ลองนึกภาพดูครับ คุณมีความรู้เรื่องการทำขนมหวาน แต่ทำงานอยู่ในบริษัทขายประกัน รายได้พอใช้ แต่ใจรู้ดีว่าความฝันที่แท้จริงคือการมีร้านเบเกอรี่เป็นของตัวเอง แต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีเงินทุน ไม่มีชื่อเสียง และไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง
นี่คือสถานการณ์ที่ Mike Kim เจ้าของหนังสือ “You Are The Brand” เคยเผชิญ เขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เคยทำงานในบริษัทใหญ่ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาตระหนักว่า “ตัวเขาเองคือแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ
Mike เล่าว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเขาเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ: “ถ้าฉันไม่ต้องทำงานให้ใครแล้ว ฉันจะทำอะไรดี?”
คำถามนี้ทำให้เขาคิดได้ว่า ความรู้และประสบการณ์ที่เขาสั่งสมมา ไม่ใช่แค่สิ่งที่ใช้ทำงานให้บริษัท แต่สามารถเป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ให้ตัวเองได้
“ในยุคดิจิทัล ทุกคนมีโอกาสเป็นแบรนด์ได้” Mike เขียนไว้ในหนังสือ “ไม่ว่าคุณจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ นักบัญชี หรือแม่บ้าน คุณมีความเชี่ยวชาญในบางเรื่องที่คนอื่นต้องการเรียนรู้”
8 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1: ค้นหา “ของจริง” ในตัวคุณ
Mike เล่าเรื่องของลูกค้าคนหนึ่งชื่อ Sarah ที่เป็นนักบัญชีในบริษัทเล็กๆ เธอคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรพิเศษ จนกระทั่ง Mike ถามว่า “เวลาเพื่อนๆ มีปัญหาอะไร พวกเขามักจะมาปรึกษาเธอเรื่องอะไร?”
Sarah ตอบว่า “เรื่องการเงินส่วนตัว เพื่อนๆ มักจะถามฉันว่าควรจะออมเงินอย่างไร ลงทุนแบบไหน หรือทำไมเงินเดือนหมดไวจัง”
นั่นแหล่ะ! ความเชี่ยวชาญของ Sarah ไม่ใช่แค่การทำบัญชีให้บริษัท แต่คือการช่วยคนธรรมดาจัดการเงินให้ดีขึ้น
Mike อธิบายว่า ความเชี่ยวชาญที่แท้จริงต้องมี 3 องค์ประกอบ:
- สิ่งที่คุณเก่ง: ทักษะหรือความรู้ที่คุณมี
- สิ่งที่คุณชอบ: งานที่ทำแล้วไม่เหนื่อย กลับมีแรงบันดาลใจ
- สิ่งที่ตลาดต้องการ: ปัญหาที่คนยอมจ่ายเงินเพื่อแก้ไข
ขั้นที่ 2: หากลุ่มคนที่ “ใช่” สำหรับคุณ
หลายคนทำผิดพลาดตรงที่อยากเอาใจทุกคน Mike ยกตัวอย่างโค้ชคนหนึ่งที่พูดว่า “ผมช่วยทุกคนได้ครับ คนที่อยากลดน้ำหนัก เพิ่มกล้าม หรือแค่แข็งแรง”
ปัญหาคือ เวลาคนได้ยินแบบนี้ จะคิดว่า “แล้วเขาเชี่ยวชาญเรื่องไหนกันแน่?”
Mike แนะนำให้เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น:
- แทนที่จะเป็น “โค้ชออกกำลังกาย”
- ให้เป็น “โค้ชเฉพาะคนวัย 40+ ที่อยากแข็งแรงแบบยั่งยืน”
การเลือกกลุ่มที่แคบลงทำให้:
- ลูกค้ารู้สึกว่าคุณเข้าใจปัญหาของเขาจริงๆ
- คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่โดนใจได้ดีกว่า
- คำแนะนำของคุณจะตรงจุดมากขึ้น
ขั้นที่ 3: สร้างข้อความที่ “เข้าหัวใจ”
Mike เล่าว่า ตอนแรกเขาพูดเกี่ยวกับตัวเองแบบนี้: “ผมเป็น Marketing Consultant ที่ให้คำปรึกษาด้าน Digital Strategy และ Brand Development”
ใครจะเข้าใจว่าเขาทำอะไรกันแน่?
ต่อมาเขาเปลี่ยนเป็น: “ผมช่วยคนที่มีความเชี่ยวชาญเปลี่ยนความรู้เป็นเงิน โดยไม่ต้องขายหน้า”
ฟังดูเข้าใจง่ายขึ้นมากใช่ไหมครับ?
Mike แนะนำให้ใช้สูตร “ฉันช่วย [กลุ่มคน] ทำ [สิ่งที่พวกเขาอยาก] โดย [วิธีการของคุณ]”
ตัวอย่าง:
- “ฉันช่วยคนที่ไม่เก่งเทคโนโลยี สร้างรายได้จากออนไลน์ โดยวิธีที่เข้าใจง่าย”
- “ฉันช่วยคุณแม่วัยทำงาน ปรุงอาหารเด็กที่อร่อย มีประโยชน์ ใน 30 นาที”
ขั้นที่ 4: สร้างบ้านออนไลน์ให้ตัวเอง
Mike เปรียบเทียบการมี Platform ออนไลน์เหมือนการมีบ้าน คุณต้องมีที่ให้คนมาหาได้
แต่เขาเตือนว่า อย่าพยายามอยู่ทุกที่ในเวลาเดียวกัน เลือกแค่ 1-2 แพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายอยู่
เช่น:
- ถ้าแทร์เก็ตคือนักธุรกิจ โฟกัสที่ LinkedIn
- ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบเรียนรู้ อาจจะเลือก YouTube หรือ TikTok
- ถ้าเป็นคนที่ชอบอ่าน อาจจะเป็น Blog หรือ Facebook
Sarah ที่เป็นนักบัญชี เลือกเริ่มต้นที่ Facebook เพราะเพื่อนๆ ส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น เธอเริ่มแชร์เคล็ดลับการเงินง่ายๆ เช่น “5 วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่ทำให้ชีวิตแย่ลง”
ขั้นที่ 5: เล่าเรื่องที่มีคุณค่า
Mike เน้นย้ำว่า “Give first, sell later” – ให้ก่อน ขายทีหลัง
เขายกตัวอย่างตัวเอง ตอนแรกๆ เขาเขียนบล็อกแชร์เคล็ดลับการทำ Marketing ฟรีทุกสัปดาห์ คนเริ่มติดตาม เริ่มแชร์ เริ่มถาม และที่สำคัญ เริ่มไว้วางใจ
หลักการสร้างเนื้อหาของ Mike:
- 80% ให้ความรู้ฟรี 20% ขายสินค้า
- แก้ปัญหาที่เจ็บปวดที่สุดก่อน
- ใช้ภาษาง่ายๆ เหมือนพูดกับเพื่อน
Sarah เริ่มโพสต์เคล็ดลับการเงินทุกวันอังคาร เธอแชร์เรื่องการทำงบประมาณง่ายๆ ด้วยกระดาษ A4 ใบเดียว หรือวิธีแยกเงินออมในโหลแยม เป็นต้น
ขั้นที่ 6: สร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง
Mike บอกว่า Social Media ไม่ใช่แค่ “Media” แต่ต้องเน้นคำว่า “Social”
เขาเล่าว่า ตอนแรกเขาแค่โพสต์เนื้อหา แต่ไม่ค่อยตอบคอมเมนต์ จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนคอมเมนต์ว่า “ขอบคุณมากครับ เนื้อหาช่วยได้จริงๆ” เขาตอบแค่ “ครับผม ยินดีครับ”
ปรากฏว่าคนคนนั้นตอบกลับมาอีกยาวเป็นหน้า เล่าปัญหาที่เขากำลังเจอ และถามคำแนะนำเพิ่มเติม
นั่นแหล่ะจุดที่ Mike เข้าใจว่า การสร้างแบรนด์ไม่ใช่การ “ออกอากาศ” แต่เป็นการ “สนทนา”
เขาแนะนำให้:
- ตอบคอมเมนต์ทุกความเห็น
- ถามคำถามเพื่อเปิดบทสนทนา
- แชร์เรื่องราวส่วนตัว (ที่เหมาะสม)
ขั้นที่ 7: เปลี่ยนความรู้เป็นรายได้
หลังจากที่ Mike สร้างผู้ติดตามและความไว้วางใจได้แล้ว เขาเริ่มคิดว่า “แล้วจะช่วยเหลือคนเหล่านี้อย่างลึกซึ้งได้อย่างไร?”
เขาสังเกตว่า คนที่ติดตามมักจะถามคำถามซ้ำๆ เกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ เขาจึงสร้าง Online Course เรื่อง “การสร้างธุรกิจออนไลน์จากศูนย์”
Mike แนะนำขั้นตอนการสร้างสินค้า:
- ฟังปัญหาจากคนที่ติดตาม
- สร้างโซลูชั่นขนาดเล็กทดสอบก่อน
- ขอ Feedback และปรับปรุง
- ค่อยๆ พัฒนาให้สมบูรณ์
Sarah หลังจากแชร์เคล็ดลับการเงินไปสักพัก เริ่มมีคนถามว่า “ช่วยจัดการเงินให้หน่อยได้ไหม?” เธอจึงเริ่มให้คำปรึกษาส่วนตัวคนละ 500 บาท/ชั่วโมง
ขั้นที่ 8: สร้างระบบที่ทำงานแทนคุณ
Mike เตือนว่า ระวังอย่าให้ธุรกิจขึ้นอยู่กับตัวคุณ 100% เพราะจะกลายเป็นไปไม่ได้ที่จะขยาย
เขาแนะนำให้สร้างระบบ เช่น:
- บันทึกความรู้เป็น Course หรือ E-book
- สร้างทีมช่วยงาน
- ใช้เทคโนโลยีช่วยลดงานซ้ำๆ
Sarah เริ่มสร้าง E-book “การจัดการเงินสำหรับคนเงินเดือน” ขายใน Facebook ในราคา 199 บาท หลังจากนั้น คนที่ซื้อ E-book หลายคนก็สนใจบริการให้คำปรึกษาส่วนตัว
บทเรียนสำคัญจากการเดินทาง
ความจริงใจคือจุดเริ่มต้น
Mike เล่าว่า ตอนแรกเขาพยายาม “แกล้งเป็น” expert ที่รู้ทุกเรื่อง แต่พอเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ก็รู้สึกเขินอาย
ต่อมาเขาเปลี่ยนมาเป็นซื่อสัตย์ เวลาไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ แต่จะหาข้อมูลมาให้ หรือแนะนำคนที่รู้
“ความจริงใจทำให้คนไว้วางใจมากกว่าการแกล้งรู้ทุกเรื่อง” เขาเขียน
การให้ก่อนได้รับ
หลายคนกลัวว่า ถ้าให้ความรู้ฟรีไปหมด แล้วใครจะซื้อสินค้า?
Mike บอกว่านี่เป็นความเข้าใจผิด “การให้ความรู้ฟรีเปรียบเทียบได้กับการให้ลิ้มลองอาหารในห้างสรรพสินค้า คนที่ลิ้มแล้วชอบ จะกลับมาซื้อแน่นอน”
ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าความสมบูรณ์
Mike ยอมรับว่า เนื้อหาแรกๆ ที่เขาสร้างมันไม่ดีเลย แต่เขาทำไปเรื่อยๆ เรียนรู้จากความผิดพลาด ปรับปรุงไปเรื่อยๆ
“ดีกว่าโพสต์เนื้อหา 80% ทุกสัปดาห์ มากกว่าเก็บไว้จนกว่าจะ 100% แต่ไม่เคยโพสต์เลย”
เรื่องราวความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริง
หลังจากผ่านไป 2 ปี Sarah จากนักบัญชีธรรมดาได้กลายเป็น “Financial Coach” ที่มีชื่อเสียง เธอมีผู้ติดตามใน Facebook กว่า 50,000 คน มีรายได้จากการให้คำปรึกษาและขาย Course เดือนละ 6 หลัก
Mike เองก็เป็นหนึ่งใน Online Entrepreneur ที่ประสบความสำเร็จ มีรายได้หลายสิบล้านบาทต่อปีจากการสอนและให้คำปรึกษา
ข้อที่ควรหลีกเลี่ยง
เร็วเกินไป
Mike เตือนว่า การสร้างแบรนด์เปรียบเทียงได้กับการปลูกต้นไผ่ ปีแรกอาจจะไม่เห็นการเติบโตมากนัก แต่เมื่อรากแก้วแข็งแรงแล้ว มันจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วใน่ภายหลัง
คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรพิเศษ
ความจริงคือ ทุกคนมีความเชี่ยวชาญในบางเรื่อง แค่ยังไม่ได้ค้นหาหรือมองเห็นคุณค่าของมัน
กลัวการวิพากษ์วิจารณ์
Mike บอกว่า “ถ้าไม่มีใครเกลียด มันแปลว่าคุณยังไม่ได้โดดเด่นพอ” การที่มีคนไม่ชอบเป็นเรื่องปกติ สำคัญคือต้องมีคนที่รักสิ่งที่คุณทำ
แนวทางการนำไปใช้
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้และรู้สึกว่า “น่าสนใจ แต่ไม่รู้จะเริ่มจากไหน”
Mike แนะนำให้เริ่มจากขั้นตอนง่ายๆ:
- เขียนรายชื่อทักษะ/ความรู้ที่คุณมี (แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย)
- ถามเพื่อนๆ ว่า “คนอื่นมักจะมาปรึกษาคุณเรื่องอะไร?”
- เลือก 1 เรื่องที่คุณรู้และชอบ
- หา 1 แพลตฟอร์มที่คุณใช้อยู่แล้ว
- เริ่มแชร์เคล็ดลับเล็กๆ สัปดาห์ละครั้ง
บทสรุป: คุณคือแบรนด์ที่โลกรอคอย
Mike ปิดท้ายหนังสือด้วยข้อความที่ว่า “ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงเดียวกัน สิ่งที่คนต้องการคือเสียงที่แตกต่าง เสียงที่จริงใจ เสียงที่ช่วยเหลือพวกเขาได้จริงๆ และเสียงนั้นคือเสียงของคุณ”
การสร้างแบรนด์ส่วนตัวไม่ใช่เรื่องของการโออวดหรือการขายตัว แต่เป็นเรื่องของการแบ่งปันสิ่งดีๆ ที่เรามีให้กับคนที่ต้องการ และการสร้างธุรกิจที่มีความหมายทั้งกับเราและคนอื่น
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของบริษัทใหญ่อีกต่อไป แต่เป็นยุคของคนที่กล้าแสดงความเป็นตัวเอง กล้าแชร์สิ่งที่รู้ และกล้าช่วยเหลือคนอื่น
คำถามสุดท้ายที่ Mike ถามคือ: “แล้วคุณล่ะ พร้อมจะเป็นแบรนด์ที่โลกรอคอยหรือยัง?”
#hrรีพอร์ต
Leave a comment