เมื่อบริษัทเหมือนมนุษย์ที่มีวงจรชีวิต

คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไมบริษัทบางแห่งที่เคยดังมากในอดีต วันนี้กลับหายไปจากตลาด ในขณะที่บางแห่งก็สามารถอยู่รอดและเติบโตมาได้หลายสิบปี คำตอบของปริศนานี้อาจอยู่ในทฤษฎีที่น่าสนใจของ Ichak Adizes นักวิชาการชื่อดังที่ได้ศึกษาพฤติกรรมของบริษัทต่างๆ มากกว่า 40 ปี

Adizes ค้นพบว่าบริษัททุกแห่งมีวงจรชีวิตเหมือนมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปตามวัย จากการเกิด การเติบโต การเป็นผู้ใหญ่ การแก่ตัว และการตาย แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือบริษัทสามารถชะลอหรือแม้กระทั่งย้อนกลับวงจรการแก่ตัวได้ หากรู้วิธีจัดการที่ถูกต้อง

เริ่มต้นด้วยความฝัน: ขั้นการตั้งครรภ์

ทุกบริษัทเริ่มต้นจากความฝันของคนคนหนึ่ง เหมือนกับ Steve Jobs ที่นั่งอยู่ในโรงรถกับ Steve Wozniak คิดว่าจะทำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทุกคนใช้ได้ หรือ Colonel Sanders ที่อายุ 65 ปีแล้วยังคิดที่จะขายสูตรไก่ทอดของเขา

ในช่วงนี้ ผู้ก่อตั้งจะมีความกระตือรือร้นสูง มองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่ยังเป็นแค่ความคิดในหัว ยังไม่มีการลงทุนหรือลงมือทำจริงๆ หลายคนอาจจะพูดถึงไอเดียนี้กับเพื่อนๆ แต่ส่วนใหญ่จะได้รับการตอบสนองแบบ “เออ… ฟังดูดีนะ” แต่ไม่มีใครจริงจัง

สิ่งที่เป็นอันตรายในช่วงนี้คือ ผู้ก่อตั้งอาจจะติดอยู่ในโลกจินตนาการเกินไป ไม่กล้าลงมือทำจริง หรือเปลี่ยนไอเดียบ่อยเกินไป จนสุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด: ขั้นวัยเด็ก

เมื่อบริษัทเกิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว ช่วงแรกจะเป็นช่วงที่หนักที่สุด เหมือนเด็กทารกที่ต้องการความเอาใจใส่ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ก่อตั้งต้องทำทุกอย่างเอง ตั้งแต่ขายของ จัดส่งสินค้า ทำบัญชี รับโทรศัพท์ ไปจนถึงเช็ดห้องน้ำ

ลองดูตัวอย่าง Honda ในช่วงแรก Soichiro Honda ต้องทำงานในโรงงานเก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้าง เขาและลูกจ้างไม่กี่คนต้องประดิษฐ์เครื่องจักรใช้เอง แม้กระทั่งสร้างเครื่องมือจากเศษเหล็กที่เหลือจากสงคราม เงินทุนน้อย ไม่มีใครรู้จัก แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำรถจักรยานยนต์ที่ดีที่สุด Honda จึงผ่านพ้นช่วงยากลำบากนี้มาได้

ในช่วงนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การ “อยู่รอด” เป็นหลัก ไม่มีระบบบริหารจัดการที่ชัดเจน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความรู้สึกและสัญชาตญาณของผู้ก่อตั้ง หากขายได้ก็มีเงินใช้ หากขายไม่ได้ก็อดอยาก

อันตรายของช่วงนี้คือบริษัทอาจจะตายได้ง่าย เพราะผู้ก่อตั้งอาจจะหมดกำลังใจ หรือเงินทุนหมด สถิติบอกว่า 80% ของธุรกิจใหม่จะปิดตัวลงภายใน 5 ปีแรก

ช่วงแห่งการเติบโตอย่างรวดเร็ว: ขั้นวัยรุ่น

หากบริษัทสามารถผ่านช่วงวัยเด็กมาได้ จะเข้าสู่ช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุด คือการเติบโตอย่างรวดเร็ว ยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา คนในบริษัทเริ่มมีความมั่นใจ

Facebook ในช่วงปี 2004-2008 เป็นตัวอย่างที่ดี จาก Social Network เล็กๆ ในมหาวิทยาลัย Harvard กลายเป็นแพลตฟอร์มที่คนทั่วโลกรู้จัก ยอดผู้ใช้เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านเป็น 100 ล้านคนในเวลาไม่กี่ปี

แต่ช่วงนี้ก็มีปัญหาเหมือนกัน เพราะการเติบโตที่เร็วเกินไปทำให้ระบบบริหารจัดการตามไม่ทัน เหมือนวัยรุ่นที่ร่างกายโตเร็วแต่จิตใจยังไม่เป็นผู้ใหญ่ พนักงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าใครทำอะไร มีการทำงานซ้ำซ้อนกัน หรือบางงานไม่มีใครทำ

Google ในช่วงต้นก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน ช่วงปี 2000-2004 Google เติบโตเร็วมาก แต่การจัดการพนักงานยังไม่มีระบบ Larry Page และ Sergey Brin ต้องสัมภาษณ์พนักงานใหม่ทุกคนเอง จนกระทั่งมีพนักงานมากเกินไปจะจัดการได้

ช่วงทองของบริษัท: ขั้นวัยหนุ่ม (Prime)

นี่คือช่วงที่ดีที่สุดของวงจรชีวิตบริษัท บริษัทมีทั้งความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในเวลาเดียวกัน มีระบบการทำงานที่ชัดเจน แต่ยังคงสามารถปรับตัวและคิดสิ่งใหม่ๆ ได้

Apple ในช่วงปี 2007-2015 ภายใต้การนำของ Steve Jobs เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ บริษัทมีระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังคงสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ iPhone iPad จนถึง Apple Watch

ในช่วงนี้ บริษัทจะมีลูกค้าที่ภักดี พนักงานที่มีความสุขในการทำงาน ระบบบริหารจัดการที่ดี และสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญคือบริษัทในช่วงนี้จะมีสมดุลที่ดีระหว่างการมุ่งเน้นผลงาน การมีระบบบริหารจัดการ การคิดนวัตกรรมใหม่ๆ และการสร้างความสามัคคีในองค์กร

เมื่อความสำเร็จเริ่มสร้างความหยิ่ง: ขั้นวัยกลางคน

หลังจากช่วงทองผ่านไป บริษัทจะเริ่มชะลอตัวลง ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถ แต่เพราะเริ่ม “พอใจ” ในสิ่งที่มีอยู่ เหมือนคนวัยกลางคนที่เริ่มสบายใจ ไม่อยากลองสิ่งใหม่ๆ

Microsoft ในช่วงปี 2000-2014 เป็นตัวอย่างที่ดี หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Windows และ Office Microsoft เริ่มพึ่งพารายได้จากผลิตภัณฑ์เดิม ไม่ค่อยมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ปล่อยให้คู่แข่งอย่าง Google และ Apple วิ่งไปข้างหน้า

ช่วงนี้บริษัทจะมีรายได้คงที่ ผลกำไรดี มีเงินสดเยอะ แต่การเติบโตเริ่มช้าลง พนักงานเริ่มทำงานแบบประจำ ขาดความตื่นเต้นในการสร้างสิ่งใหม่ๆ การตัดสินใจต่างๆ จะใช้เวลานานขึ้น เพราะต้องผ่านหลายขั้นตอน

อันตรายของช่วงนี้คือบริษัทจะเริ่มตกขบวน หากไม่รีบตื่นตัวและเปลี่ยนแปลง อาจจะถูกคู่แข่งที่มีไฟในท้องแซงหน้าได้

เมื่อระบบเริ่มแข็งกร้าว: ขั้นวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย

ช่วงนี้บริษัทจะยึดติดกับระบบราชการเยอะขึ้น มีกฎเกณฑ์มากมาย การตัดสินใจต้องผ่านหลายคน การทำงานเน้นไปที่การป้องกันความผิดพลาดมากกว่าการสร้างโอกาสใหม่

Kodak ในช่วงปี 1990-2000 เป็นตัวอย่างที่น่าเศร้า บริษัทที่เคยเป็นผู้นำในธุรกิจฟิล์มกล้องถ่ายรูป แต่เมื่อเทคโนโลยีกล้องดิจิทัลเข้ามา Kodak ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงเพราะกลัวจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจฟิล์มที่ทำกำไรให้อยู่

ช่วงนี้พนักงานจะเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เพราะมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องใช้เวลานาน และมักจะถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

เมื่อบริษัทอยู่แต่ในโลกของตัวเอง: ขั้นวัยชรา

บริษัทในช่วงนี้จะทำแต่สิ่งเดิมๆ ไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ มุ่งเน้นไปที่การรักษาสิ่งที่มีอยู่ ไม่สนใจโลกภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป

BlackBerry (เดิมชื่อ Research In Motion) ในช่วงปี 2007-2013 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน หลังจาก iPhone เปิดตัว BlackBerry ยังคงยึดติดกับแป้นพิมพ์แบบเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนมาเป็นหน้าจอสัมผัส จนลูกค้าหนีไปหา iPhone และ Android

ช่วงนี้บริษัทจะมีลูกค้าเก่าที่ยังซื่อสัตย์อยู่บ้าง แต่ไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามา พนักงานที่มีความสามารถจะเริ่มลาออกไปหาที่ทำงานใหม่ ที่เหลือจะเป็นพนักงานที่ทำงานแบบประจำ หรือคนที่หางานใหม่ไม่ได้

ช่วงแห่งการล่มสลายจากภายใน: ขั้นการล่มสลาย

เมื่อบริษัทเริ่มมีปัญหาใหญ่ คนในองค์กรจะเริ่มหาคนผิด แทนที่จะหาทางแก้ปัญหา เกิดการต่อสู้กันเองภายใน แบ่งกลุ่มแบ่งพวก ใครก็อยากเป็นหัวหน้า แต่ไม่มีใครอยากรับผิดชอบ

Yahoo ในช่วงปี 2009-2017 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด บริษัทที่เคยเป็นราชาของอินเทอร์เน็ต แต่ต่อมาเปลี่ยน CEO ไป 6 คนใน 6 ปี แต่ละคนก็มีวิสัยทัศน์ที่ต่างกัน ทำให้ทิศทางบริษัทไม่ชัดเจน สุดท้ายก็ต้องขายให้ Verizon ในราคาที่ต่ำมาก

ช่วงนี้จะเห็นการปลดคนออกเป็นจำนวนมาก การปรับโครงสร้างองค์กรบ่อยๆ การเปลี่ยนกลยุทธ์ไปมา แต่ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข เพราะทุกคนมัวแต่โทษกัน

จุดจบของการเดินทาง: ขั้นความตาย

สุดท้ายบริษัทก็จะปิดตัวลง หรือถูกซื้อกิจการไป เพราะไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ลูกค้าหมด พนักงานลาออกหมด เงินทุนหมด

Blockbuster ที่เคยมีสาขามากกว่า 9,000 แห่งทั่วโลก แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลงเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุคของ Netflix และการดูหนังออนไลน์

หัวใจสำคัญ: PAEI Framework

Adizes อธิบายว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จต้องมี 4 หน้าที่หลักที่สมดุลกัน:

P – Producing (การผลิตผลงาน): บริษัทต้องสามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เหมือน Toyota ที่ผลิตรถที่มีคุณภาพสูง ทนทาน ประหยัดน้ำมัน

A – Administering (การบริหารจัดการ): ต้องมีระบบบริหารจัดการที่ดี มีประสิทธิภาพ ควบคุมต้นทุน จัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม เหมือน McDonald’s ที่มีระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

E – Entrepreneuring (การเป็นนักธุรกิจ): ต้องมีการคิดสิ่งใหม่ๆ สร้างนวัตกรรม มองหาโอกาสใหม่ เหมือน Amazon ที่เริ่มจากร้านขายหนังสือออนไลน์ แต่ต่อมาขยายไปสู่ธุรกิจ Cloud Computing และ AI

I – Integrating (การรวมใจคน): ต้องสร้างความสามัคคีในองค์กร ทำให้ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เหมือน Southwest Airlines ที่พนักงานทุกคนมีความสุขในการทำงาน และส่งผ่านความสุขนั้นให้ลูกค้า

เมื่อขาดสมดุล จะเกิดอะไรขึ้น?

ขาด P: บริษัทไม่มีผลงาน ไม่สามารถสร้างสินค้าหรือบริการที่ดีได้ เหมือนบางบริษัท Startup ที่มีแต่ไอเดีย แต่ทำผลิตภัณฑ์ไม่ได้

ขาด A: บริษัทยุ่งเหยิง ไม่มีระบบ ทำงานซ้ำซ้อน สูญเสียเงินและเวลาเปล่าๆ เหมือนบริษัทเล็กๆ ที่เจ้าของต้องทำทุกอย่างเอง

ขาด E: บริษัทไม่ก้าวหน้า ทำแต่สิ่งเดิมๆ จนถูกคู่แข่งแซงหน้าไป เหมือน Nokia ที่ยึดติดกับระบบเก่า

ขาด I: คนในบริษัทแตกแยกกัน ไม่มีทีมเวิร์ค ทำงานเพื่อตัวเองมากกว่าเพื่อบริษัท

วิธีป้องกันและแก้ไข

  1. รู้จักตัวเอง: ผู้บริหารต้องรู้ว่าบริษัทอยู่ในช่วงไหนของวงจรชีวิต และมีปัญหาอะไรบ้าง
  2. สร้างทีมที่สมดุล: ในทีมผู้บริหารต้องมีคนที่เก่งใน 4 ด้าน หรืออย่างน้อยก็ต้องรู้จักหาคนเก่งมาช่วย
  3. เตรียมพร้อมเปลี่ยนแปลง: อย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต ต้องพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์
  4. ฟังเสียงจากภายนอก: อย่าปิดหูปิดตา ต้องฟังความคิดเห็นจากลูกค้า พนักงาน และคนภายนอก
  5. ลงทุนในคน: คนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องพัฒนาพนักงาน สร้างแรงจูงใจ และรักษาคนดีไว้

บทเรียนสำคัญจากวงจรชีวิตบริษัท

ทฤษฎีของ Adizes สอนให้เรารู้ว่าไม่มีบริษัทไหนที่จะประสบความสำเร็จไปตลอดกาล หากไม่รู้จักปรับตัว แต่ในเวลาเดียวกัน บริษัทที่รู้จักตัวเองและยอมเปลี่ยนแปลงก็สามารถกลับมาแข็งแรงได้

IBM เป็นตัวอย่างของบริษัทที่เคยเกือบตายในช่วงปี 1990 แต่ภายใต้การนำของ Lou Gerstner กลับมาเป็นบริษัทใหญ่อีกครั้งด้วยการเปลี่ยนจากบริษัทขายฮาร์ดแวร์เป็นบริษัทให้บริการ

Microsoft ภายใต้การนำของ Satya Nadella ก็เป็นอีกตัวอย่าง จากบริษัทที่เกือบตกขบวนในยุค Mobile กลับมาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกด้วยการเปลี่ยนโฟกัสมาที่ Cloud Computing

สำหรับผู้ที่อยากเป็นผู้ประกอบการ หรือผู้ที่ทำงานในบริษัท การเข้าใจวงจรชีวิตนี้จะช่วยให้รู้ว่าควรทำอย่างไรในแต่ละช่วง และเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

ที่สำคัญที่สุดคือต้องจำไว้ว่า ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันอนาคต แต่การรู้จักเปลี่ยนแปลงและปรับตัวจะช่วยให้เราอยู่รอดและเติบโตได้ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment