เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมเพื่อนในออฟฟิศคนหนึ่งถึงเรียนรู้งานใหม่ได้เร็วมาก ในขณะที่เราทำอะไรมาหลายปีแล้วก็ยังไม่ค่อยดีขึ้น? หรือเคยเห็นคนที่เล่นกีตาร์ได้แค่ 6 เดือน แต่เก่งกว่าเราที่เล่นมา 3 ปีมั้ย?
คำตอบอยู่ในหนังสือ “Get Better at Anything: 12 Maxims for Mastery” ของ Scott Young นักเขียนที่เขียนหนังสือขายดี “Ultralearning” เขาใช้เวลา 4 ปีเต็มในการวิจัย อ่านหนังสือหลายร้อยเล่ม รวบรวมงานวิจัยหลายร้อยฉบับ และสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญมากมาย เพื่อหาคำตอบของคำถามง่ายๆ ข้อหนึ่ง: ทำยังไงถึงจะเก่งอะไรก็ได้?
เรื่องราวของ Tetris และบทเรียน 20 ปี
ลองนึกภาพดูครับ เกม Tetris ออกมาตั้งแต่ปี 1984 ดูเหมือนเกมง่ายๆ แค่เรียงบล็อกให้เต็มแถว แต่รู้มั้ยว่าใช้เวลา 20 ปีเต็ม ผู้เล่นถึงจะเริ่มเล่นได้เก่งจริงๆ ทำไมถึงนานขนาดนั้น?
คำตอบคือ ในยุคแรกๆ ผู้เล่นไม่มีโอกาสได้เห็นว่าผู้เล่นที่เก่งจริงๆ เขาเล่นกันยังไง พอมีอินเทอร์เน็ตและคลิป YouTube ผู้เล่นถึงได้เห็นเทคนิคขั้นสูง เช่น การหมุนบล็อกแบบที่ไม่เคยคิดว่าทำได้ การวางแผนล่วงหน้าหลายขั้น หรือการใช้นิ้วแบบที่เร็วและแม่นยำกว่า
นี่คือตัวอย่างแรกของหลักการสำคัญที่ Scott ค้นพบ: การเรียนรู้ส่วนใหญ่มาจากการดูและเลียนแบบคนอื่น
สูตรเวทมนตร์แห่งการเรียนรู้: 3 องค์ประกอบหลัก
หลังจากวิจัยแบบเข้มข้น Scott พบว่าการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องมี 3 องค์ประกอบครบ:
1. See (การมองเห็น) – เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
ย้อนไปยุค Renaissance ในอิตาลี ศิลปินเอกอย่าง Leonardo da Vinci หรือ Michelangelo ไม่ได้เกิดมาเก่งเองนะครับ พวกเขาต้องเป็นลูกศิษย์ (apprentice) ใต้ปีกของอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน
การฝึกงานในยุคนั้นมีระบบชัดเจน ลูกศิษย์ต้องเริ่มจากงานพื้นฐาน เช่น การผสมสี การเตรียมผ้าใบ แล้วค่อยๆ ดูและเลียนแบบเทคนิคของอาจารย์ เขาได้เห็นทุกขั้นตอน ทุกรายละเอียด และที่สำคัญ – ได้เห็นความคิดและกระบวนการทำงานของอาจารย์
วันนี้เราโชคดีกว่าครับ มี YouTube, TikTok, Instagram ที่เราสามารถดูผู้เชี่ยวชาญทำงานได้ตลอดเวลา อยากเรียนทำอาหาร ก็ดูเชฟมิชลินสตาร์สอน อยากเล่นกีตาร์ ก็ดูมือกีตาร์ระดับโลกเล่น อยากเขียนโค้ด ก็ดูโปรแกรมเมอร์ senior coding live
แต่ระวังนะครับ ข้อมูลเยอะเกินไปก็อาจจะเป็นปัญหา เพราะจะกลายเป็นการ “บริโภคเนื้อหา” มากกว่า “การเรียนรู้” เหมือนดูคลิปทำอาหารเป็นร้อยคลิป แต่ไม่เคยลงมือทำจริงสักครั้ง
2. Do (การทำ) – ฝึกฝนอย่างถูกวิธี
แค่ดูอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือทำ แต่ไม่ใช่ทำแบบไหนก็ได้ สมองเราน่ะครับ มันชอบประหยัดพลังงาน เลยมักจะหาทางที่ง่ายที่สุดในการทำงาน
ยกตัวอย่าง คนขับรถมา 10 ปี ไม่ได้หมายความว่าจะขับเก่ง เพราะหลังจากช่วงแรกที่เรียนรู้แล้ว เราจะเข้าสู่โหมด “autopilot” ทำตามนิสัย ไม่ได้พยายามปรับปรุงอะไรเลย เลยไม่มีการพัฒนา
เคล็ดลับการฝึกที่ได้ผล
1. ปรับระดับความยากให้พอดี
เหมือนเล่นเกม RPG ครับ ถ้าไปฟาด monster ที่ level สูงเกินไป เราจะตาย แต่ถ้าไปฟาด monster ที่ต่ำเกินไป เราก็ไม่ได้ exp ต้องหา monster ที่ยากพอที่จะท้าทาย แต่ไม่ยากจนทำไม่ได้
ในการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าเราอ่าน Harry Potter ได้แล้ว การอ่านหนังสือเด็กจะไม่ช่วยให้เราพัฒนา แต่ถ้ากระโดดไปอ่าน Shakespeare เลย ก็จะไม่เข้าใจ ควรหาหนังสือที่ยากกว่าเดิมนิดหน่อย ที่เราต้องเดาความหมายคำศัพท์ใหม่บ้าง แต่ยังพอเข้าใจเรื่องราวได้
2. ฝึกแบบหลากหลาย (Variable Practice)
ลองมาดูนักดนตรีแจ๊สครับ พวกเขาไม่ได้ฝึกเพลงหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา แต่จะฝึกเล่นเพลงเดียวกันในคีย์ต่างๆ จังหวะต่างๆ อารมณ์ต่างๆ ทำให้สมองต้องปรับตัวและเรียนรู้หลักการพื้นฐานจริงๆ
ถ้าเราฝึกยิงบาสเก็ตบอล ไม่ควรยืนจุดเดียวยิงซ้ำไปซ้ำมา แต่ควรลองยิงจากมุมต่างๆ ระยะต่างๆ สถานการณ์ต่างๆ (มีคนมากด ไม่มีคนมากด) เพื่อให้สมองเรียนรู้การปรับตัว
3. ผลิตผลงานให้เยอะ
Thomas Edison สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ได้ 1,093 ชิ้น ไม่ใช่เพราะเขาฉลาดกว่าคนอื่น แต่เพราะเขา ลองเยอะกว่าคนอื่น เขามีระบบในการทำงาน มีกระบวนการที่ช่วยให้ผลิตไอเดียและทดลองได้เร็ว
ส่วนนักเขียนนวนิยายที่ดีก็เหมือนกัน Stephen King เขียนทุกวัน ไม่รอแรงบันดาลใจ เขาตั้งเป้าหมายเขียนวันละ 2,000 คำ และทำแบบนี้มาตลอด 40 ปี ผลงานถึงออกมาเยอะและดีอย่างต่อเนื่อง
3. Feedback (การรับฟีดแบ็ก) – ปรับปรุงจากความผิดพลาด
องค์ประกอบสุดท้ายคือการได้รับฟีดแบ็กที่ตรงไปตรงมา และรวดเร็ว
เรื่องราวของนักบินและบทเรียนจากหายนะ
ปี 1977 เกิดอุบัติเหตุการบินที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เกาะ Tenerife เครื่องบินสองลำชนกันบนรันเวย์ คนตาย 583 คน สาเหตุหลักมาจากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนและการตัดสินใจผิดพลาดของนักบิน
หลังจากเหตุการณ์นี้ วงการการบินได้เปลี่ยนระบบการฝึกนักบินใหม่ทั้งหมด เพิ่มการฝึกใน flight simulator ที่สมจริง สร้างสถานการณ์วิกฤตต่างๆ ให้นักบินได้ฝึกรับมือ และที่สำคัญ – ให้นักบินได้รับฟีดแบ็กทันทีว่าการตัดสินใจของเขาส่งผลยังไง
วันนี้การบินจึงปลอดภัยขึ้นมาก เพราะนักบินได้ฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่ให้ฟีดแบ็กทันที ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์จริงถึงจะรู้ว่าทำผิด
ทำไมนักโป๊กเกอร์ทำนายอนาคตได้แม่นกว่าจิตแพทย์?
ฟังดูแปลกใช่มั้ยครับ? แต่เป็นความจริง ในการวิจัยเปรียบเทียบการทำนายพฤติกรรมคน พบว่านักโป๊กเกอร์มืออาชีพทำนายได้แม่นยำกว่าจิตแพทย์ในหลายๆ เรื่อง
เหตุผลคือ นักโป๊กเกอร์ได้รับฟีดแบ็กทันทีและชัดเจน ถ้าอ่านคนผิด เขาจะเสียเงินทันที ถ้าอ่านถูก เขาจะได้เงินทันที ระบบ reward และ punishment ชัดเจนมาก
ส่วนจิตแพทย์ ฟีดแบ็กมักจะมาช้าและไม่ชัดเจน ถ้าวินิจฉัยผิด อาจจะใช้เวลานานกว่าจะรู้ว่าผิด และบางครั้งก็ไม่รู้เลยว่าผิดหรือถูก
12 หลักการแห่งความเป็นเซียน
จากการวิจัย Scott สรุปออกมาเป็น 12 หลักการที่จำง่าย แต่ละข้อมีเรื่องราวและตัวอย่างน่าสนใจ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:
หลักการที่เด่นๆ เช่น:
การแก้ปัญหาแบบเขาวงกต: แทนที่จะลุ่มลึกกับปัญหายาก ให้แยกออกเป็นขั้นตอนเล็กๆ เหมือนการเดินเขาวงกต ไปทีละก้าว ทดลองผิดลอง หาทางออก
การเอาชนะความกลัวด้วยการเผชิญหน้า: ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่เยอรมันทิ้งระเบิดลอนดอน คนลอนดอนกลัวมากในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลัวน้อยลง เพราะได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวซ้ำๆ จนชิน
การเลิกเรียนแบบเก่า: บางครั้งการจะเก่งขึ้น เราต้องลืมสิ่งที่คิดว่ารู้เก่าออกไปก่อน เหมือนช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ที่คิดว่าเก่งแล้ว แต่พอเทคโนโลยีใหม่มา กลับกลายเป็นอุปสรรค ต้องเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่ต้น
กรณีศึกษา
จากเทนนิสสมัครเล่นสู่ความเป็นมืออาชีพ
มีคนหนึ่งเล่นเทนนิสมา 15 ปี ฝีมือก็ธรรมดา วันหนึ่งเขาไปดู YouTube ช่องของโค้ชเทนนิสชื่อดัง ที่อธิบายท่าตีและกลยุทธ์อย่างละเอียด เขาไม่ได้แค่ดู แต่ลงไปฝึกตามคลิป อัดวิดีโอตัวเองเล่น เทียบกับคลิป แล้วค่อยๆ ปรับปรุง
แค่ 6 เดือน ฝีมือเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาใช้หลักการ See-Do-Feedback อย่างเป็นระบบ
นักพ่อครัวสู่เชฟระดับโลก
Grant Achatz เชฟมิชลินสตาร์ 3 ดวง เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างล้างจานในร้านอาหาร แต่เขาไม่ได้แค่ล้างจาน เขาเฝ้าดูเชฟทำงาน ดูทุกท่าทาง ทุกเทคนิค ทุกการตัดสินใจ
หลังเลิกงาน เขาไปซื้อวัตถุดิบมาฝึกทำตามที่เห็น ผิดพลาดก็ลองใหม่ ซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าจะได้ เขาใช้เวลาหลายปีในการ “ลอกเลียนแบบ” ก่อนที่จะเริ่มสร้างสไตล์ของตัวเอง
วันนี้ร้านอาหารของเขาถือเป็นหนึ่งในร้านที่ดีที่สุดในโลก
ข้อผิดพลาด
1. เรียนแต่ไม่ทำ
หลายคนดูคลิปสอนกีตาร์เป็นร้อยคลิป แต่ไม่ยอมหยิบกีตาร์ขึ้นมาบรรเลง รู้ทฤษฎีเต็มหัว แต่พอใช้จริงไม่ได้
2. ทำซ้ำแบบเดิมไม่เปลี่ยน
เหมือนคนออกกำลังกายที่วิ่งเส้นทางเดิม ความเร็วเดิม เวลาเดิม ทุกวัน ร่างกายชินแล้ว ไม่มีการพัฒนา
3. ไม่ยอมรับฟีดแบ็ก
บางคนมักจะหาข้อแก้ตัว หรือโทษปัจจัยภายนอก แทนที่จะมองหาสิ่งที่ปรับปรุงได้
4. เร่งรีบเกินไป
อยากเห็นผลเร็ว กระโดดข้ามขั้นตอนพื้นฐาน เหมือนคนอยากเล่นเพลงยาก แต่ยังตีคอร์ดง่ายๆ ไม่ได้
ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับการทำงาน
- หาเมนเตอร์หรือคนที่เก่งกว่ามาให้คำแนะนำ
- ขอฟีดแบ็กจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าอย่างสม่ำเสมอ
- ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่วัดผลได้ชัดเจน
- ลองงานใหม่ๆ ที่ท้าทาย แต่ไม่ยากเกินไป
สำหรับงานอดิเรก
- ดู YouTube ช่องคนที่เก่งๆ อย่างตั้งใจ สังเกตรายละเอียด
- ตั้งเวลาฝึกประจำ ไม่รอแรงบันดาลใจ
- อัดวิดีโอตัวเอง แล้วมาดูว่าต่างจากคนเก่งตรงไหน
- หากลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์
สำหรับการเรียน
- สอนคนอื่น เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรู้ว่าเราเข้าใจจริงหรือเปล่า
- ทำโจทย์หลากหลาย ไม่ติดแบบเดียว
- สร้างกลุ่มเรียน ให้ฟีดแบ็กกัน
สรุป
การเก่งอะไรก็ได้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องทำถูกวิธี ดู ทำ และรับฟีดแบ็ก ให้เป็นระบบ ไม่ใช่แค่ทำซ้ำๆ แบบไม่คิด
สิ่งสำคัญคือ ต้องใจเย็น เพิ่มความยากแต่ละนิด อย่าเร่งรีบ และที่สำคัญที่สุด – อย่ากลัวที่จะผิดพลาด เพราะความผิดพลาดคือครูที่ดีที่สุด
จำไว้นะครับ Thomas Edison ล้มเหลว 1,000 ครั้งก่อนที่จะประดิษฐ์หลอดไฟได้สำเร็จ แต่เขาไม่เคยมองว่าตัวเองล้มเหลว เขามองว่าเขาได้เรียนรู้ 1,000 วิธีที่ไม่ได้ผล
การเรียนรู้เป็นการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมาย เมื่อเราเข้าใจหลักการแล้ว ทุกอย่างจะกลายเป็นโอกาสในการพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การเล่นดนตรี การเขียนโปรแกรม หรือแม้แต่การเป็นคนดีขึ้น
ชีวิตนี้เต็มไปด้วยสิ่งใหม่ๆ ที่รอให้เราเรียนรู้ เพียงแค่เราใช้วิธีที่ถูกต้อง ความเป็นเซียนก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม
เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้เลยครับ หาสิ่งที่อยากเก่ง ดูคนที่เก่งกว่าทำยังไง ลงมือทำตาม และขอฟีดแบ็กจากคนรอบข้าง เท่านี้ คุณก็เริ่มเดินบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียนแล้ว!
#hrรีพอร์ต
Leave a comment