จาก “The Six Disciplines of Strategic Thinking” ของ Michael D. Watkins
เมื่อปี 2007 Steve Jobs ขึ้นเวทีแนะนำ iPhone ครั้งแรก หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรวมโทรศัพท์ เครื่องเล่นเพลง และอินเทอร์เน็ตไว้ในเครื่องเดียว แต่ Jobs เห็นอนาคตที่คนอื่นยังไม่เห็น นั่นคือพลังของการคิดเชิงกลยุทธ์
Michael D. Watkins ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นผู้นำจาก Harvard Business School เล่าให้เราฟังในหนังสือ “The Six Disciplines of Strategic Thinking” ว่า การเป็นผู้นำที่ดีในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ต้องอาศัยทักษะหกข้อที่สำคัญยิ่ง
เรื่องเล่าจากสนามรบธุรกิจ
ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้จัดการร้านอาหารเล็กๆ ในย่านธุรกิจ วันหนึ่งโควิด-19 บุกเข้ามา ลูกค้าหายไปเกือบหมด คุณจะทำอย่างไร? คนส่วนใหญ่อาจจะตื่นตระหนก ลดราคา หรือรอให้วิกฤตผ่านไป
แต่ผู้นำที่มีการคิดเชิงกลยุทธ์จะเห็นภาพที่ต่างออกไป เขาจะสังเกตเห็นว่าคนเริ่มสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น จึงรีบปรับตัวไปทำ delivery, meal kit, หรืออาจเปลี่ยนเป็น ghost kitchen เลย นี่คือการคิดเชิงกลยุทธ์ในทางปฏิบัติ
หลักการที่ 1: รู้จักสังเกตและเรียนรู้รูปแบบ (Pattern Recognition)
นักสืบแห่งโลกธุรกิจ
Watkins อธิบายว่าผู้นำที่ดีเหมือนเชอร์ล็อก โฮล์มส์ที่เห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม แต่แทนที่จะหาเบาะแสคดีฆาตกรรม เราต้องหาสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในตลาด
ตัวอย่างจากชีวิตจริง: เจ้าของร้านกาแฟสังเกตเห็นว่าลูกค้าเริ่มถือแก้วใส่กาแฟของตัวเองมากขึ้น แทนที่จะมองว่าเป็นปัญหา เขากลับเห็นโอกาส จึงเริ่มให้ส่วนลดสำหรับคนที่เอาแก้วมาเอง ไม่เพียงแต่ลดต้นทุน ยังสร้างภาพลักษณ์ที่รักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
การฝึกทักษะนี้ทำได้โดย:
- อ่านข่าวอย่างมีสติ: ไม่ใช่อ่านเพื่อรู้ แต่อ่านเพื่อเข้าใจความเชื่อมโยง
- พูดคุยกับลูกค้า: จริงๆ ฟังพวกเขาพูด ไม่ใช่แค่ยิ้มให้
- สังเกตพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ: คนใช้แอปอะไร ซื้อของที่ไหน เปลี่ยนนิสัยยังไง
Reed Hastings ของ Netflix เป็นตัวอย่างที่ดี เขาสังเกตเห็นว่าคนเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น และคาดการณ์ได้ว่าอนาคตคนจะไม่อยากไปเช่า DVD ที่ร้าน จึงปรับตัวจากบริการส่งทางไปรษณีย์เป็นสตรีมมิ่งออนไลน์ก่อนคนอื่น
หลักการที่ 2: คิดเป็นระบบ (Systems Thinking)
โดมิโนแห่งธุรกิจ
ลองจินตนาการว่าบริษัทคุณเป็นร่างกายมนุษย์ หัวใจคือฝ่ายผลิต ปอดคือฝ่ายการตลาด ระบบประสาทคือ IT ถ้าส่วนไหนเจ็บป่วย มันจะส่งผลกระทบไปทั่วทั้งร่างกาย
Watkins เล่าถึงกรณีของบริษัทรถยนต์ที่ตัดสินใจลดต้นทุนโดยการซื้อชิ้นส่วนที่ถูกกว่า ผลลัพธ์? รถเสียง่าย ลูกค้าโกรธ ชื่อเสียงเสียหาย ยอดขายตก และในที่สุดต้องเสียเงินซ่อมแซมชื่อเสียงมากกว่าที่ประหยัดได้ตั้งแต่แรก
ตัวอย่างบวก: บริษัท Patagonia ตัดสินใจใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แม้จะแพงกว่า แต่มันสร้างแบรนด์อิมเมจที่แข็งแกร่ง ดึงดูดลูกค้าที่ห่วงใยโลก และในที่สุดก็ขายได้ราคาแพงกว่าคู่แข่ง
การฝึกคิดเป็นระบบ:
- ตั้งคำถาม “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”: ก่อนตัดสินใจเรื่องใหญ่
- มองหาความเชื่อมโยง: ระหว่างแผนก ระหว่างนโยบาย ระหว่างการกระทำและผลลัพธ์
- คิดในระยะยาว: ไม่ใช่แค่ไตรมาสนี้ แต่สาม-ห้าปีข้างหน้า
หลักการที่ 3: ท้าทายและปรับเปลี่ยนกรอบความคิด (Mental Model Innovation)
ทำลายกล่องเพื่อสร้างใหม่
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ใครจะคิดว่าเราสามารถขึ้นรถของคนแปลกหน้าได้? หรือนอนในบ้านคนที่ไม่รู้จักได้? แต่ Uber และ Airbnb ทำลายกรอบความคิดเก่าๆ และสร้างแบบธุรกิจใหม่ขึ้นมา
Watkins เล่าว่าปัญหาใหญ่ของหลายองค์กรคือติดอยู่กับความคิดแบบเดิม เหมือนช้างที่ถูกมัดขาด้วยเชือกเส้นเล็กตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นแม้จะแข็งแรงพอที่จะดึงเชือกขาด แต่ก็ไม่เคยลองเพราะคิดว่าไม่ได้
ตัวอย่างจากประเทศไทย: กลุ่มเซเว่น อีเลฟเว่น เมื่อ 10 ปีที่แล้วใครจะคิดว่าร้านสะดวกซื้อจะกลายเป็นร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ หรือแม้กระทั่งที่รับ-ส่งพัสดุ? พวกเขาไม่ติดอยู่กับความคิดว่า “เราขายของชำเท่านั้น” แต่คิดใหม่ว่า “เราคือจุดที่คนมาใช้บริการที่สะดวก”
การปรับเปลี่ยนกรอบความคิด:
- ถามคำถาม “ถ้าหาก”: ถ้าหากเราไม่มีข้อจำกัดนี้ เราจะทำอะไรได้บ้าง?
- เรียนรู้จากอุตสาหกรรมอื่น: ดูว่าธุรกิจอื่นแก้ปัญหาคล้ายๆ กันยังไง
- ลองคิดตรงข้าม: ถ้าทุกคนทำแบบนี้ เราจะทำแบบนั้นได้ไหม?
หลักการที่ 4: แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Structured Problem-Solving)
หมอที่ดีไม่เดาโรค
หมอที่ดีไม่เดาว่าคุณเป็นโรคอะไร เขาจะซักประวัติ ตรวจร่างกาย สั่งแล็บ วิเคราะห์อาการ แล้วค่อยวินิจฉัย เช่นเดียวกับผู้นำที่ดี ต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน
Watkins เน้นว่าปัญหาใหญ่มักจะซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ได้ในครั้งเดียว ต้องแยกย่อยเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยแก้ไปทีละส่วน
ตัวอย่างจากชีวิตจริง: ร้านอาหารแห่งหนึ่งพบว่ายอดขายลดลง เจ้าของร้านไม่ได้รีบลดราคาหรือทำโปรโมชั่น แต่เริ่มวิเคราะห์ปัญหา:
- ระบุปัญหา: ยอดขายลดลง 30% ใน 3 เดือนหลัง
- รวบรวมข้อมูล: เช็คข้อมูลลูกค้า การแข่งขัน พฤติกรรมการใช้จ่าย
- วิเคราะห์สาเหตุ: พบว่าร้านใหม่เปิดใกล้ๆ 2 ร้าน + คนในย่านทำงานจากบ้านมากขึ้น
- หาทางแก้: ปรับเมนูให้เหมาะกับการสั่งกลับบ้าน เพิ่มช่องทางออนไลน์ พัฒนาเมนูเด็ดที่คู่แข่งทำไม่ได้
- ประเมินผล: ติดตามผลทุกสัปดาห์ ปรับปรุงต่อ
กรอบการแก้ปัญหาที่ Watkins แนะนำ:
- Define (นิยามปัญหาให้ชัด): ปัญหาจริงๆ คืออะไร ไม่ใช่แค่อาการ
- Diagnose (วินิจฉัยสาเหตุ): หาว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
- Design (ออกแบบทางแก้): คิดทางเลือกหลายๆ แบบ
- Deliver (นำไปปฏิบัติ): ทำตามแผนอย่างจริงจัง
หลักการที่ 5: คิดแบบนักวิจัย (Hypothesis-Driven Thinking)
ธุรกิจคือห้องแลป
Edison ไม่ได้คิดค้นหลอดไฟได้ในครั้งแรก เขาล้มเหลวมากกว่า 1,000 ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ล้มเหลว เขาก็เรียนรู้ว่าอะไรไม่ได้ผล และใช้ความรู้นั้นในการทดลองครั้งต่อไป
Watkins บอกว่าผู้นำยุคใหม่ต้องคิดเหมือนนักวิจัย ตั้งสมมติฐาน ทดสอบ เรียนรู้ แล้วปรับปรุง วนซ้ำไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างจาก Amazon: Jeff Bezos ไม่รู้ว่า Amazon Prime จะได้ผลหรือไม่ แต่เขามีสมมติฐานว่า “ถ้าลูกค้าได้ส่งฟรี พวกเขาจะซื้อมากขึ้น” เขาทดลองในพื้นที่เล็กๆ ก่อน วัดผล แล้วค่อยขยายไปทั่วโลก วันนี้ Prime เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญของ Amazon
ขั้นตอนการคิดแบบนักวิจัย:
- ตั้งสมมติฐาน: “เราคิดว่าถ้าทำแบบนี้ จะเกิดแบบนั้น”
- ออกแบบการทดสอบ: จะวัดผลยังไง? ใช้เวลานานแค่ไหน?
- ทดลองในขนาดเล็ก: อย่าเสี่ยงทั้งบริษัทตั้งแต่แรก
- วัดผลและเรียนรู้: ได้ผลตามที่คิดไหม? เพราะอะไร?
- ปรับปรุงและขยายผล: หรือเปลี่ยนทิศทางถ้าไม่ได้ผล
Netflix เป็นอีกตัวอย่างที่ดี พวกเขาทดสอบทุกอย่าง ตั้งแต่สีของปุ่ม, ตำแหน่งของรูปภาพ, ไปจนถึงเนื้อหาที่ควรผลิต ทุกการตัดสินใจมาจากข้อมูลและการทดลอง ไม่ใช่ความรู้สึก
หลักการที่ 6: สื่อสารและสร้างอิทธิพล (Storytelling and Influence)
เมื่อข้อมูลไม่พอ ต้องใช้เรื่องราว
มนุษย์เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่ามานานกว่า 100,000 ปี แต่เรียนรู้ผ่านกราฟและตารางได้แค่ไม่กี่ร้อยปี นั่นคือเหตุผลที่ Watkins บอกว่าผู้นำต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่ง
Steve Jobs เป็นปรมาจารย์เรื่องนี้ เวลาเขาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เขาไม่เริ่มด้วยสเปค แต่เริ่มด้วยเรื่องราว: “วันนี้เราจะปฏิวัติวงการโทรศัพท์” แล้วค่อยเล่าว่าทำไมโลกถึงต้องการ iPhone
ตัวอย่างจากประเทศไทย: เมื่อ CP เริ่มขาย “ไก่ดี 1 วัน” พวกเขาไม่ได้แค่บอกว่า “ไก่สดวันนี้” แต่เล่าเรื่องราวของเกษตรกร กระบวนการเลี้ยง การรักษาคุณภาพ จนลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อไก่ตัวนี้คือการสนับสนุนเกษตรกรไทย
องค์ประกอบของการเล่าเรื่องที่ดี:
- มีตัวละคร: ใครคือคนที่ได้ประโยชน์?
- มีปัญหา: ความท้าทายที่ต้องเอาชนะ
- มีการเดินทาง: กระบวนการเปลี่ยนแปลง
- มีข้อความ: สิ่งที่อยากให้คนอื่นจำได้
เทคนิคการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ:
- เริ่มด้วยปัญหา: ที่คนฟังรู้สึกร่วม
- ใช้ภาพและคำอุปมา: ให้จินตนาการได้ง่าย
- ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม: มากกว่าแนวคิดที่เป็นนามธรรม
- มีจุดสิ้นสุดที่ชัดเจน: อยากให้คนฟังทำอะไร?
การนำไปปฏิบัติ
หลังจากที่เราได้ฟังเรื่องราวของหกหลักการแล้ว คำถามสำคัญคือ: จะนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ยังไง?
เริ่มต้นเป็นขั้นเป็นตอน
Watkins แนะนำไม่ต้องพยายามทำทั้งหกข้อพร้อมกัน ให้เริ่มจากข้อที่รู้สึกว่าตัวเองต้องพัฒนาที่สุด หรือที่เกี่ยวข้องกับงานปัจจุบันมากที่สุด
สำหรับผู้จัดการระดับกลาง ที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลัก อาจเริ่มจาก “แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ” และ “คิดแบบนักวิจัย”
สำหรับผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องกำหนดทิศทางองค์กร ควรเน้น “การสังเกตรูปแบบ” และ “การสื่อสารและสร้างอิทธิพล”
สร้างนิสัยเล็กๆ แต่สม่ำเสมอ
- ใช้เวลา 15 นาทีทุกเช้า: อ่านข่าวและคิดว่าเมื่อไหร่จะส่งผลต่อธุรกิจ
- ถามทีม “ทำไม” 3 ครั้ง: ก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญ
- เก็บไดอารี่การเรียนรู้: บันทึกสิ่งที่ผิดพลาดและบทเรียน
- เล่าเรื่องแทนการนำเสนอข้อมูล: ในการประชุมสำคัญ
อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา
Watkins เตือนว่าการพัฒนาทักษะเหล่านี้เหมือนการออกกำลังกาย ทำวันสองวันไม่เห็นผล แต่ถ้าทำสม่ำเสมอสักปีสองปี จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
สรุป
เรื่องราวของการคิดเชิงกลยุทธ์ไม่ได้จบลงเพียงแค่การอ่านหนังสือ หรือการทำความเข้าใจหลักการ มันเป็นการเดินทางที่ต้องฝึกฝน พัฒนา และปรับปรุงตลอดเวลา
โลกเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน สิ่งที่ได้ผลวันนี้ อาจไม่ได้ผลพรุ่งนี้ แต่ถ้าเราฝึกหกหลักการนี้จนเป็นนิสัย เราจะสามารถปรับตัวและนำทางองค์กรไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดมาพร้อมทักษะเหล่านี้ แต่พวกเขาฝึกฝนจนกลายเป็นธรรมชาติ เหมือน Kobe Bryant ที่ฝึกซ้อมถึงตี 4 ทุกวัน หรือ Warren Buffett ที่อ่านหนังสือวันละ 500-1000 หน้า
การคิดเชิงกลยุทธ์ไม่ใช่ความสามารถพิเศษที่มีแค่คนบางกลุ่ม แต่เป็นทักษะที่ทุกคนสามารถพัฒนาได้ ถ้าเรายินดีที่จะเรียนรู้ ลองผิดลองถูก และไม่ยอมแพ้
วันนี้ที่คุณอ่านบทความนี้จบ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางใหม่ เดินทางที่จะพาคุณและองค์กรของคุณไปสู่อนาคตที่สดใสกว่าเดิม
อย่างที่ Watkins เขียนไว้: “อนาคตเป็นของคนที่เตรียมตัวไว้ ไม่ใช่คนที่รอให้มันมาถึง” วันนี้คุณจะเริ่มเตรียมตัวแล้วหรือยัง?
#hrรีพอร์ต
Leave a comment