เช้าวันจันทร์ของซาร่าห์ เริ่มต้นด้วยการที่เธอรีบส่งลูกชายวัย 8 ขวบให้กับพี่เลี้ยง ก่อนจะขับรถไปทำงาน ระหว่างทางเธอโทรไปหา Personal Shopper ให้ช่วยซื้อของขวัญวันเกิดสามี พอถึงออฟฟิศ เธอก็ได้รับอีเมลจาก Wedding Planner ที่เธอจ้างมาจัดงานแต่งลูกสาว ตอนเย็นเธอมี Zoom Call กับ Life Coach ที่ช่วยวางแผนอนาคต และก่อนนอนเธอก็สั่งอาหารผ่าน App ส่งถึงบ้าน
ชีวิตของซาร่าห์ดูสะดวกสบายมาก แต่ถ้าลองหยุดคิดดู เธอกำลังจ้างคนอื่นทำเกือบทุกอย่างในชีวิตแทนเธอ นี่คือสิ่งที่ Arlie Russell Hochschild นักสังคมวิทยาชื่อดังจากมหาวิทยาลัย UC Berkeley เรียกว่า “การจ้างตัวตนออกไป” หรือ “The Outsourced Self”
การเดินทางค้นหาความจริง
Hochschild ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาปรากฏการณ์นี้ เธอไม่ได้แค่นั่งในห้องทำงานวิเคราะห์ตัวเลข แต่ลงไปใช้ชีวิตจริงกับผู้คน ไปสัมภาษณ์ครอบครัวที่ว่าจ้างคนช่วย ไปคุยกับคนที่ขายบริการเหล่านี้ และแม้แต่ไปสังเกตการณ์ในงานแต่งงานที่จัดโดย Professional Wedding Planner
สิ่งที่เธอพบทำให้เธอตกใจ ในอเมริกา การจ้างคนช่วยไม่ใช่แค่เรื่องของคนรวยอีกต่อไป แม้แต่ครอบครัวชนชั้นกลางก็เริ่มจ้างคนมาช่วยทำงานที่เคยเป็น “หน้าที่ส่วนตัว” มากขึ้นเรื่อยๆ
โลกของบริการ “ทุกอย่าง”
ในยุคปัจจุบัน เราสามารถจ้างคนมาทำเกือบทุกอย่างได้ ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ไปจนถึงเรื่องที่ซับซ้อนและส่วนตัวที่สุด
บริการพื้นฐานที่คุ้นเคย:
- คนทำความสะอาดบ้าน
- คนส่งอาหาร
- คนซักรีด
- คนขับรถ
บริการที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว:
- พี่เลี้ยงเด็ก 24 ชั่วโมง
- คนช่วยทำการบ้านให้เด็ก
- “แม่สำรอง” ที่ไปงานโรงเรียนแทนแม่จริง
- คนช่วยเฝ้าผู้สูงอายุในครอบครัว
บริการที่เข้าไปในเรื่องส่วนตัว:
- Life Coach ที่ช่วยวางแผนชีวิต
- Dating Coach ที่สอนวิธีจีบคนรัก
- Personal Shopper ที่ช่วยเลือกของขวัญให้คนรัก
- คนที่จ้างมา “เป็นเพื่อน” สำหรับคนเหงา
บริการที่แตะเรื่องจิตใจ:
- Professional Wedding Planner ที่วางแผนงานแต่งงานแทนเจ้าบ่าวเจ้าสาว
- คนที่จ้างมา “เฝ้าโศก” ในงานศพ
- บริษัทที่จัดงานวันเกิดเด็กแบบครบวงจร
เรื่องจริงที่น่าตกใจ
Hochschild เล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่เธอไปสัมภาษณ์ คุณแม่ทำงานเป็น Executive ในบริษัทใหญ่ เธอจ้างพี่เลี้ยงชาวฟิลิปปินส์ชื่อ มาเรีย มาดูแลลูกชายวัย 6 ขวบ
วันหนึ่ง เด็กชายล้มจักรยานเข่าถลอก พอกลับถึงบ้านเธอวิ่งไปหามาเรียแล้วร้องไห้บอกว่า “หนูเจ็บ” แทนที่จะไปหาแม่ ตอนที่คุณแม่เห็นเหตุการณ์นี้ เธอรู้สึกเหมือนมีคนแทงหัวใจ
หรือเรื่องของคุณ เจมส์ ชายหม้ายวัย 55 ที่จ้างบริษัท “Professional Friend” มาเป็นเพื่อนคุย เพราะเขารู้สึกเหงาหลังจากที่ภรรยาเสียชีวิต คนที่เขาจ้างมาชื่อ แซนดี้ เธอมาบ้านเขาทุกสัปดาห์ คุยกันราว 2 ชั่วโมง เจมส์บอกว่าเขารู้ดีว่าแซนดี้ทำเพราะได้เงิน แต่อย่างน้อยก็มีคนรับฟัง
ที่น่าสนใจคือเรื่องของคู่หนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงาน พวกเขาจ้าง Wedding Planner มาจัดงานแต่งงานให้ทุกอย่าง ตั้งแต่เลือกสถานที่ อาหาร ดนตรี ไปจนถึงการเขียนคำปฏิญาณ ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มายืนแล้วพูดตามที่ Wedding Planner เขียนให้
เหตุผลที่เราจ้างคนช่วย
Hochschild พบว่ามีเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้คนเราจ้างคนอื่นมาช่วยชีวิต:
1. เวลาไม่พอ ในยุคที่ทุกคนต้องทำงานหนัก การแข่งขันสูง คนเราไม่มีเวลาทำทุกอย่างเอง จ้างคนช่วยจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล
2. ขาดทักษะ งานบางอย่างต้องการความเชี่ยวชาญ เช่น การจัดงานแต่งงาน การดูแลผู้สูงอายุ หรือการสอนเด็ก คนทั่วไปอาจไม่มีความรู้พอ
3. ต้องการคุณภาพ Professional บางคนทำได้ดีกว่าเราเอง เช่น Chef ทำอาหารอร่อยกว่า Personal Trainer ช่วยออกกำลังกายได้ผลดีกว่า
4. แรงกดดันทางสังคม ในสังคมบางแห่ง การจ้างคนช่วยเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ คนที่ไม่จ้างอาจดูเหมือน “ไม่ทันสมัย”
5. ความสะดวกสบาย บริการต่างๆ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้
ผลกระทบที่คิดไม่ถึง
แม้การจ้างคนช่วยจะสะดวก แต่ Hochschild พบว่ามีผลข้างเคียงที่น่ากังวล:
เสียทักษะชีวิต เมื่อเราจ้างคนอื่นทำทุกอย่าง เราก็เสียความสามารถในการทำเอง เด็กที่มีพี่เลี้ยงทำทุกอย่างให้อาจไม่รู้จักดูแลตัวเอง คนที่จ้าง Personal Shopper ตลอดอาจไม่รู้จักเลือกของขวัญให้คนรัก
ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลง เมื่อคนอื่นเข้ามาช่วยดูแลครอบครัว บทบาทของสมาชิกในครอบครัวก็เปลี่ยนไป เด็กอาจรู้สึกใกล้ชิดกับพี่เลี้ยงมากกว่าพ่อแม่ ผู้สูงอายุอาจผูกพันกับคนช่วยมากกว่าลูกหลาน
เกิดชนชั้นใหม่ สังคมแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คนที่มีเงินซื้อบริการ กับคนที่ขายแรงงาน สิ่งที่เคยเป็นการช่วยเหลือกันในชุมชนกลายเป็นธุรกิจ
ความเป็นมนุษย์ลดลง สิ่งที่เคยเป็นเรื่องของใจ ของความรัก ของความผูกพัน กลายเป็นสินค้าที่ซื้อขายได้ การดูแลเด็ก การเฝ้าคนป่วย การเป็นเพื่อน ทุกอย่างมีราคา
เรื่องจริงในไทย
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในอเมริกา ในไทยเราก็เห็นเช่นกัน ครอบครัวในเมืองใหญ่เริ่มจ้างแม่บ้านประจำ พี่เลี้ยงเด็ก คนขับรถ คนส่งอาหาร มากขึ้น
มีเรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่งในกรุงเทพฯ คุณแม่ทำงานบริษัทข้ามชาติ จ้างป้าเลี้ยงมาดูแลลูกสาววัย 4 ขวบ วันหนึ่งเด็กเป็นไข้ พอคุณแม่กลับมาจากทำงาน ลูกสาวก็วิ่งไปกอดป้าเลี้ยงแล้วบอกว่า “ป้าเลี้ยงดูแลหนูตอนป่วย” คุณแม่รู้สึกผิดมาก เพราะตัวเองไม่ได้อยู่เคียงข้างลูกตอนที่ลูกต้องการมากที่สุด
หรือกรณีของหนุ่มสาวในกรุงเทพฯ ที่จ้าง Event Planner มาจัดงานแต่งงาน แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างออกแบบตาม “แพคเกจ” ไม่ได้สะท้อนตัวตนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเลย งานแต่งงานสวยงามแต่ไม่มี “ตัวตน”
มุมมองของคนทำงานบริการ
Hochschild ไม่ได้มองแค่มุมเดียว เธอไปสัมภาษณ์คนที่ทำงานในธุรกิจบริการเหล่านี้ด้วย
พี่เลี้ยงเด็กชาวฟิลิปปินส์หลายคนบอกว่า พวกเธอรู้สึกซับซ้อน ในขณะที่ต้องดูแลเด็กของคนอื่นด้วยความรัก พวกเธอก็ต้องทิ้งลูกของตัวเองไว้บ้านเกิด
Wedding Planner คนหนึ่งบอกว่า เธอเห็นคู่บ่าวสaวหลายคู่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร แค่รู้ว่าต้องการงานแต่งงานที่ “ปังป์” และ “ดูดี” เท่านั้น
Life Coach หลายคนสารภาพว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการคำแนะนำจริงๆ แค่ต้องการคนรับฟัง เพราะไม่มีเพื่อนหรือครอบครัวที่จะคุยด้วย
บทเรียน
Hochschild ไม่ได้ต่อต้านการจ้างคนช่วย เธอเข้าใจดีว่าในโลกปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้อาจจำเป็น แต่เธอต้องการให้เราคิดทบทวน
เราควรรู้จักแยกแยะ ว่าอะไรควรจ้างคนช่วย อะไรควรทำเอง เรื่องพื้นฐานของชีวิต เช่น การดูแลลูก การใช้เวลากับครอบครัว การสร้างความทรงจำร่วมกัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้คนอื่น
เราต้องระวังอย่าให้เสียตัวตน การจ้างคนช่วยทุกเรื่องอาจทำให้เราไม่รู้จักตัวเองว่าชอบอะไร เก่งเรื่องอะไร ต้องการอะไรจริงๆ
ความสัมพันธ์ต้องมาก่อนความสะดวกสบาย การใช้เวลากับคนที่เรารัก การทำกิจกรรมร่วมกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เราจ้างคนอื่นมาทำแทนได้
ทางออกที่สมดุล
Hochschild เสนอแนะว่า เราสามารถใช้บริการต่างๆ ได้ แต่ต้องทำอย่างชาญฉลาด:
กำหนดเขตแดนชัดเจน ว่าเรื่องไหนจ้างคนช่วยได้ เรื่องไหนต้องทำเอง เช่น จ้างคนทำความสะอาดบ้านได้ แต่การอ่านหนังสือให้ลูกฟังควรทำเอง
รักษาคุณภาพเวลา แม้จะจ้างคนช่วยดูแลลูก แต่ต้องแน่ใจว่าเราใช้เวลาคุณภาพกับลูกเป็นประจำ
เรียนรู้ทักษะพื้นฐาน อย่าให้การจ้างคนช่วยทำให้เราเสียความสามารถในการดูแลตัวเองและครอบครัว
สร้างชุมชน แทนที่จะจ้างคนเป็นเพื่อน ควรสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ชุมชนจริงๆ
การรักษาความเป็นมนุษย์
“The Outsourced Self” ไม่ใช่หนังสือที่มาตำหนิการใช้บริการต่างๆ แต่เป็นการเตือนใจให้เราระวังอย่าให้ความสะดวกสบายแทนที่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือ ความผูกพัน ความรัก การเรียนรู้ และการเติบโตร่วมกัน
ในโลกที่ทุกอย่างสามารถซื้อได้ สิ่งที่ซื้อไม่ได้คือ ความทรงจำที่สร้างขึ้นเอง ความภาคภูมิใจจากการทำสำเร็จด้วยมือเรา และความรักที่แท้จริงจากคนที่เราดูแลด้วยตัวเอง
ดังที่ Hochschild เขียนไว้ “เราต้องการความช่วยเหลือ แต่เราก็ต้องการความเป็นตัวเองด้วย ความท้าทายคือการหาจุดสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้”
ในที่สุด คำถามสำคัญที่เราต้องถามตัวเองคือ “ในหมู่สิ่งที่เราจ้างคนอื่นทำแทน มีอะไรบ้างที่เราไม่ควรปล่อยให้คนอื่นทำ เพราะมันคือหัวใจของการเป็นเราเอง?”
#hrรีพอร์ต
Leave a comment