดขายหนังสือ 70-80% เกิดขึ้นที่ Amazon

เคล็ดลับการหาคำค้น (Keywords)

วิธีง่ายๆ ที่ Ricardo สอน:

  1. เปิด Amazon ในโหมด Incognito
  2. พิมพ์คำค้นที่เกี่ยวกับหนังสือของคุณ
  3. ดูคำแนะนำอัตโนมัติที่ขึ้นมา

ตอนที่ Sarah ทดลองพิมพ์ “young adult fantasy” คำแนะนำที่ขึ้นมาคือ:

  • young adult fantasy romance
  • young adult fantasy series
  • young adult fantasy magic academy
  • young adult fantasy enemies to lovers

Sarah เลือกใช้คำว่า “magic academy” และ “enemies to lovers” ในการเขียนโปรโมต หนังสือของเธอ

การเลือกหมวดหนังสือ (Categories)

Ricardo เตือนว่า อย่าโลภ อย่าเอาหนังสือไปใส่ทุกหมวด

Sarah เคยใส่หนังสือในหมวด:

  • Fantasy
  • Romance
  • Adventure
  • Coming of Age
  • Magic

แต่ Ricardo แนะนำให้เลือกแค่ 2 หมวดที่เหมาะสมที่สุด คือ “Young Adult Fantasy” และ “Teen Romance” เพราะการแข่งขันน้อยกว่า และตรงกับเนื้อหามากที่สุด

ผลลัพธ์: หนังสือของ Sarah ขึ้นอันดับ 15 ใน “Young Adult Fantasy” แต่ถ้าใส่ใน “Fantasy” ทั่วไป จะอยู่อันดับ 5,000 กว่า

กลยุทธ์การสร้างฐานแฟน

เทคนิค “Street Team”

Ricardo อธิบายว่า “Street Team” คือกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่จะช่วยโปรโมทหนังสือให้

Sarah ทำดังนี้:

  1. สร้างกรุ๊ป Facebook “Sarah’s Fantasy Readers”
  2. ชวนเพื่อนๆ และครอบครัวเข้าร่วม (เริ่มต้น 20 คน)
  3. แชร์เบื้องหลังการเขียน, ตัวอย่างบท, ภาพประกอบ
  4. ให้อ่านหนังสือก่อนใครฟรี แลกกับการรีวิว

ภายใน 6 เดือน กรุ๊ปมีสมาชิก 500 คน และเมื่อหนังสือออกใหม่ Sarah ได้รีวิว 50 รีวิวใน 3 วันแรก

การสร้างอีเมลลิสต์

Ricardo เน้นว่า อีเมลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของนักเขียน เพราะ:

  • เป็นของคุณ 100% (ไม่ใช่ของ Facebook หรือ Instagram)
  • เข้าถึงผู้อ่านได้โดยตรง
  • ผู้คนที่ให้อีเมลมักจะซื้อหนังสือ

Sarah ทำดังนี้:

  1. สร้าง PDF “10 เทคนิคการสร้างโลกแฟนตาซี” แจกฟรี
  2. ตั้งหน้าเว็บให้คนกรอกอีเมลแลกกับ PDF
  3. ส่งอีเมลสัปดาห์ละครั้ง แชร์เรื่องการเขียน

ผลคือ ได้อีเมลลิสต์ 1,200 คน ก่อนหนังสือออก และเมื่อหนังสือออก มียอดสั่งซื้อล่วงหน้า 300 เล่ม

กลยุทธ์การเปิดตัวหนังสือ

การได้รีวิวในช่วงแรก

Ricardo เล่าว่า รีวิวในสัปดาห์แรกสำคัญมาก เพราะ Amazon Algorithm จะดูว่าหนังสือไหนได้รับความสนใจ

เป้าหมายคือ ได้อย่างน้อย 20 รีวิวในสัปดาห์แรก

Sarah วางแผนดังนี้:

  • ส่งหนังสือให้ Street Team 50 คน (คาดหวัง 30 รีวิว)
  • ส่งให้เพื่อนนักเขียน 10 คน (คาดหวัง 7 รีวิว)
  • ส่งให้บล็อกเกอร์ 5 คน (คาดหวัง 3 รีวิว)

ผลจริง: ได้ 45 รีวิวในสัปดาห์แรก ทำให้ขึ้น Amazon Hot New Release

การใช้โปรโมชันราคา

Ricardo แนะนำให้ใช้ ราคาพิเศษในช่วงเปิดตัว เพื่อ:

  • ดึงดูดคนที่ยังไม่รู้จัก
  • เพิ่มยอดขายให้ขึ้นชาร์ต
  • สร้าง momentum

Sarah ทำ:

  • สัปดาห์แรก: ราคา $0.99 (ปกติ $4.99)
  • สัปดาห์ที่สอง: ราคา $2.99
  • สัปดาห์ที่สาม: ราคาปกติ $4.99

ผลลัพธ์: ขายได้ 800 เล่มในสัปดาห์แรก และเมื่อขึ้นราคา ยอดขายยังคงดีต่อเนื่อง

การสร้างระบบอัตโนมัติ

Ricardo เน้นว่า ความสำเร็จระยะยาวต้องมาจากระบบที่ทำงานเอง ไม่ใช่การทำงานหนักตลอดเวลา

ระบบอีเมลอัตโนมัติ

Sarah ตั้ง email sequence:

  • อีเมลที่ 1: ขอบคุณ + ลิงก์ดาวน์โหลด PDF ฟรี
  • อีเมลที่ 3: แนะนำตัวเขียน + เรื่องราวการเริ่มเขียน
  • อีเมลที่ 7: ส่งตัวอย่างบท + ถามความเห็น
  • อีเมลที่ 14: แจ้งข่าวหนังสือใหม่
  • อีเมลที่ 30: ถ้าหนังสือออกแล้ว ให้ลิงก์ซื้อ + โค้ดลด

ระบบแจกของรางวัลอัตโนมัติ

Sarah ใช้ Rafflecopter สร้างกิจกรรม:

  • ทุกเดือนแจก signed book + swag
  • เงื่อนไข: ติดตาม social media + แชร์โพสต์
  • ระบบจับฉลากและส่งอีเมลแจ้งผลอัตโนมัติ

ผลลัพธ์: Sarah ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ทำการตลาด แต่ยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ควรรู้

Apple Books

Ricardo บอกว่า คำค้นสำคัญที่สุด สำหรับ Apple Books

Sarah ทำ:

  • เพิ่มคำค้นที่เกี่ยวข้องในชื่อเรื่องย่อย “The Magic Academy Chronicles: A Young Adult Fantasy Romance”
  • ใส่คำค้นในเนื้อหา description
  • โปรโมทให้คน search “magic academy fantasy” ใน Apple Books

Google Play Books

Ricardo บอกว่า การลดราคาได้ผลดี ที่ Google Play

Sarah ทำโปรโมชันประจำเดือน:

  • เดือนละครั้ง ลดราคา 50% เป็นเวลา 3 วัน
  • โปรโมทผ่าน social media
  • ได้ visibility เพิ่มขึ้นใน Google Play algorithm

บทเรียนสำคัญจาก Sarah

หลังจาก 1 ปี Sarah เปลี่ยนจาก:

  • หนังสือเล่มแรก: ขาย 50 เล่ม ใน 3 ปี
  • หนังสือเล่มที่สอง: ขาย 5,000 เล่ม ใน 1 ปี

สิ่งที่เปลี่ยน:

  1. กรอบความคิด: เขียนสิ่งที่ตลาดต้องการ ไม่ใช่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ
  2. โฟกัส: ทำแค่ 3-4 กิจกรรมการตลาด แต่ทำให้ดี
  3. ระบบ: สร้างระบบอัตโนมัติที่ทำงานต่อเนื่อง
  4. ความสัมพันธ์: สร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่านแบบระยะยาว

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง

Ricardo เล่าถึงข้อผิดพลาดที่นักเขียนมักทำ:

1. ทำทุกอย่างพร้อมกัน

นักเขียนคนหนึ่งชื่อ Mike พยายามทำ:

  • Facebook Ads
  • Instagram Marketing
  • TikTok Videos
  • Blog Tour
  • Podcast Interviews
  • Book Signings

ผลลัพธ์: ทุกอย่างได้ผลไม่ดี เพราะไม่มีเวลาทำให้ดี

คำแนะนำ: เลือกแค่ 2 อย่าง ทำให้เก่งก่อน แล้วค่อยเพิ่ม

2. คาดหวังผลลัพธ์เร็วเกินไป

นักเขียนอีกคนชื่อ Lisa ทำ Facebook Ads แค่ 1 สัปดาห์ แล้วบอกว่า “ไม่ได้ผล”

ความจริง: การตลาดหนังสือต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนจึงจะเห็นผล

3. ไม่ Follow-up

หลายคนแจกของฟรี แต่ไม่ติดตามผลหรือสร้างความสัมพันธ์ต่อ

คำแนะนำ: ทุก lead ที่ได้ต้องมี follow-up plan

เคล็ดลับ

การทำ Cross-promotion

Ricardo แนะนำให้นักเขียนช่วยเหลือกัน:

  • หานักเขียนในแนวคล้ายกัน
  • แลกเปลี่ยนการโปรโมท
  • ทำ box set รวมกัน
  • จัด joint giveaway

การใช้ AI ช่วยการตลาด (เทรนด์ใหม่)

Ricardo เล่าถึงการใช้ AI ช่วยงาน:

  • ใช้ ChatGPT ช่วยเขียนอีเมลการตลาด
  • ใช้ AI วิเคราะห์คำค้นที่ควรใช้
  • ใช้ AI หาเป้าหมายโฆษณา
  • ใช้ AI เขียน social media posts

ตัวอย่าง: Sarah ใช้ ChatGPT ช่วยเขียน 30 โพสต์ Instagram ในครั้งเดียว ประหยัดเวลาได้ 10 ชั่วโมงต่อเดือน

สรุป

จากเรื่องราวทั้งหมด Ricardo สรุปกฎทองไว้ 5 ข้อ:

1. เข้าใจตลาดก่อนเขียน

อย่าเขียนแล้วค่อยหาคนอ่าน แต่ให้หาคนอ่านแล้วค่อยเขียน

2. โฟกัสดีกว่ากระจาย

ทำ 2-3 อย่างให้เก่ง ดีกว่าทำ 20 อย่างให้พอใช้

3. สร้างความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่ขาย

ผู้อ่านซื้อจากคนที่เขารู้จัก ชอบ และไว้วางใจ

4. ใช้ระบบอัตโนมัติ

สร้างระบบที่ทำงานได้เองเมื่อคุณไม่อยู่

5. อดทนและทำต่อเนื่อง

การตลาดหนังสือเป็นการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งเร็ว 100 เมตร


หนังสือของ Ricardo Fayet นี้ไม่ได้เป็นแค่คู่มือการตลาด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองทั้งหมดเกี่ยวกับการเป็นนักเขียน

ถ้าคุณยังคิดว่าการเขียนหนังสือดีคือทั้งหมด ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดและประสบความสำเร็จเหมือนนักเขียนหลายพันคนที่ Ricardo ช่วยเหลือมา

จำไว้ว่า: เขียนดีเป็นจุดเริ่มต้น แต่การตลาดดีคือสิ่งที่จะพาคุณไปถึงเป้าหมาย

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment