ลองจินตนาการดูสิ คุณกำลังเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ก แล้วเห็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณจะทำยังไง? คนส่วนใหญ่คงจะแอบมอง แล้วก็ลืมไปเมื่อเขาลงรถ แต่ไม่ใช่สำหรับจินนี่ วูด (Jenny Wood) เธอทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่า “บ้า” – เธอลุกขึ้นไล่ตามเขาออกจากรถไฟ แล้วยื่นนามบัตรให้!
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจินนี่” เธอพูดกับชายแปลกหน้าคนนั้น
วันนี้ ชายคนนั้นเป็นสามีของเธอมา 11 ปีแล้ว และพวกเขามีลูกด้วยกัน 2 คน
นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับจินนี่ วูด อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Google ที่ทำงานมา 18 ปี และเป็นผู้เขียนหนังสือ “Wild Courage: Go After What You Want and Get It” ที่ขึ้นอันดับ 1 ในรายการ New York Times Bestseller
ทำไมเราถึงต้อง “กล้าแบบป่าเถื่อน”?
จินนี่เล่าว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เธอเป็นเด็กที่ “ไม่เชื่อฟัง” ไม่ชอบทำตามกฎ และมักจะทำสิ่งที่ผู้ใหญ่มองว่า “ไม่เหมาะสม” แต่แทนที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนธรรมดา เธอกลับค้นพบว่าลักษณะเหล่านั้นแหละที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จ
“ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือเรากลัวจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ กลัวจะถูกตัดสิน กลัวจะล้มเหลว” จินนี่อธิบาย “แต่ความกลัวเหล่านี้แหละที่ทำให้เราติดอยู่ในกรงล่องหนที่เราสร้างขึ้นเอง”
ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การทำตัว “ดี” และ “เหมาะสม” ตามที่สังคมคาดหวังอาจไม่พอแล้ว เราต้องการความกล้าหาญแบบ “ป่าเถื่อน” (Wild Courage) – ความกล้าที่จะเป็นตัวเอง แม้ว่าจะดูแปลกหรือไม่เหมาะสมในสายตาคนอื่น
9 ลักษณะ “อันตราย” ที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จ
จินนี่แบ่งหนังสือออกเป็น 9 บท โดยแต่ละบทพูดถึงลักษณะที่คนเรามักจะมองว่า “ไม่ดี” แต่จริงๆ แล้วเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับความสำเร็จ มาดูกันว่าแต่ละอันคืออะไร และจะนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร:
1. Weird (แปลก): ชนะในฐานะตัวจริงของคุณ
“แพ้ในฐานะคนอื่น ไม่ดีเท่าชนะในฐานะตัวจริงของคุณ”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าว่าเธอเคยเป็นเด็กที่ “แปลก” ในสายตาครู ชอบถามคำถามที่ดูไร้สาระ แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นแหละที่ทำให้เธอเรียนรู้เร็วกว่าเพื่อนๆ
ในชีวิตจริง: แทนที่จะปกปิดสิ่งที่ทำให้คุณต่างจากคนอื่น ให้ใช้มันเป็นข้อได้เปรียบ คนที่คิดต่างจากคนอื่นมักจะมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น เช่น สตีฟ จอบส์ที่ดูเป็นคนแปลกและยากร่วมงาน แต่ความ “แปลก” นั่นแหละที่ทำให้เขาสร้าง iPhone ได้
2. Selfish (เห็นแก่ตัว): เป็นแชมป์ตัวเอง
“ถ้าคุณไม่สนับสนุนตัวเอง ใครจะสนับสนุนคุณ?”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าว่าในช่วงแรกๆ ที่ทำงานใน Google เธอมักจะช่วยงานคนอื่นจนงานตัวเองล่าช้า จนกระทั่งเธอเรียนรู้ที่จะบอก “ไม่” และให้ความสำคัญกับงานของตัวเองก่อน
ในชีวิตจริง: การดูแลตัวเองไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว แต่เป็นเรื่องจำเป็น เหมือนป้ายบนเครื่องบินที่บอกให้เราใส่หน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อน แล้วค่อยช่วยคนอื่น ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเอง คุณจะไม่มีพลังช่วยคนอื่นได้
3. Shameless (ไร้ความอาย): เอาชนะโรคใจนักขายหน้าโรง
“หยุดแกล้งทำเป็นว่าคุณไม่เก่ง เริ่มโชว์ความสามารถที่แท้จริงของคุณ”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าว่าเธอเคยกลัวจะพูดในที่ประชุมเพราะคิดว่าตัวเองรู้น้อยกว่าคนอื่น แต่เมื่อเธอเริ่มแสดงความคิดเห็น กลับพบว่าหลายครั้งไอเดียของเธอมีประโยชน์มาก
ในชีวิตจริง: หลายคนเก่งแต่ไม่กล้าแสดงออก กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเราอวด แต่ความจริงคือ ถ้าเราไม่บอกคนอื่นว่าเราทำอะไรได้บ้าง เขาจะไม่มีทางรู้ เช่น การอัปเดต LinkedIn ด้วยผลงานของเราไม่ใช่การอวด แต่เป็นการแจ้งให้คนอื่นรู้ว่าเรามีความสามารถแค่ไหน
4. Obsessed (หลงใหล): ยืนหยัดและทำให้ดีที่สุด
“คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์มากที่สุด แต่เป็นคนที่ยืนหยัดได้นานที่สุด”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าเรื่องครูดนตรีที่เคยทำให้เธอยืนตลอดการซ้อม 2 ชั่วโมงเพราะไม่ตั้งใจ ตอนนั้นเธอโกรธมาก แต่ภายหลังเธอก็เข้าใจว่าครูคนนั้นสอนเธอให้รู้จัก “หลงใหลในความเพอร์เฟ็กต์”
ในชีวิตจริง: ลองดู Elon Musk เขาไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดในโลก แต่เขาหลงใหลในสิ่งที่เขาทำจนเต็มที่ จนกระทั่งสามารถสร้าง Tesla และ SpaceX ได้ การ “หลงใหล” ในทางที่ดีคือการทุ่มเทให้กับสิ่งที่เราเชื่อ
5. Nosy (สอดรู้สอดเห็น): ใช้ความอยากรู้เป็นเข็มทิศ
“คำถามที่เราอยากถามคือเบาะแสสำคัญที่บอกว่าเราต้องการอะไร”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าว่าทุกครั้งที่เธอไปโรงแรม สามีจะยืนถอยหลังแล้วบอกว่า “ไปเถอะจินนี่ ถามคำถามของเธอ” เพราะเธอชอบถามพนักงานทุกอย่าง – ห้องไหนดีที่สุด ร้านอาหารไหนอร่อย ที่เที่ยวไหนน่าไป
ในชีวิตจริง: คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น เช่น Warren Buffett ที่ชอบอ่านรายงานบริษัทและถามคำถามตลอดเวลา หรือ Oprah ที่ประสบความสำเร็จเพราะความอยากรู้เรื่องราวของคนอื่น
6. Manipulative (จัดการคน): สร้างอิทธิพลด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“การโน้มน้าวไม่ใช่การหลอกลวง แต่เป็นการช่วยให้คนอื่นเห็นสิ่งที่เราเห็น”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าว่าเธอเรียนรู้ที่จะ “จัดการ” หัวหน้าโดยการทำความเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แล้วนำเสนอไอเดียของเธอในรูปแบบที่ตอบโจทย์เขา
ในชีวิตจริง: การ “จัดการคน” ในทางที่ดีคือการเข้าใจความต้องการของคนอื่น แล้วหาทางที่ทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ เช่น การขอเลื่อนตำแหน่งโดยการแสดงให้เห็นว่าเราจะสร้างมูลค่าให้บริษัทได้อย่างไร
7. Brutal (โหดร้าย): รู้จักพลังของคำว่า “ไม่”
“การตั้งขอบเขตไม่ใช่การเป็นคนใจร้าย แต่เป็นการป้องกันตัวเอง”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าถึงผู้จัดการคนหนึ่งใน Google ที่บอกว่า “ฉันไม่ไปประชุมนั่น มันไม่ใช่การใช้เวลาที่ดี” ตอนแรกเธอคิดว่าเขาหยาบคาย แต่ภายหลังเธอเข้าใจว่าเขากำลังป้องกันเวลาของตัวเอง
ในชีวิตจริง: Steve Jobs มีชื่อเสียงว่าเป็นคนที่พูด “ไม่” เก่ง เขาปฏิเสธโปรเจ็กต์หลายร้อยโปรเจ็กต์เพื่อให้Apple โฟกัสแค่สิ่งที่สำคัญจริงๆ การบอก “ไม่” กับสิ่งที่ไม่สำคัญคือการบอก “ใช่” กับสิ่งที่สำคัญ
8. Reckless (เสี่ยง): ลงมือทำแล้วปรับไป
“ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดคือการไม่ทำอะไรเลยเพราะกลัวทำผิด”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าว่าการที่เธอไล่ตามสามีใส่รถไฟเป็นการตัดสินใจแบบ “เสี่ยง” แต่ถ้าเธอไม่ทำ เธอจะไม่ได้พบกับความรักของชีวิต
ในชีวิตจริง: Jeff Bezos เริ่มต้น Amazon ด้วยการลาออกจากงานที่มั่นคงในวอลล์สตรีท มันเป็นการเสี่ยง แต่เขาคิดว่าเขาจะเสียใจมากกว่าถ้าไม่ลอง ความเสี่ยงที่คำนวณแล้วมักจะคุ้มค่า
9. Bossy (ชอบสั่งคน): นำพาคนอื่นแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้า
“ผู้นำที่แท้จริงไม่ต้องรอให้มีตำแหน่ง เขาเริ่มนำตั้งแต่วันนี้”
ตัวอย่างจากหนังสือ: จินนี่เล่าว่าเธอเคยเริ่มโปรแกรมพัฒนาอาชีพใน Google โดยที่ไม่มีใครขอให้ทำ เธอเห็นว่าเพื่อนร่วมงานต้องการ เลยเริ่มทำเอง สุดท้ายกลายเป็นโปรแกรมที่ใหญ่ที่สุดใน Google
ในชีวิตจริง: ลองดู Malala Yousafzai เธอเริ่มต้นในฐานะเด็กนักเรียนธรรมดา แต่เธอ “ชอบสั่งคน” ในทางที่ดี คือนำพาคนอื่นให้ต่อสู้เพื่อสิทธิการศึกษา แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ
บทเรียนจากชีวิตจริง: เมื่อ “ไม่เหมาะสม” กลายเป็นข้อได้เปรียบ
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้เราเป็นคนไร้มารยาทหรือทำร้ายคนอื่น แต่สอนให้เราเข้าใจว่าลักษณะที่สังคมมองว่า “ไม่ดี” บางอย่างอาจเป็นจุดแข็งของเราก็ได้ ถ้าเราใช้อย่างชาญฉลาด
จินนี่ยกตัวอย่างเรื่องราวจากชีวิตทำงานของเธอเอง เมื่อเธอยังเป็นพนักงานใหม่ใน Google เธอมักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ “สอดรู้สอดเห็น” เพราะชอบถามคำถาม แต่ความอยากรู้นั่นแหละที่ทำให้เธอเรียนรู้เร็วและเติบโตในตำแหน่งงาน
อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องการเป็นคน “เห็นแก่ตัว” เธอเล่าว่าในช่วงแรก เธอมักจะช่วยงานคนอื่นจนงานตัวเองเสีย จนกระทั่งหัวหน้าให้คำแนะนำว่า “Jenny คุณต้องดูแลความสำเร็จของตัวเองก่อน แล้วค่อยช่วยคนอื่น” การ “เห็นแก่ตัว” ในทางที่ดีคือการให้ความสำคัญกับเป้าหมายของตัวเองเพียงพอที่จะสามารถช่วยคนอื่นได้
จากเด็กปัญหาสู่ผู้บริหาร
จินนี่เล่าเรื่องวัยเด็กของเธอว่า เธอเป็นเด็กที่ “ไม่เชื่อฟัง” ชอบทำลายกฎ และมักจะถูกครูบ่น แต่แทนที่พ่อแม่จะบังคับให้เธอเปลี่ยน พวกเขากลับให้กำลังใจเธอที่จะ “เป็นตัวเอง”
เมื่อเธอโตขึ้น ลักษณะที่ดู “ไม่เหมาะสม” เหล่านั้นกลับกลายเป็นจุดแข็ง:
- ความ “แปลก” ทำให้เธอคิดนอกกรอบ
- ความ “สอดรู้สอดเห็น” ทำให้เธอเรียนรู้เร็ว
- ความ “ไร้ความอาย” ทำให้เธอกล้าแสดงความสามารถ
- ความ “หลงใหล” ทำให้เธอทำงานได้ดีเยี่ยม
ผลลัพธ์คือเธอเติบโตจากพนักงานเข้าใหม่เป็นผู้บริหารระดับสูงใน Google ภายใน 18 ปี และสร้างโปรแกรมพัฒนาอาชีพที่มีคนเข้าร่วมหลายหมื่นคน
วิธีปฏิบัติ: เริ่มต้น “กล้าแบบป่าเถื่อน” ได้อย่างไร?
จินนี่ให้คำแนะนำว่าการเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องใหญ่โต เราสามารถเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ได้:
1. หาลักษณะ “ไม่เหมาะสม” ของตัวเอง
- คุณเป็นคนแปลกในด้านใด?
- อะไรที่คนอื่นบ่นว่าคุณทำ “มากไป”?
- ลักษณะใดของคุณที่คนอื่นมองว่า “ไม่ดี” แต่จริงๆ อาจเป็นจุดแข็ง?
2. ทดลองใช้ในสถานการณ์เล็กๆ
- ถ้าคุณเป็นคน “สอดรู้สอดเห็น” ลองถามคำถามในที่ประชุมครั้งหน้า
- ถ้าคุณเป็นคน “เห็นแก่ตัว” ลองบอก “ไม่” กับงานที่ไม่สำคัญ
- ถ้าคุณเป็นคน “ไร้ความอาย” ลองโพสต์ผลงานใน LinkedIn
3. เรียนรู้จากผลลัพธ์
- สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณแสดงลักษณะเหล่านั้นออกมา
- ปรับปรุงวิธีการให้เหมาะสมกับสถานการณ์
- ค่อยๆ เพิ่มระดับความ “กล้า”
ข้อควรระวัง: ความแตกต่างระหว่าง “กล้า” กับ “ไร้มารยาท”
จินนี่เน้นย้ำว่าการมี “Wild Courage” ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำร้ายคนอื่นหรือไร้มารยาท สิ่งที่เธอสอนคือการใช้ลักษณะเหล่านั้น “อย่างชาญฉลาดและมีความเห็นอกเห็นใจ”
ตัวอย่าง:
- การเป็นคน “จัดการคน” แบบดีคือการหาทางที่ทุกคนได้ประโยชน์ ไม่ใช่การหลอกลวง
- การเป็นคน “โหดร้าย” แบบดีคือการตั้งขอบเขตที่ชัดเจน ไม่ใช่การใจร้าย
- การเป็นคน “ชอบสั่งคน” แบบดีคือการนำพาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่การบังคับ
บทสรุป: ความกล้าที่จะเป็นตัวเอง
หนังสือ “Wild Courage” ของจินนี่ วูด สอนเราบทเรียนสำคัญ: ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การทำตัว “ดี” และ “เหมาะสม” ตามมาตรฐานของคนอื่นอาจไม่เพียงพอแล้ว เราต้องการความกล้าที่จะเป็นตัวเอง แม้ว่าจะดูแปลกหรือไม่เหมาะสมในสายตาคนอื่น
สิ่งที่จินนี่ต้องการให้เราเข้าใจคือ ลักษณะที่เราคิดว่าเป็น “ข้อเสีย” อาจกลับเป็น “จุดแข็ง” ที่ทำให้เราโดดเด่นและประสบความสำเร็จได้ สำคัญที่เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันในทางที่ถูกต้อง
เธอจบหนังสือด้วยข้อความที่ว่า: “คุณรู้ว่าคุณอยากไปที่ไหน คุณรู้ว่าคุณมีศักยภาพ สิ่งที่คุณต้องการคือความกล้าที่จะลงมือทำ ความกล้าแบบสุดๆ”
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเอง “ไม่เหมาะสม” หรือ “แปลก” เกินไป อาจถึงเวลาแล้วที่จะมองสิ่งเหล่านั้นในแง่ใหม่ เพราะบางทีนั่นอาจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็ได้
ท้ายที่สุด “Wild Courage” ไม่ใช่แค่ชื่อหนังสือ แต่เป็นวิถีชีวิต – ความกล้าที่จะเป็นตัวเอง ความกล้าที่จะไล่ตามความฝัน และความกล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่เราเชื่อ แม้ว่าคนอื่นจะมองว่าเราไม่เหมาะสม
ขั้นตอนการนำไปปฏิบัติ
หลังจากอ่านหนังสือแล้ว จินนี่แนะนำให้ผู้อ่านทำแบบฝึกหัดง่ายๆ เหล่านี้:
สัปดาห์ที่ 1: ค้นหาตัวตน
- เขียนรายการลักษณะที่คนอื่นเคยบอกว่าคุณ “มากไป” หรือ “ไม่เหมาะสม”
- เลือก 3 อันดับแรกที่คุณคิดว่าอาจเป็นจุดแข็งได้
- ถามตัวเองว่า: ลักษณะเหล่านี้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในอดีตได้อย่างไรบ้าง?
สัปดาห์ที่ 2-3: ทดลองใช้
- เลือกลักษณะหนึ่งจาก 9 ลักษณะที่คุณรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับตัวคุณมากที่สุด
- ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่จะใช้ลักษณะนั้นในสถานการณ์ที่เหมาะสม
- บันทึกผลลัพธ์และความรู้สึกหลังจากลองทำ
สัปดาห์ที่ 4: ปรับปรุงและต่อยอด
- ประเมินผลว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล
- ปรับวิธีการให้เหมาะสมกับบุคลิกและสถานการณ์ของคุณ
- วางแผนที่จะใช้ลักษณะอื่นๆ ในเดือนถัดไป
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในชีวิตคนไทย
จินนี่อาจเป็นคนอเมริกัน แต่หลักการของเธอสามารถนำมาปรับใช้ในบริบทไทยได้ ลองดูตัวอย่างเหล่านี้:
ในสำนักงานไทย:
- แทนที่จะเงียบในที่ประชุมเพราะ “กรุณา” ลองแสดงความเป็นคน “สอดรู้สอดเห็น” ด้วยการถามคำถามที่สร้างสรรค์
- แทนที่จะรับงานทุกอย่างเพราะไม่อยากทำให้คนอื่นลำบาก ลองเป็นคน “เห็นแก่ตัว” ด้วยการบริหารเวลาให้เหมาะสม
ในการสร้างเครือข่าย:
- แทนที่จะรอให้คนอื่นมาหา ลองเป็นคน “ไร้ความอาย” ด้วยการแนะนำตัวเองในงาน networking
- แทนที่จะนั่งเฉยๆ ลองเป็นคน “ชอบสั่งคน” ด้วยการเสนอตัวเป็นผู้จัดงานหรือกิจกรรม
ในการเจรจาต่อรอง:
- แทนที่จะยอมรับข้อเสนอแรกเสมอ ลองเป็นคน “โหดร้าย” ด้วยการตั้งขอบเขตที่ชัดเจน
- แทนที่จะกลัวความขัดแย้ง ลองเป็นคน “จัดการคน” ด้วยการหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
คำถามที่พบบ่อยๆ
Q: การทำตัวแบบนี้จะไม่ทำให้คนอื่นรำคาญเหรอ? A: จินนี่อธิบายว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่ “วิธี” และ “เจตนา” ถ้าเราทำด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจคนอื่น คนอื่นจะเห็นความจริงใจของเรา การแสดงความสามารถไม่เท่ากับการอวด การมีความมั่นใจไม่เท่ากับการเย่อหยิ่ง
Q: แล้วถ้าเราทำแล้วล้มเหลวล่ะ? A: จินนี่เชื่อว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ เธอเล่าว่าตัวเองเคยมีโปรเจ็กต์ที่ล้มเหลวหลายครั้ง แต่แต่ละครั้งทำให้เธอเรียนรู้และปรับปรุงตัวเอง สิ่งที่แย่ที่สุดไม่ใช่การล้มเหลว แต่เป็นการไม่ลองเลย
Q: ลักษณะเหล่านี้จะใช้ได้กับทุกสถานการณ์เหรอ? A: ไม่ใช่ จินนี่เน้นว่าเราต้องรู้จักเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เช่น ความเป็นคน “โหดร้าย” อาจเหมาะในการเจรจาธุรกิจ แต่ไม่เหมาะในการปลอบใจเพื่อน การมี “wild courage” คือการรู้จักใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับสถานการณ์
เรื่องราวแรงบันดาลใจ: ตัวอย่างจากคนไทย
แม้ว่าจินนี่จะเป็นคนอเมริกัน แต่เราก็มีตัวอย่างคนไทยที่ใช้หลักการ “Wild Courage” ประสบความสำเร็จ:
ตัวอย่างที่ 1: นักธุรกิจที่กล้าแปลก ลองคิดถึง บิล ไฮเนเก้น (Bill Heinecke) นักธุรกิจชาวอเมริกัน-ไทยที่สร้างธุรกิจในไทย เขาเป็นคนที่ “แปลก” ในการทำธุรกิจ ไม่ทำตามแบบแผนเดิม และมักจะมีไอเดียที่คนอื่นคิดว่า “บ้า” แต่สุดท้ายประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างที่ 2: ศิลปินที่กล้าเป็นตัวเอง นักร้องหรือศิลปินไทยหลายคนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่กล้า “แปลก” และ “ไม่เหมาะสม” ในสายตาคนอื่น แต่ความแปลกนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาโดดเด่น
ตัวอย่างที่ 3: นักการตลาดที่กล้าสอดรู้สอดเห็น มีนักการตลาดไทยหลายคนที่ประสบความสำเร็จเพราะความ “สอดรู้สอดเห็น” พวกเขาชอบถามคำถาม ชอบเรียนรู้เรื่องของลูกค้า และใช้ความอยากรู้นั้นสร้างแคมเปญที่ฮิต
บทสรุปสุดท้าย: จงกล้าเป็นตัวเอง
เมื่อปิดหน้าสุดท้ายของหนังสือ “Wild Courage” เราจะได้เรียนรู้ว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้มาจากการทำตัวเป็นคนอื่น หรือการทำตามสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง แต่มาจากความกล้าที่จะเป็นตัวเอง
จินนี่ วูด ไม่ได้สอนให้เราเป็นคนเอาแต่ใจหรือไร้มารยาท เธอสอนให้เราเข้าใจว่า ลักษณะที่เราคิดว่าเป็น “ข้อเสีย” อาจกลับเป็น “จุดแข็ง” ที่ทำให้เราโดดเด่นได้ ถ้าเราเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างถูกต้อง
การมี “Wild Courage” ไม่ใช่การทำตัวบ้าบิ่น แต่เป็นการมีความกล้าหาญที่จะ:
- เป็นตัวเองอย่างแท้จริง
- ไล่ตามสิ่งที่เราต้องการจริงๆ
- ยืนหยัดในสิ่งที่เราเชื่อ
- เรียนรู้จากความผิดพลาด
- ไม่หยุดแค่ความฝัน แต่ลงมือทำให้เป็นจริง
สำหรับใครที่กำลังรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่เหมาะสม” หรือ “แปลก” เกินไป หนังสือเล่มนี้จะเป็นเสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็นข้อเสียอาจกลับเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราก็ได้
ดังที่จินนี่เขียนไว้ในบทสุดท้าย: “คุณรู้ว่าคุณอยากไปที่ไหน คุณรู้ว่าคุณมีศักยภาพในตัว สิ่งที่คุณต้องการคือเครื่องมือที่จะพาคุณไปถึงที่นั่น และเครื่องมือที่สำคัญที่สุดคือความกล้าหาญ – ความกล้าหาญแบบสุดๆ”
เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่ดีที่จะเริ่มต้น จงเริ่มจากสิ่งเล็กๆ จงกล้าเป็นตัวเอง และจงกล้าไล่ตามสิ่งที่คุณต้องการ เพราะโลกกำลังรอคอยตัวตนที่แท้จริงของคุณอยู่
หนังสือ “Wild Courage: Go After What You Want and Get It” โดย Jenny Wood ขึ้นอันดับ 1 ใน New York Times Bestseller และมีจำหน่ายทั้งเป็นหนังสือและ audiobook
#hrรีพอร์ต
Leave a comment