เมื่อคุณครูสอนเขียนที่เก่งที่สุดในอเมริกาค้นพบวิธีการอ่านที่จะเปลี่ยนชีวิตของนักเขียนและผู้อ่าo
การอ่านหนังสือไม่ใช่แค่การอ่าน
ลองนึกภาพดูสิ เวลาเราไปหาหมอแล้วหมอเอาเครื่องเอ็กซเรย์ส่องดูข้างในตัวเรา เราจะเห็นกระดูก เห็นอวัยวะต่างๆ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แล้วถ้าเราสามารถทำแบบนี้กับหนังสือได้ล่ะ? ถ้าเราสามารถส่องดูข้างในงานเขียนชิ้นเอก เห็นโครงสร้าง เห็นเทคนิค เห็นความลับที่ซ่อนอยู่ข้างใต้คำพูดเหล่านั้น?
นี่แหละคือสิ่งที่ Roy Peter Clark ครูสอนการเขียนชื่อดังจากสถาบัน Poynter ได้ค้นพบและนำมาเล่าสู่กันฟังในหนังสือ “The Art of X-Ray Reading” เล่มที่จะเปลี่ยนวิธีการมองหนังสือของคุณไปตลอดกาล
Clark เป็นคนที่สอนการเขียนมากว่า 40 ปี ตั้งแต่เด็กวัยเรียนไปจนถึงนักเขียนที่ได้รางวัล Pulitzer ท่านเคยเป็นกรรมการตัดสินรางวัลชื่อดังมาหลายครั้ง และถูกขนานนามว่าเป็น “โค้ชการเขียนของอเมริกา” ด้วยภารกิจที่ต้องการสร้าง “ประเทศแห่งนักเขียน”
แต่วันหนึ่ง เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นักเขียนเก่งๆ เขาเรียนรู้ท่าไม้ตายของเขาได้จากไหนกัน?” คำตอบที่เขาค้นพบนั้นกลายเป็นหนังสือเล่มนี้
การเกิดขึ้นของ “การอ่านแบบเอ็กซเรย์”
“การอ่านแบบเอ็กซเรย์” หรือ X-ray reading คือการอ่านที่ลึกกว่าผิวเผิน เป็นการอ่านที่ทำให้เราเจาะทะลุผ่านพื้นผิวของข้อความไปดูว่าความหมายถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร แทนที่จะอ่านเพื่อรู้เรื่องราวเท่านั้น เราจะอ่านเพื่อเข้าใจศิลปะแห่งการเล่าเรื่อง
ในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ ที่เราอ่านหนังสือเหมือนกับดื่มยาที่ต้องกลืนไปให้เร็วที่สุด Clark เชิญชวนให้เราหยุด ช้าลง อ่านทีละคำ ทีละประโยค ดื่มด่ำกับความงามของภาษาที่ซ่อนอยู่
เขาอ้างคำกล่าวของ Vladimir Nabokov นักเขียนชื่อดังว่า “วรรกรรม วรรกรรมที่แท้จริง ต้องไม่ถูกกลืนลงไปเหมือนยาน้ำที่อาจจะดีต่อหัวใจหรือดีต่อสมอง แต่ต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถูกดึงออกจากกัน ถูกบีบให้แหลก แล้วกลิ่นหอมของมันจะลอยออกมาในฝ่ามือ มันจะถูกเคี้ยวและกลิ้งไปมาบนลิ้นด้วยความเพลิดเพลิน จากนั้นและเพียงแค่นั้น รสชาติอันหายากของมันจะถูกชื่นชมในคุณค่าที่แท้จริง”
การเดินทางผ่าน 25 ผลงานชิ้นเอก
ในหนังสือเล่มนี้ Clark พาเราเดินทางผ่าน 25 ผลงานเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่ The Great Gatsby ของ F. Scott Fitzgerald ไปจนถึง Lolita ของ Vladimir Nabokov, The Bluest Eye ของ Toni Morrison, งานของ Ernest Hemingway, William Shakespeare, Flannery O’Connor และอีกมากมาย
แต่ละบทเป็นการผ่าตัดอย่างละเอียด แยกแยะทีละส่วน ดูว่าความมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุด เราจะเอาเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในการเขียนของเราเองได้อย่างไร
การผ่าตัด The Great Gatsby
Clark เล่าถึงประสบการณ์ของเขาเองกับ Gatsby ว่าเมื่อครั้งอ่านในสมัยมัธยม เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเล่มหนึ่ง
แต่เมื่อเขาใช้การอ่านแบบเอ็กซเรย์ เขาค้นพบความลับของ Fitzgerald ที่ซ่อนอยู่ในประโยคสุดท้ายของหนังสือ:
“So we beat on, boats against the current, borne back ceaselessly into the past.”
ประโยคนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่เพียงแค่ในแง่ของความหมาย แต่ยิ่งใหญ่ในแง่ของเทคนิค การใช้คำ “beat” ที่มีความหมายทั้งการตี การเต้น และการพ่ายแพ้ การใช้ภาพเปรียบเทียบของเรือที่ต่อสู้กับกระแสน้ำ และการเล่นกับจังหวะของประโยคที่เหมือนคลื่นที่ซัดกลับมาเรื่อยๆ
Clark ชี้ให้เห็นว่า Fitzgerald ใช้เทคนิคการ “สะท้อนกลับ” ในระดับต่างๆ ทั้งในระดับประโยค ระดับย่อหน้า และระดับทั้งเรื่อง ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความไร้หวังของตัวละครที่พยายามไล่ตามอดีตที่กลับมาไม่ได้
ความลับของ Hemingway
หลายคนมองว่า Hemingway เขียนแบบเรียบง่าย แต่ Clark เปิดเผยว่าความเรียบง่ายนั้นเป็นศิลปะที่ซับซ้อนมาก
ดูตัวอย่างจากเรื่อง “Hills Like White Elephants”:
“The woman looked across the hills. They were white in the sun and the country was brown and dry.”
ดูเหมือนประโยคธรรมดา แต่ Hemingway ใช้เทคนิคการ “ละเว้น” (omission) เขาไม่บอกเราว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไร ไม่บอกว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่เราเดาได้จากการกระทำและบทสนทนา
การใช้สีขาวและสีน้ำตาลแห้งแล้งไม่ใช่การบรรยายธรรมดา แต่เป็นการสะท้อนสภาพจิตใจของตัวละคร ภูเขาสีขาวเหมือนช้างสีขาว (white elephant) ที่เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่ต้องการแต่กำจัดไม่ได้
Clark สอนให้เราเห็นว่า Hemingway ใช้ “ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง” (iceberg theory) โดยที่สิ่งที่เขาเขียนออกมาเป็นเพียงส่วนยอดภูเขาน้ำแข็ง ส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ เราต้องอ่านระหว่างบรรทัดเพื่อเข้าใจความหมายที่แท้จริง
เกมคำของ Nabokov ใน Lolita
Nabokov เป็นนักเขียนที่มีความสามารถในการเล่นกับภาษาระดับอัจฉริยะ Clark วิเคราะห์ประโยคเปิดเรื่องที่โด่งดังของ Lolita:
“Lolita, light of my life, fire of my loins. My sin, my soul. Lo-lee-ta: three syllables, tip of the tongue taking a trip of three steps down the palate to tap, at three, on the teeth. Lo. Lee. Ta.”
ประโยคนี้ไม่ได้ดีแค่เพราะความหมาย แต่ดีเพราะเสียง เพราะจังหวะ เพราะการเล่นกับลิ้นและเพดานปาก Nabokov ใช้เทคนิคการ alliteration (การซ้ำเสียงพยัญชนะต้น) อย่างชาญฉลาด ทำให้ชื่อ “Lolita” กลายเป็นทั้งการล่อลวงทางเสียงและความหมาย
Clark ชี้ให้เห็นว่า Nabokov ไม่ได้แค่เล่าเรื่อง แต่เขา “เล่น” กับภาษา เขาใช้ภาษาอังกฤษราวกับเป็นเครื่องดนตรี สร้างทั้งจังหวะและท่วงทำนอง
เทคนิคที่เราเรียนรู้ได้
1. การใช้คำซ้ำอย่างฉลาด (Strategic Repetition)
หลายคนคิดว่าการใช้คำซ้ำเป็นข้อผิดพลาด แต่ Clark สอนให้เราเห็นว่าการซ้ำคำต่างจากการใช้คำซ้าเกินไป
เขายกตัวอย่างจาก Abraham Lincoln ในสุนทรพจน์ Gettysburg Address:
“But, in a larger sense, we can not dedicate — we can not consecrate — we can not hallow — this ground.”
การซ้ำ “we can not” ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการสร้างจังหวะเหมือนนักตีกลองที่ตีจังหวะซ้ำๆ โดยไม่ทำให้น่าเบื่อ
การประยุกต์ใช้: ลองใช้การซ้ำคำสำคัญในงานเขียนของคุณเพื่อเน้นย้ำจุดสำคัญ แต่ต้องทำอย่างมีจุดประสงค์ ไม่ใช่โดยบังเอิญ
2. ศิลปะของการไม่บอก (The Art of Omission)
Hemingway สอนให้เราเห็นว่าบางครั้งสิ่งที่เราไม่เขียนสำคัญกว่าสิ่งที่เราเขียน
เขายกตัวอย่างจากเรื่องสั้น “For Sale: Baby shoes, never worn” ประโยคเพียง 6 คำนี้บอกเล่าเรื่องราวความเศร้าโศกได้อย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเลย
การประยุกต์ใช้: ลองตัดส่วนที่อธิบายมากเกินไปออก ให้ผู้อ่านได้ใช้จินตนาการ ความลึกลับบางครั้งมีพลังมากกว่าการอธิบายทุกอย่าง
3. ตัวละครที่ซับซ้อนผ่านการไม่เปิดเผยแรงจูงใจ
Clark วิเคราะห์ตัวละคร Iago ในเรื่อง Othello ของ Shakespeare ว่าทำไมเขาถึงน่าสนใจมากกว่าตัวร้ายทั่วไป
ใน original story ที่ Shakespeare ดัดแปลงมา Iago มีแรงจูงใจที่ชัดเจน คือเขาอิจฉา Desdemona และต้องการเธอเป็นของตัวเอง แต่ Shakespeare ตัดแรงจูงใจนี้ออก ทำให้ Iago กลายเป็นตัวร้ายที่เราไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
การประยุกต์ใช้: บางครั้งการไม่อธิบายแรงจูงใจของตัวละครอย่างสมบูรณ์ทำให้พวกเขาน่าสนใจและน่าจดจำมากขึ้น ความลึกลับสร้างความอยากรู้
4. การใช้สภาพอากาศแบบไม่ตรงกับอารมณ์
Clark ชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจว่า ในวรรกรรมดีๆ สภาพอากาศไม่จำเป็นต้องเข้ากับอารมณ์ของเรื่อง
เขายกตัวอย่างว่า “ความสุขอาจเกิดขึ้นในพายุหิมะ ชีวิตคือดวงอาทิตย์ที่ยิ้มส่องลงมาบนฆาตกรผู้นองเลือด”
การทำให้สภาพอากาศขัดแย้งกับอารมณ์ทำให้เกิดความตึงเครียดและสร้างความประทับใจมากกว่าการทำให้ทุกอย่างสอดคล้องกัน
การประยุกต์ใช้: ลองใช้สภาพแวดล้อมที่ขัดแย้งกับอารมณ์ของตัวละคร ฝนตกในวันแต่งงาน แสงแดดสวยงามในวันที่เกิดเหตุร้าย
การเรียนรู้จากประโยคเดียว
Clark จบหนังสือด้วยการรวบรวม “ประโยคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” จากวรรกรรมโลก และทำการผ่าตัดทีละประโยค
ตัวอย่างเช่น ประโยคเปิดเรื่องของ Pride and Prejudice:
“It is a truth universally acknowledged, that a single man in possession of a good fortune, must be in want of a wife.”
Jane Austen ใช้ irony (ความขัดแย้งที่น่าขบขัน) อย่างชาญฉลาด เธอเขียนราวกับเป็น “ความจริงที่ทุกคนยอมรับ” แต่จริงๆ แล้วเป็นการเสียดสีทัศนคติของสังคมที่คิดว่าผู้ชายร่ำรวยทุกคนต้องการภรรยา ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่ “ต้องการ” คือผู้หญิงและครอบครัวของพวกเธอที่อยากได้สามีร่ำรวย
บทเรียนสำหรับนักเขียน
1. อ่านเหมือนนักเขียน
Clark แนะนำให้เราเปลี่ยนวิธีการอ่าน แทนที่จะอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ให้อ่านเพื่อเรียนรู้ ถามตัวเองว่า “ทำไมประโยคนี้ถึงได้ผล?” “ผู้เขียนใช้เทคนิคอะไร?” “ฉันจะเอาไปใช้ได้ยังไง?”
2. เก็บ “คลังแสง” ของตัวเอง
เหมือนที่ถ่ายรูปต้องมีแสง การเขียนต้องมี “คลังแสง” ของเทคนิค ของประโยคที่สวยงาม ของวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ในการเขียน
Clark แนะนำให้เราจดบันทึกประโยคที่ชอบ วิเคราะห์ว่าทำไมมันถึงดี แล้วลองเลียนแบบเทคนิคนั้นในงานของเราเอง
3. เขียนด้วยหู
การเขียนไม่ใช่แค่การใช้ตา แต่ต้องใช้หูด้วย ประโยคที่ดีต้องฟังดูดี มีจังหวะ มีท่วงทำนอง
อ่านงานเขียนของคุณออกเสียง ถ้าติดลิ้น ถ้าหายใจไม่ทัน ถ้าฟังแล้วไม่เพราะ แสดงว่าต้องแก้ไข
การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
สำหรับนักเรียน นักศึกษา
การอ่านแบบเอ็กซเรย์จะช่วยให้คุณเข้าใจวรรกรรมในระดับที่ลึกขึ้น ไม่ใช่แค่เข้าใจเนื้อเรื่อง แต่เข้าใจศิลปะแห่งการเล่าเรื่อง ซึ่งจะช่วยในการเขียนรายงาน การวิเคราะห์ และการเขียนเชิงสร้างสรรค์
สำหรับนักเขียนมือใหม่
คุณจะได้เรียนรู้เทคนิคจากนักเขียนระดับโลกโดยตรง ไม่ต้องเดาหรือลองผิดลองถูก แต่ละบทจบด้วยบทเรียนที่ชัดเจน เอาไปใช้ได้ทันที
สำหรับผู้อ่านทั่วไป
คุณจะเริ่มมองหนังสือในมุมใหม่ เข้าใจว่าทำไมหนังสือบางเล่มถึงถูกยกย่องว่าเป็นคลาสสิก ได้เพลิดเพลินกับการอ่านในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น
ทิ้งท้าย
Roy Peter Clark ไม่ได้แค่สอนให้เราอ่าน เขาสอนให้เราเห็น เขาเปิดตาที่สามให้เรา ทำให้เราสามารถมองทะลุผ่านตัวอักษรไปเห็นจิตวิญญาณของการเขียน
ในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ ที่เราอ่านข่าวแบบสแกน อ่านโซเชียลมีเดียแบบเลื่อน การอ่านแบบเอ็กซเรย์เป็นการเชิญชวนให้เราหยุด ช้าลง ดื่มด่ำ
มันเป็นการเตือนให้เรารู้ว่า ในโลกของข้อมูลที่ทะลักทะลาย สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ข้อมูลมากขึ้น แต่เป็นความเข้าใจที่ลึกขึ้น ไม่ใช่การอ่านที่เร็วขึ้น แต่เป็นการอ่านที่ดีขึ้น
หากคุณอยากเป็นนักเขียนที่ดีขึ้น หรือเป็นผู้อ่านที่เข้าใจลึกขึ้น “The Art of X-Ray Reading” คือหนังสือที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการมองหนังสือของคุณไปตลอดกาล
เพราะเมื่อคุณได้เรียนรู้การมองด้วยสายตาแบบเอ็กซเรย์แล้ว การเขียนของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“วรรกรรมที่แท้จริงต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถูกดึงออกจากกัน ถูกบีบให้แหลก แล้วกลิ่นหอมของมันจะลอยออกมาในฝ่ามือ” – Vladimir Nabokov
การอ่านแบบเอ็กซเรย์คือศิลปะแห่งการค้นหากลิ่นหอมนั้น ค้นหาความงามที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวเผิน และเรียนรู้ที่จะสร้างความงามนั้นขึ้นมาด้วยตัวเราเอง
#hrรีพอร์ต
Leave a comment