คุณเคยมีไอเดียดีๆ ในหัวแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงไหม? หรือเคยใช้เวลาหลายเดือนวางแผนโครงการให้สมบูรณ์แบบ แต่พอทำจริงกลับพบว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คิด? ถ้าคุณเป็นแบบนี้ หนังสือ “Click” ของ Jake Knapp อาจจะเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา
Jake Knapp ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นนักออกแบบที่ Google ที่ได้ร่วมงานกับทีมพัฒนา Gmail, Google Maps และอีกมากมาย สิ่งที่เขาเรียนรู้จากการทำงานกับโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้คือ วิธีการทำงานแบบเก่าที่เราคุ้นเคยอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด
เรื่องเล่าจากโลกแห่งความเป็นจริง
ลองนึกภาพว่าคุณเป็น Jake Knapp ในวันที่เขายังเป็นนักออกแบบมือใหม่ เขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบแอปใหม่สำหรับบริษัท วิธีการทำงานแบบเก่าคือ เขาจะต้องนั่งคิดแนวคิดให้ดี ทำ PowerPoint นำเสนอ ประชุมกับทีม แก้ไข แล้วประชุมอีก วนไปวนมาอย่างนี้หลายเดือน
แต่ในครั้งหนึ่ง เขาลองวิธีใหม่ แทนที่จะใช้เวลาสัปดาห์ทำ PowerPoint เขาใช้เวลาแค่ 2 วันทำ prototype ง่ายๆ ด้วยกระดาษและดินสอ แล้วเอาไปให้เพื่อนร่วมงาน 5 คนลองกด ลองใช้ดู
ผลลุพธ์? ใน 2 วันนั้น เขาได้ข้อมูลที่มีค่ามากกว่าการประชุมหลายเดือน เขาพบว่าสิ่งที่เขาคิดว่าจะเจ๋ง กลับทำให้ผู้ใช้งานสับสน และสิ่งที่เขาคิดว่าไม่สำคัญ กลับเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุด
นี่คือจุดเริ่มต้นของปรัชญา “Click”
สี่ขั้นตอนที่เปลี่ยนทุกอย่าง
Jake เรียกวิธีการนี้ว่า “Click Process” ซึ่งมี 4 ขั้นตอนง่ายๆ:
1. สำรวจ (Explore) – หาปัญหาที่คุ้มค่าแก้
ขั้นตอนแรกไม่ใช่การนั่งคิดไอเดียเจ๋งๆ แต่เป็นการออกไปหาปัญหาจริงๆ ที่คนเจอในชีวิตประจำวัน
ยกตัวอย่าง เมื่อ Jake ทำงานที่ Google Maps เขาไม่ได้เริ่มจากการคิดว่า “เราจะทำแผนที่ที่เจ๋งที่สุดในโลกยังไง” แต่เขาออกไปสังเกตว่าผู้คนใช้แผนที่ยังไงในชีวิตจริง เขาพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากรู้ว่าถนนชื่ออะไร แต่อยากรู้ว่า “เดินไปทางไหนจะถึงร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุด”
ปัญหาเล็กๆ แบบนี้แหละที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของฟีเจอร์สำคัญๆ ของ Google Maps ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
2. ทำ (Make) – สร้างตัวอย่างให้เร็วที่สุด
หลังจากเจอปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำ prototype ให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสวย ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่ให้คนอื่นเข้าใจได้ว่าไอเดียของเราคืออะไร
Jake เล่าเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เขาเคยอยากทำแอปที่ช่วยให้คนหางานง่ายขึ้น แทนที่จะใช้เวลาเดือนเขียนโค้ด เขาใช้เวลาแค่ครึ่งวันทำเว็บไซต์ปลอม ที่จริงแล้วไม่มีระบบอะไรเลย แค่หน้าเว็บที่ดูเหมือนจริง
เมื่อมีคนกรอกข้อมูลและกดส่ง แทนที่จะมีระบบประมวลผล เขาจะได้อีเมลมาและตอบกลับด้วยมือ ฟังดูโง่ใช่ไหม? แต่วิธีนี้ช่วยให้เขารู้ภายในสัปดาห์เดียวว่าไอเดียนี้ใช้ได้จริงหรือไม่
3. ทดสอบ (Test) – หาคนจริงมาลอง
ขั้นตอนนี้คือหัวใจสำคัญของ Click Process ให้นำ prototype ไปให้คนจริงๆ ลองใช้ ไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน แต่คือคนแปลกหน้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริงๆ
Jake เล่าว่าเขาเคยทำ prototype แอปสั่งอาหาร เขาไปยืนหน้าร้านอาหารและขอให้คนที่กำลังจะเข้าไปกินข้าวลองใช้แอปของเขาแทน ในวันแรกมี 10 คน ใช้สำเร็จแค่ 2 คน ที่เหลือ 8 คนเลิกใช้กลางคัน
ข้อมูลนี้มีค่ามหาศาล เพราะเขารู้เลยว่าอะไรที่ต้องแก้ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าต้องกดปุ่มไหนก่อน บางคนหาเมนูที่ต้องการไม่เจอ บางคนไม่รู้ว่าจะจ่ายเงินยังไง
4. ปรับปรุง (Iterate) – แก้ไขและทำใหม่
หลังจากทดสอบแล้ว สิ่งต่อไปคือการเอาข้อมูลที่ได้มาปรับปรุง prototype แล้ววนกลับไปทดสอบอีกครั้ง วนไปวนมาจนกว่าจะได้ผลลุพธ์ที่น่าพอใจ
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ บางทีการปรับปรุงไม่ได้หมายถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ แต่เป็นการลดฟีเจอร์ออก Jake เล่าว่าแอปสั่งอาหารที่เขาทำนั้น ในรอบแรกมีฟีเจอร์ 15 อย่าง แต่ในรอบสุดท้ายที่คนใช้แล้วพอใจมีแค่ 5 ฟีเจอร์ เพราะฟีเจอร์เยอะๆ ทำให้คนสับสน
เรื่องจริงที่จะทำให้คุณเปลี่ยนใจ
มีเรื่องหนึ่งที่ Jake เล่าในหนังสือที่ทำให้ผมประทับใจมาก เขาเล่าเรื่องของสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งที่ใช้เงิน 2 ล้านดอลลาร์และเวลา 18 เดือน ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน เมื่อเปิดตัวแล้วกลับพบว่าไม่มีใครสนใจใช้
ในขณะเดียวกัน มีคนหนึ่งที่อ่านหนังสือ Click แล้วลองใช้วิธีการนี้ เขาใช้เวลาแค่ 3 วันและเงินแค่ 500 ดอลลาร์ในการทำ prototype ทดสอบ และปรับปรุง เขาพบว่าไอเดียดั้งเดิมของเขาไม่เวิร์ค แต่เขาก็เรียนรู้เร็วพอที่จะปรับไอเดียใหม่
3 เดือนต่อมา แอปของเขาถูกซื้อโดยบริษัทใหญ่ในราคา 50 ล้านดอลลาร์
ความแตกต่างอยู่ที่ไหน? คนแรกคิดมาก ทำน้อย คนที่สองคิดน้อย ทำมาก
ตัวอย่างใกล้ตัวที่คุณอาจจะเจอ
ลองมาดูตัวอย่างที่เข้าใจง่ายๆ กัน สมมติว่าคุณอยากเปิดร้านกาแฟ
วิธีเก่า: คุณจะใช้เวลาหลายเดือนศึกษาตลาด ทำ business plan ให้สมบูรณ์ หาที่เช่า ลงทุนเครื่องชงกาแฟแพงๆ ตกแต่งร้านให้สวย แล้วค่อยเปิด ถ้าลูกค้าไม่มา คุณจะไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน
วิธี Click: คุณเริ่มจากการไปสังเกตที่ต่างๆ ว่าคนดื่มกาแฟแบบไหน ที่ไหน เวลาไหน แล้วลองขายกาแฟจากรถเข็นเล็กๆ ก่อน หรือลองเช่าพื้นที่ในตลาดนัดวันเสาร์-อาทิตย์ ใช้เงินลงทุนแค่หมื่นสองหมื่น ใน 2 สัปดาห์คุณจะรู้เลยว่าคนชอบกาแฟรสไหน ราคาเท่าไหร่ จะซื้อเวลาไหน
หากผลออกมาดี คุณค่อยขยายเป็นร้านจริง หากไม่ดี คุณก็เสียเงินแค่หมื่นสองหมื่น ไม่ใช่หลักล้าน
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกธุรกิจ
สิ่งที่น่าสนใจคือ วิธีการ Click ไม่ได้มีแค่ในโลกเทคโนโลยีเท่านั้น บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งเริ่มนำหลักการนี้มาใช้
ตัวอย่างเช่น McDonald’s เมื่อต้องการเปิดสาขาใหม่ในประเทศที่ไม่เคยเข้าไป พวกเขาไม่ได้เริ่มจากการลงทุนสร้างร้านใหญ่โตแบบที่เรามองเห็นทั่วไป แต่เริ่มจากการเปิดร้านเล็กๆ ในรูปแบบ food truck หรือ pop-up store เพื่อทดสอบว่าคนในประเทศนั้นชอบรสชาติอะไร ต้องการบริการแบบไหน
Nike ก็เหมือนกัน เมื่อออกรองเท้ารุ่นใหม่ พวกเขาจะผลิตออกมาจำนวนจำกัดก่อน เพื่อดูปฏิกิริยาของตลาด หากได้ผลดีจึงค่อยผลิตเพิ่ม หากไม่ดีก็หยุด ทำให้พวกเขาไม่เสียเงินไปกับสินค้าที่คนไม่ต้องการ
บทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนมุมมอง
หลังจากอ่านหนังสือ Click แล้ว มีบทเรียนสำคัญหลายข้อที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของคุณไปตลกาล:
บทเรียนที่ 1: ความล้มเหลวเร็วดีกว่าความล้มเหลวช้า การที่เราทำผิด ล้มเหลวตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เราประหยัดทั้งเวลาและเงิน มากกว่าการไปล้มเหลวตอนที่ลงทุนไปเยอะแล้ว
บทเรียนที่ 2: ความสมบูรณ์แบบคือศัตรูของความก้าวหน้า การรอให้ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์แบบ 100% ก่อนเริ่มทำ มักจะทำให้เราไม่เริ่มเลย ความดีพอสมควร 70% ที่ทำจริงๆ ดีกว่าความสมบูรณ์แบบ 100% ที่อยู่ในหัว
บทเรียนที่ 3: ลูกค้าคือผู้พิพากษาที่ดีที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นที่ต้องการหรือไม่ดีไปกว่าลูกค้าตัวจริง การนั่งคิดคนเดียวในห้อง หรือการประชุมกับทีมงาน ไม่มีทางให้คำตอบที่แม่นยำได้เท่าการให้ลูกค้าจริงๆ ลองใช้
เริ่มต้นใช้ Click ในชีวิตประจำวัน
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจหรือโปรแกรมเมอร์ถึงจะใช้หลักการ Click ได้ วิธีคิดนี้สามารถนำไปใช้กับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้
ตัวอย่างการใช้ Click ในชีวิตประจำวัน:
หากคุณอยากเริ่มออกกำลังกาย แทนที่จะสมัครยิม 1 ปีเต็มตั้งแต่วันแรก ลองสมัคร 1 เดือนก่อน หรือซื้อบัตรเข้าครั้งเดียว ดูก่อนว่าคุณจะไปจริงหรือไม่
หากคุณอยากเรียนทำอาหาร แทนที่จะไปซื้อเครื่องใช้ครัวครบชุด ลองหาสูตรง่ายๆ ที่ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วในบ้าน ทำดูก่อน ถ้าชีอบจริงค่อยไปซื้ออุปกรณ์เพิ่ม
หากคุณอยากเปลี่ยนงาน แทนที่จะลาออกเลย ลองหางานพิเศษในสายที่อยากทำดูก่อน หรือไปอาสาสมัครทำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าชีอบจริงหรือไม่
สรุป: เมื่อการลงมือทำเอาชนะการเอาแต่คิด
หนังสือ Click ของ Jake Knapp สอนเราบทเรียนง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง นั่นคือ การ “ทำ” มักจะให้คำตอบที่ดีกว่าการ “คิด” เพียงอย่างเดียว
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การปรับตัวเร็วจึงสำคัญกว่าการวางแผนให้สมบูรณ์แบบ การเรียนรู้จากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ดีกว่าการไปล้มเหลวใหญ่โตในภายหลัง
ที่สำคัญ หลักการ Click ไม่ได้สอนให้เราทำงานแบบสะเพร่า แต่สอนให้เราทำงานแบบฉลาด รู้ว่าควรลงทุนเวลาและความคิดกับสิ่งไหนมากน้อยแค่ไหน
เมื่อครั้งต่อไปที่คุณมีไอเดียดีๆ อย่าเพิ่งนั่งคิดว่าต้องเตรียมอะไรให้พร้อมก่อน แต่ลองถามตัวเองว่า “มีวิธีไหนที่จะลองทำดูแบบง่ายๆ ภายใน 1 สัปดาห์บ้าง?”
คำตอบนั้นอาจจะเปลี่ยนทุกอย่างของคุณก็เป็นได้
#hrรีพอร์ต
Leave a comment