ฟิลิป เฮนเชอร์ นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ ยืนอยู่หน้าโต๊ะเซ็นหนังสือในร้านหนังสือแห่งหนึ่งในลอนดอน เขาเพิ่งเปิดปากกาเตรียมเซ็นชื่อให้กับแฟนคนหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาต้องหยุดคิด หนุ่มสาวคนนั้นเขียนชื่อของตัวเองลงในหนังสือด้วยลายมือที่ดูเหมือนเด็กอายุ 7 ขวบ ตัวอักษรเซเต้อะซไม่เป็นระเบียบ บางตัวเขียนใหญ่ บางตัวเขียนเล็ก แถมยังดูเหมือนเขียนแล้วตัวเองก็อ่านไม่ออกอีกด้วย

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เฮนเชอร์เขียนหนังสือ “The Missing Ink: The Lost Art of Handwriting” ขึ้นมา เพราะเขาเริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างสำคัญกำลังหายไปจากชีวิตของเรา

ปากกาขนนกคือราชาแห่งการเขียน

ย้อนกลับไปเมื่อ 200 ปีก่อน การเขียนหนังสือเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความพิถีพิถัน คนในสมัยนั้นใช้ปากกาขนนกจุ่มหมึก เขียนบนกระดาษด้วยความระมัดระวัง แต่ละตัวอักษรต้องมีสัดส่วน ความโค้ง และความงามที่พอดี

เฮนเชอร์เล่าเรื่องราวของคุณยายของเขาเอง ท่านเป็นคนที่เขียนหนังสือสวยมาก แม้กระทั่งรายการซื้อของใส่กระเป๋าก็เขียนด้วยลายมือที่สวยงาม เหมือนเป็นศิลปะชิ้นหนึ่ง เมื่อเขาเป็นเด็ก เขายังจำได้ว่าการได้รับจดหมายจากคุณยายเป็นเรื่องพิเศษ ไม่ใช่แค่เพราะเนื้อหา แต่เพราะลายมือสวยๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น

ในสมัยวิกตอเรียของอังกฤษ มีโรงเรียนสอนการเขียนหนังสือโดยเฉพาะ เรียกว่า “Penmanship School” เด็กๆ ต้องนั่งฝึกเขียนตัวอักษรทีละตัว เริ่มจากการวาดเส้นโค้ง เส้นตั้ง จนกระทั่งสามารถเขียนตัวหนังสือที่สวยงาม การมีลายมือสวยในสมัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการมีการศึกษาและมีฐานะ

นักสืบลายมือกับความลับที่ซ่อนอยู่

หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจที่สุดในหนังสือเล่มนี้ คือเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักสืบลายมือ หรือที่เรียกว่า “Graphologist” คนเหล่านี้สามารถดูลายมือแล้วบอกนิสัยใจคอของเจ้าของลายมือได้

เฮนเชอร์เล่าตัวอย่างที่น่าทึ่ง เขาได้เห็นนักสืบลายมือคนหนึ่งวิเคราะห์จดหมายรักเก่าๆ แล้วบอกได้ว่าคนเขียนเป็นคนขี้อายแต่มีจิตใจแกว่งไกว เป็นคนฉลาดแต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง และที่น่าแปลกใจคือ ข้อมูลเหล่านี้ตรงกับบันทึกส่วนตัวของเจ้าของจดหมายพอดี

ลายมือของแต่ละคนเป็นเหมือนลายนิ้วมือ ไม่มีใครเหมือนใครเลย แม้แต่ฝาแฝดก็มีลายมือที่แตกต่างกัน เพราะลายมือสะท้อนบุคลิก อารมณ์ และแม้กระทั่งสุขภาพของเรา คนที่เครียดจะเขียนหนังสือเร็วและรุนแรงกว่าปกติ คนที่ป่วยหนักจะมีลายมือที่สั่นและไม่มั่นคง

วันที่เปลี่ยนแปลง

แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยน เฮนเชอร์เล่าว่าเขายังจำได้วันที่ครั้งแรกที่เขาใช้เครื่องพิมพ์ดีด เสียงการเคาะแป้นพิมพ์และการได้เห็นตัวหนังสือปรากฏบนกระดาษอย่างเรียบร้อย ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก การพิมพ์เร็วกว่า เรียบร้อยกว่า และที่สำคัญคือ คนอื่นอ่านออกง่ายกว่า

ต่อมาคอมพิวเตอร์เข้ามา การพิมพ์กลายเป็นทักษะที่จำเป็นกว่าการเขียน เด็กๆ ในโรงเรียนเริ่มเรียนวิธีการใช้คีย์บอร์ด แทนที่จะฝึกถือปากกา โรงเรียนหลายแห่งลดเวลาสอนการเขียนหนังสือลง เพื่อเพิ่มเวลาสอนคอมพิวเตอร์

เฮนเชอร์เล่าประสบการณ์ของเขาเองว่า เมื่อครั้งแรกที่เขาได้ใช้โปรแกรมประมวลผลคำ เขารู้สึกเหมือนได้พบกับปาฏิหาริย์ สามารถแก้ไขข้อความได้โดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด สามารถย้ายย่อหน้า ลบคำ หรือเพิ่มคำได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเขียนใหม่ ตอนนี้ทำได้ในไม่กี่นาที

ลายมือกลายเป็นงานอดิเรก

เวลาผ่านไป เฮนเชอร์เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเขาเอง เขาเขียนหนังสือด้วยมือน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเขียนแค่รายการซื้อของ หรือจดโน้ตเล็กๆ น้อยๆ เมื่อไหร่ที่ต้องเขียนจดหมายหรือเอกสารยาวๆ เขาจะรู้สึกว่ามือเมื่อย แขนเจ็บ เหมือนกับไม่ได้ออกกำลังกายมานาน

เขาเล่าเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เขาตระหนักถึงปัญหานี้ เขาต้องเขียนจดหมายยินดีงานแต่งงานให้เพื่อนสนิท แต่เมื่อเขียนไปได้ครึ่งหน้า มือก็เริ่มเมื่อย ลายมือเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เขียนสวยๆ กลายเป็นขรุขระ แถมยังเขียนช้ามาก สิ่งที่เคยทำได้อย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นงานหนัก

เด็กยุคใหม่กับวิกฤตลายมือ

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กรุ่นใหม่ เฮนเชอร์ได้ไปเยี่ยมโรงเรียนประถมหลายแห่ง และพบเห็นภาพที่น่าใจหาย เด็กอายุ 10 ขวบหลายคนถือปากกาไม่ถูกต้อง เขียนหนังสือช้ามาก ตัวอักษรไม่สม่ำเสมอ บางคนเขียนแล้วเจ็บมือจนต้องหยุดพัก

เขาเล่าเรื่องของเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ เอมิลี่ อายุ 11 ปี เด็กคนนี้ฉลาดมาก สามารถพิมพ์เร็วและใช้แท็บเล็ตได้คล่อง แต่เมื่อถึงเวลาสอบที่ต้องเขียนตอบ เธอเขียนได้ช้ามาก ทำข้อสอบไม่ทัน แม้ว่าจะรู้คำตอบทั้งหมด คุณครูต้องให้เธอพิมพ์ตอบแทน

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เจมส์ เด็กชายอายุ 12 ปี เขาสามารถเล่นเกมบนมือถือได้เป็นชั่วโมง แต่การเขียนการบ้าน 2 หน้า ทำให้มือเขาเมื่อยและเจ็บ บางครั้งเขาต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการเขียนสิ่งที่ควรจะเสร็จภายใน 30 นาที

สิ่งที่เราสูญเสียไปจริงๆ

เฮนเชอร์อธิบายว่า การสูญเสียทักษะการเขียนด้วยลายมือไม่ใช่แค่เรื่องของการเขียนตัวหนังสือให้สวย แต่เป็นการสูญเสียสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น

เขายกตัวอย่างจากการศึกษาวิจัยที่พบว่า เด็กที่เขียนโน้ตด้วยมือจะจำได้ดีกว่าเด็กที่พิมพ์โน้ตด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะการเขียนด้วยมือทำให้สมองต้องประมวลผลข้อมูลมากกว่า ต้องคิดว่าจะเขียนคำไหนสำคัญ ต้องย่นยอความ และต้องใช้กล้ามเนื้อมือในการเขียน

การเขียนด้วยมือยังช่วยให้เราคิดแบบช้าๆ ไตร่ตรอง เมื่อเราเขียน เราจะคิดก่อนว่าจะเขียนอะไร เพราะการลบแก้ไขยุ่งยาก ต่างจากการพิมพ์ที่เราสามารถพิมพ์ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยกลับมาแก้ไขทีหลัง

จดหมายรักในยุคดิจิทัล

หนึ่งในเรื่องเล่าที่สะเทือนใจที่สุดในหนังสือเล่มนี้ คือเรื่องของจดหมายรัก เฮนเชอร์เล่าว่า เขาเก็บจดหมายรักที่แฟนเก่าเขียนให้ไว้หลายสิบฉบับ เมื่อไหร่ที่เขาอ่านจดหมายเหล่านั้น เขาจะนึกถึงท่าทางการเขียนของเธอ การที่เธอกดปากกาแรงๆ เมื่อเธอตื่นเต้น การที่ลายมือเปลี่ยนไปเมื่อเธอเศร้า

เขาเปรียบเทียบกับการอ่านอีเมลหรือข้อความในมือถือ ตัวอักษรทุกตัวเหมือนกัน ไม่มีอารมณ์ ไม่มีเอกลักษณ์ เราไม่สามารถบอกได้ว่าคนที่ส่งข้อความมากำลังรู้สึกอย่างไร

เขายกตัวอย่างจดหมายรักที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ เช่น จดหมายที่นโปเลียนเขียนให้โจเซฟีน หรือจดหมายที่เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์เขียนให้ภรรยา จดหมายเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีเนื้อหาที่สวยงาม แต่ยังมีลายมือที่สื่อถึงความรู้สึกอันลึกซึ้ง หากจดหมายเหล่านี้เป็นอีเมล มันคงไม่มีพลังทางอารมณ์เท่านี้

ลายเซ็นในยุคปลอมแปลง

อีกเรื่องหนึ่งที่เฮนเชอร์กังวล คือเรื่องของลายเซ็น ในอดีต ลายเซ็นเป็นสัญลักษณ์ของตัวตน เป็นการรับรองที่มีคุณค่าทางกฎหมาย แต่ในปัจจุบัน คนหลายคนมีลายเซ็นที่ไม่สม่ำเสมอ บางครั้งเซ็นชื่อเดียวกันแล้วได้ลายเซ็นที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ

เขาเล่าเรื่องของเพื่อนคนหนึ่งที่ไปเซ็นสัญญาซื้อบ้าน แต่เจ้าหน้าที่ธนาคารไม่ยอมรับลายเซ็น เพราะดูไม่เหมือนลายเซ็นในบัตรประชาชน ปัญหาก็คือ เพื่อนของเขาไม่ได้ฝึกเซ็นชื่อเป็นประจำ ทำให้ลายเซ็นแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน

โรงเรียนที่เลิกสอนการเขียนหนังสือ

เฮนเชอร์ได้ไปสัมภาษณ์ครูและผู้บริหารโรงเรียนหลายแห่ง เขาพบว่าโรงเรียนหลายแห่งเริ่มลดเวลาสอนการเขียนหนังสือลง บางแห่งเลิกสอนการเขียนหนังสือเอนเลยทีเดียว เปลี่ยนไปสอนแค่การพิมพ์

ครูคนหนึ่งบอกกับเขาว่า “เด็กสมัยนี้ใช้เวลากับการเขียนหนังสือน้อยมาก พอถึงเวลาสอบ เขาเขียนไม่ทัน เขียนแล้วอ่านไม่ออก เราเลยต้องให้เขาพิมพ์แทน”

ผู้บริหารโรงเรียนอีกคนหนึ่งบอกว่า “เวลาเราจำกัด เราต้องเลือกว่าจะสอนอะไรให้เด็ก การพิมพ์ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าการเขียนหนังสือสวย เราจึงเลือกสอนการพิมพ์”

ความหวัง

แต่เฮนเชอร์ก็ไม่ได้น่าเศร้าไปหมด เขายังพบเห็นความหวัง เขาเจอกลุ่มคนที่ยังคงรักการเขียนด้วยลายมือ มีชมรมคนรักปากกาหมึกซึม มีคอร์สเรียนการเขียนหนังสือสวย มีร้านค้าที่ขายเครื่องเขียนคุณภาพสูง

เขาเล่าเรื่องของคุณครูคนหนึ่งที่ยังคงฝืนสอนการเขียนหนังสือให้เด็ก แม้ว่าหลักสูตรจะไม่บังคับ เธอบอกว่า “การเขียนหนังสือสวยทำให้เด็กๆ มีสมาธิ เป็นการฝึกความอดทน และที่สำคัญคือ ทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจในผลงานของตัวเอง”

เขายังได้พบกับนักเขียนหลายคนที่ยังคงเขียนต้นฉบับด้วยมือ พวกเขาบอกว่าการเขียนด้วยมือทำให้พวกเขาคิดได้ชัดเจนกว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างความคิดและการเขียนที่ไม่เหมือนการพิมพ์

คำแนะนำสำหรับยุคใหม่

เฮนเชอร์ไม่ได้ต้องการให้เราย้อนกลับไปใช้ปากกาขนนกและหมึกดำ เขาเข้าใจว่าเทคโนโลジีมีความจำเป็น แต่เขาอยากให้เราหาสมดุล

เขาแนะนำให้:

ในโรงเรียน – ยังคงสอนการเขียนหนังสือให้เด็ก แม้แค่ 15 นาทีต่อวัน ก็จะช่วยให้เด็กมีทักษะพื้นฐานนี้

ในครอบครัว – ให้เด็กฝึกเขียนไดอารี่หรือจดหมายให้ปู่ย่าตายาย การเขียนด้วยมือจะทำให้พวกเขาได้ฝึกการคิดอย่างมีระเบียบ

ในการทำงาน – ลองเขียนโน้ตในการประชุมด้วยมือแทนการพิมพ์ในแล็ปท็อป คุณอาจพบว่าจำได้ดีกว่าและเข้าใจเนื้อหามากกว่า

ในชีวิตส่วนตัว – เขียนจดหมายหรือการ์ดอวยพรด้วยมือ คนที่ได้รับจะรู้สึกพิเศษกว่าการได้รับอีเมลหรือข้อความ

มรดกที่ต้องรักษาไว้

“The Missing Ink” ไม่ใช่หนังสือที่ต่อต้านความก้าวหน้า แต่เป็นหนังสือที่เตือนใจให้เราตระหนักว่า ในการไล่ตามสิ่งใหม่ เราอาจลืมสิ่งเก่าที่มีคุณค่าไป

เฮนเชอร์เปรียบเทียบการเขียนด้วยลายมือกับการทำอาหารด้วยมือ เราสามารถซื้ออาหารสำเร็จรูป หรือสั่งอาหารออนไลน์ได้ แต่การปรุงอาหารด้วยมือทำให้เราได้สัมผัสกับกระบวนการ ได้ใส่ใจใส่ใจรายละเอียด และได้อาหารที่มีเอกลักษณ์ของเรา

การเขียนด้วยลายมือก็เช่นเดียวกัน มันอาจช้ากว่าการพิมพ์ อาจไม่สวยเหมือนตัวอักษรในคอมพิวเตอร์ แต่มันมีวิญญาณ มีเอกลักษณ์ มีความเป็นมนุษย์ที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้

เมื่อจบการอ่านหนังสือเล่มนี้ เฮนเชอร์หวังว่าผู้อ่านจะหยิบปากกาขึ้นมาเขียนบางอย่างด้วยมือ อาจเป็นรายการซื้อของ อาจเป็นจดหมายถึงคนที่รัก หรือแค่เขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษ เพื่อรักษาทักษะที่มนุษย์ใช้มาหลายพันปีไว้ก่อนที่มันจะสูญหายไปจากโลกนี้อย่างถาวร

ในยุคที่ทุกอย่างเร็ว ทุกอย่างสะดวก บางทีเราควรชะลอความเร็วลงบ้าง หยิบปากกาขึ้นมา และรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ผ่านปลายปากกาที่ไหลไปบนกระดาษ นั่นอาจเป็นสิ่งที่เราต้องการมากกว่าที่คิด

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment