เรื่องราวของอดีตครูที่กลายเป็นผู้ประกอบการออนไลน์
John Meese เคยเป็นครูสอนหนังสือ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดได้ว่า “ทำไมฉันต้องจำกัดตัวเองให้สอนแค่ในห้องเรียน?” เขาจึงเริ่มแบ่งปันความรู้ออนไลน์ จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างธุรกิจออนไลน์ที่มีชื่อเสียง
ประสบการณ์นี้ทำให้เขาตระหนักว่า ทุกคนล้วนมีความรู้หรือทักษะอะไรสักอย่างที่คนอื่นต้องการเรียนรู้ และในยุคดิจิทัลนี้ เราสามารถเปลี่ยนความรู้นั้นให้เป็นรายได้ได้ง่ายกว่าที่คิด
หนังสือ “Always Be Teaching” จึงเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงนี้ เป็นการรวบรวม 50 ข้อแนะนำที่จะช่วยให้ใครก็ตามสามารถเริ่มต้นสร้างธุรกิจจากการแบ่งปันความรู้ออนไลน์
หลักคิด “Always Be Teaching” คืออะไร?
หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคดังใน Hollywood “Always Be Closing” แต่ John Meese กลับเสนอแนวคิดใหม่ว่า “Always Be Teaching” หรือ “สอนเสมอ”
แนวคิดนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นครูหรือมีใบประกาศนียบัตรการสอน แต่หมายถึงการมองตัวเองเป็นผู้ที่พร้อมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้คนอื่นอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเช่น พ่อครัวที่เปิดร้านอาหาร แทนที่จะคิดแค่เรื่อง “ขายข้าว” เขาอาจจะเริ่มแชร์เทคนิคการทำอาหาร สูตรลับ หรือเทคนิคการเลือกซื้อวัตถุดิบในโซเชียลมีเดีย เมื่อคนเห็นว่าเขามีความรู้และเต็มใจแบ่งปัน พวกเขาจะเริ่มไว้วางใจ และเมื่อต้องการกินข้าวอร่อยๆ ก็จะคิดถึงร้านของเขาเป็นอันดับแรก
จุดเริ่มต้น: ทุกคนมีสิ่งที่สอนได้
หนึ่งในข้อความที่น่าประทับใจที่สุดในหนังสือคือ “You don’t have to be the expert. You just have to be ahead.” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ แค่อยู่ข้างหน้าคนอื่นก็พอ”
นั่นหมายความว่า ถึงคุณจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในสิ่งนั้น แต่ถ้าคุณรู้มากกว่าคนอื่นแม้แค่นิดเดียว คุณก็สามารถสอนเขาได้แล้ว
เอาตัวอย่างง่ายๆ สมมติคุณเพิ่งเรียนรู้การใช้ Excel มาได้ 6 เดือน คุณก็สามารถสอนคนที่เพิ่งเริ่มใช้ Excel ได้ หรือถ้าคุณเคยเลี้ยงแมวมา 2 ปี คุณก็มีประสบการณ์ที่จะแชร์ให้คนที่เพิ่งจะเลี้ยงแมวได้
John Meese ยกตัวอย่างของ Sarah ที่ทำงานเป็นพนักงานบัญชีธรรมดา แต่เธอมีงานอดิเรกคือปลูกต้นไม้ในห้องเช่า เธอเริ่มแชร์เทคนิคการปลูกต้นไม้ในที่แคบๆ ผ่าน Instagram จนมีคนติดตามเยอะ ต่อมาเธอก็เริ่มขายหลักสูตรออนไลน์ให้คำปรึกษา และขายต้นไม้ กลายเป็นธุรกิจเสริมที่ทำรายได้ดี
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า
หนังสือแนะนำให้เริ่มจากการสังเกตว่า คนรอบตัวเราถามคำถามอะไรบ่อยๆ เพราะคำถามเหล่านั้นคือสิ่งที่เราสามารถสร้างเนื้อหาตอบได้
ตัวอย่าง ถ้าคุณทำงานด้าน IT และเพื่อนๆ มาถามคุณเรื่องคอมพิวเตอร์ช้า วิธีแก้ไวรัส หรือแนะนำโน้ตบุ๊กบ่อยๆ นั่นแสดงว่าคุณมีความรู้ที่คนอื่นต้องการ คุณสามารถเขียนบล็อก ทำคลิป หรือสร้างเนื้อหาตอบคำถามเหล่านี้ได้
John เน้นว่าเนื้อหาที่ดีต้องมี 3 องค์ประกอบ:
1. มีประโยชน์จริง (Useful): ต้องช่วยแก้ปัญหาหรือตอบคำถามที่คนสนใจจริงๆ
2. เข้าใจง่าย (Simple): อธิบายด้วยภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไป
3. สามารถนำไปใช้ได้ (Actionable): คนที่อ่านหรือดูแล้วสามารถเอาไปลองทำจริงได้เลย
การสร้างความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่การขาย
สิ่งที่ทำให้หนังสือนี้แตกต่างคือ John ไม่ได้เน้นเรื่อง “ขาย” เป็นหลัก แต่เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ติดตาม
เขายกตัวอย่างของ Marcus Sheridan เจ้าของบริษัทสระว่ายน้ำ ที่แทนที่จะโฆษณาแค่ว่าสระของเขาดี เขากลับเขียนบล็อกตอบทุกคำถามที่ลูกค้าอยากรู้ เช่น “สระว่ายน้ำแบบไหนดีที่สุด?” “ติดตั้งสระเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?” “ดูแลสระยังไงให้น้ำใส?”
ผลลพธ์คือ เว็บไซต์ของเขากลายเป็นแหล่งข้อมูลที่คนไปค้นหาก่อนตัดสินใจสร้างสระ และเมื่อเขาพร้อมจะสร้างจริง เขาก็เลือกใช้บริการของ Marcus เพราะรู้สึกไว้วางใจแล้ว
นี่คือพลังของการ “สอนก่อนขาย” แทนที่จะพยายามขายให้คนที่ยังไม่รู้จักเรา เราสร้างความไว้วางใจด้วยการให้ความรู้ฟรีก่อน
เทคนิคการสร้างเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของการสร้างเนื้อหาคือ ทำอย่างไรให้มีไอเดียมาเขียนหรือทำคลิปอย่างต่อเนื่อง John แนะนำเทคนิคง่ายๆ หลายอย่าง:
เทคนิค “Question Jar”: เก็บทุกคำถามที่คนมาถาม ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน ในงานสังสรรค์ หรือในโซเชียลมีเดีย แล้วนำมาสร้างเป็นเนื้อหา
เทคนิค “Story Bank”: บันทึกเรื่องราวจากประสบการณ์ตัวเอง ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว คนชอบเรียนรู้จากเรื่องราวจริงมากกว่าทฤษฎี
เทคนิค “Behind the Scenes”: แชร์กระบวนการทำงานของเรา คนอยากรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จเป็นอย่างไร
เขายกตัวอย่าง Amy Porterfield ที่สอนเรื่องการตลาดออนไลน์ เธอไม่ได้แชร์แค่เทคนิค แต่แชร์ทั้งความล้มเหลว ความกังวล และกระบวนการเรียนรู้ของเธอ ทำให้คนรู้สึกเหมือนเรียนรู้จากเพื่อน ไม่ใช่จากผู้เชี่ยวชาญที่อยู่สูงเหินเกินเอื้อม
การเปลี่ยนจากฟรีเป็นรายได้
เมื่อเราสร้างผู้ติดตามและความไว้วางใจได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเปลี่ยนความรู้เป็นรายได้ John แนะนำหลายแนวทาง:
1. คอร์สออนไลน์: สร้างหลักสูตรสอนสิ่งที่เราเก่ง อาจเป็นวิดีโอ บทความ หรือไลฟ์สด
2. การให้คำปรึกษา: ให้บริการปรึกษาแบบตัวต่อตัวหรือกลุม
3. การเขียนหนังสือหรือ E-book: รวบรวมความรู้เป็นหนังสือ
4. การพูดในงานต่างๆ: รับเชิญไปพูดในสัมนา งานอีเวนต์
5. การขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง: เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ หรือสิ่งของที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราสอน
สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจากการให้ฟรีก่อน เมื่อคนเห็นคุณค่าแล้ว พวกเขาจะยินดีจ่ายเงินสำหรับสิ่งที่มีคุณค่ามากขึ้น
ตัวอย่างความสำเร็จจากชีวิตจริง
หนังสือเล่านิทานความสำเร็จของหลายคนที่เริ่มต้นจากการแบ่งปันความรู้ เช่น:
Pat Flynn: เริ่มจากการสร้างเว็บไซต์ช่วยคนเตรียมสอบ Architecture จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างธุรกิจออนไลน์ที่มีรายได้หลายล้านเหรียญ
Michelle Phan: เริ่มจาก YouTube สอนแต่งหน้า จนกลายเป็นแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก
Gary Vaynerchuk: เริ่มจากการรีวิวไวน์ทาง YouTube จนกลายเป็น CEO บริษัทโฆษณาดิจิทัลที่มีชื่อเสียง
สิ่งที่คนเหล่านี้มีเหมือนกันคือ พวกเขาเริ่มจากการแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองชอบและถนัด ไม่ได้คิดว่าจะเป็นธุรกิจใหญ่ แต่ด้วยการทำอย่างต่อเนื่องและสร้างคุณค่าให้คนอื่น ในที่สุดก็กลายเป็นความสำเร็จ
ความท้าทายและวิธีแก้ไข
John ไม่ได้วาดฝันหวานอย่างเดียว เขายอมรับว่าการสร้างธุรกิจจากการสอนออนไลน์มีความท้าทายหลายอย่าง:
ความท้าทาย 1: ไม่มั่นใจในตัวเอง หลายคนคิดว่าความรู้ของตัวเองไม่เพียงพอ วิธีแก้คือจำไว้ว่า “You don’t need to be perfect, you need to be helpful” คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่เป็นประโยชน์ก็พอ
ความท้าทาย 2: ไม่มีเวลา คนส่วนใหญ่บอกว่าไม่มีเวลาสร้างเนื้อหา John แนะนำให้เริ่มจากการใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีต่อวัน เขียนโพสต์สั้นๆ หรือตอบคำถามในกลุ่ม
ความท้าทาย 3: กลัวการวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเราออกมาสอนสิ่งต่างๆ ย่อมมีคนไม่เห็นด้วยหรือวิจารณ์ John บอกว่านี่เป็นสิ่งปกติ และควรมองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้และปรับปรุงตัวเอง
ข้อคิดสำคัญจากหนังสือ
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของหนังสือ “Always Be Teaching” คือมันไม่ได้เน้นการขายหรือการหาเงินเป็นหลัก แต่เน้นการสร้างคุณค่าให้คนอื่น
John เชื่อว่า เมื่อเราช่วยให้คนอื่นเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมาตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ ชื่อเสียง หรือความพึงพอใจในชีวิต
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับ:
- คนที่มีความรู้หรือทักษะที่อยากแบ่งปัน
- พนักงานที่อยากมีรายได้เสริม
- ผู้ประกอบการที่อยากสร้างธุรกิจออนไลน์
- คนที่อยากเปลี่ยนอาชีพแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง
บทสรุป: เริ่มต้นวันนี้
ข้อความสุดท้ายที่ John ฝากไว้คือ “The best time to plant a tree was 20 years ago. The second best time is now.” เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เวลาที่ดีที่สุดอันดับสองคือตอนนี้
ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ มีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน ถ้าคุณมีความรู้หรือทักษะอะไรสักอย่างที่คิดว่าอาจเป็นประโยชน์ให้คนอื่น ลองเริ่มแบ่งปันดู
อาจจะเริ่มจากการเขียนโพสต์ใน Facebook แชร์ประสบการณ์การทำงาน หรือทำคลิปสั้นๆ สอนสิ่งที่เราถนัด ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องวางแผนให้ยุ่งยาก เพียงแค่เริ่มต้น และทำอย่างต่อเนื่อง
เพราะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีมากมาย สิ่งที่คนต้องการไม่ใช่ข้อมูลเพิ่มเติม แต่เป็น “ข้อมูลที่ผ่านการคัดกรองแล้ว” จากคนที่พวกเขาไว้วางใจ และนั่นอาจจะเป็นคุณก็ได้
Always Be Teaching ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นครู แต่หมายความว่าต้องเป็นคนที่พร้อมแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คนอื่น และเมื่อเราทำแบบนั้น ชีวิตเราเองก็จะดีขึ้นด้วย
#hrรีพอร์ต
Leave a comment