จินตนาการภาพนี้ดูสิครับ คุณกำลังนั่งประชุมอย่างสบายๆ เป็นแค่ผู้ฟัง ดื่มกาแฟไปเรื่อยๆ แล้วทันใดนั้น เสียงของผู้จัดการก็ดังขึ้น “คุณสมชาย ช่วยอธิบายให้ทีมฟังหน่อยสิ ว่าโปรเจคนี้จะส่งผลกระทบต่อแผนกเราอย่างไร”

เฮ้ย!

หัวใจเต้นแรง ฝ่ามือเปียก ปากแห้ง หาคำพูดไม่เจอ คิดอะไรไม่ออก แล้วก็พูดออกมาแบบ “เอ่อ… ก็… คือ… ผมว่า… อาจจะ…” จนทั้งห้องมองด้วยสายตาเหม่อลอย

ถ้าคุณเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ ขอบอกเลยว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว คนส่วนใหญ่ทั่วโลกมีปัญหาเดียวกัน นั่นคือ “กลัวพูดแบบไม่ได้เตรียมตัว” แต่มีคนคนหนึ่งที่ตัดสินใจจะแก้ปัญหานี้ให้เราทุกคน เขาชื่อ Matt Abrahams อาจารย์จากมหาวิทยาลัย Stanford ที่เขียนหนังสือ “Think Faster, Talk Smarter”

คนที่โชคร้ายจนกลายเป็นโชคดี

Matt Abrahams เป็นคนโชคร้าย… เป็นต้น เพราะนามสกุลของเขาขึ้นต้นด้วย A ทำให้ตอนเรียนเขามักถูกเรียกให้ตอบคำถามหรือนำเสนอเป็นคนแรกเสมอ นึกภาพดูสิครับ ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกครั้งที่อาจารย์เรียกชื่อตามตัวอักษร เขาต้องเป็นคนแรกเสมอ

“Abrahams! พูดหน่อยสิ คิดยังไงกับเรื่องนี้”

ปกติคนอื่นยังได้เวลาคิด ได้เวลาเตรียมใจ แต่เขาต้องตอบทันที แต่บางทีสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญหา กลับกลายเป็นของขวัญที่ดีที่สุดก็ได้ เพราะการที่เขาต้องเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ ทำให้เขาเริ่มหาวิธีรับมือ

เขาสังเกตว่า คนส่วนใหญ่เก่งพูดเมื่อได้เตรียมตัว เช่น นำเสนอสไลด์ หา PowerPoint สวยๆ มา แต่พอต้องพูดแบบไม่ได้เตรียมตัว อย่างตอบคำถาม ให้ฟีดแบ็ก หรือแนะนำตัว ทุกคนกลับกลายเป็นคนละคน

จากประสบการณ์นี้ Matt จึงสร้างหลักสูตรใน Stanford ชื่อ “Think Fast, Talk Smart: Effective Speaking in Spontaneous and Stressful Situations” และต่อมาก็กลายเป็นหนังสือเล่มนี้

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

คุณรู้ไหมครับ ว่าในชีวิตประจำวันเรา การพูดแบบไม่ได้เตรียมตัวเกิดขึ้นมากกว่าการพูดที่เตรียมมาแล้ว ไม่เชื่อลองคิดดู:

  • ทักทายคนในลิฟต์
  • ตอบคำถามในที่ประชุม
  • ให้ฟีดแบ็กเพื่อนร่วมงาน
  • สัมภาษณ์งาน
  • แก้ไขเมื่อพูดผิด
  • คุยกับแม่ค้าตลาด
  • โพสต์คอมเมนต์ในกรุ๊ป
  • แนะนำตัวในงานเลี้ยง

เห็นไหมครับ จริงๆ แล้วเราพูดแบบ “ไม่ได้เตรียมตัว” กันทุกวัน แต่ทำไมเวลาต้องพูดต่อหน้าคนหลายๆ คน หรือในสถานการณ์สำคัญๆ เราถึงตื่นเต้นขนาดนี้?

Matt บอกว่า เพราะเราไม่เคยเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้อง เราแค่หวังให้โชคดี หรือฝึกพูดแบบมีสคริปต์เท่านั้น

เรื่องแปลกแต่สมเหตุสมผล

หัวใจสำคัญของหนังสือนี้มีสองประเด็นที่ฟังแล้วแปลกแต่คิดดูแล้วเข้าใจ:

ประเด็นแรก: เราต้องเตรียมตัวเพื่อจะพูดแบบไม่เตรียมตัว

ฟังดูขัดแย้งใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้วเหมือนนักดนตรีแจ๊สเลย เวลาพวกเขาเล่นเพลง improvisation (เล่นแบบไม่มีโน้ต) พวกเขาไม่ได้เล่นโน้ตแบบสุ่มๆ หรอก แต่เล่นในกรอบของทำนองและคอร์ดที่ฝึกมาแล้วเป็นพื้นฐาน

การเตรียมตัวที่ว่านี้คือ การฝึกเทคนิค เรียนรู้โครงสร้าง และเตรียมใจ ไม่ใช่การจำสคริปต์

ประเด็นที่สอง: การมีโครงสร้างทำให้เราคิดเร็วและพูดชัดขึ้น

หลายคนคิดว่าการมีโครงสร้างจะทำให้เราแข็งทื่อ แต่จริงๆ แล้วเป็นตรงข้าม เมื่อเรารู้ว่าจะเริ่มอย่างไร ดำเนินเรื่องไป และจบอย่างไร สมองเราจะว่างมากขึ้นเพื่อคิดเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร

6 ขั้นตอน

Matt แบ่งการฝึกพูดแบบไม่เตรียมตัวออกเป็น 6 ขั้นตอน เราลองมาดูทีละขั้นตอนกัน:

ขั้นตอนที่ 1: เอาชนะความกังวล (แต่ไม่ใช่ทำให้หายไป)

Matt มีสูตรเรียกว่า “ABCs” สำหรับอาการกังวล:

  • A = Affect (อารมณ์) รู้สึกกลัว เครียด กังวล
  • B = Behavioral (ร่างกาย) หัวใจเต้นแรง ฝ่ามือเปียก เสียงสั่น
  • C = Cognitive (ความคิด) หาคำพูดไม่เจอ คิดอะไรไม่ออก

เขาไม่ได้บอกให้เราทำให้ความกังวลหายไป แต่ให้เรียนรู้จัดการกับมัน เทคนิคง่ายๆ เช่น:

จับของเย็นๆ: ถือแก้วน้าแข็ง หรือของเย็นใดๆ จะช่วยคลายเครียดได้ เพราะสมองจะเปลี่ยนไปสนใจความรู้สึกเย็นแทน

พูดคำบวกๆ กับตัวเอง: แทนที่จะคิดว่า “ฉันจะพูดผิดแน่ๆ” ให้เปลี่ยนเป็น “ฉันจะทำให้ดีที่สุด”

ลิ้นพัน: พูดคำที่ลิ้นพันยากๆ เช่น “กบเก้อ เก็บเกลือ กกลอก กอก” สมองจะยุ่งกับการควบคุมลิ้น ทำให้ลืมความเครียด

ตัวอย่างจริง: สมมติคุณต้องแนะนำตัวในงานเลี้ยงบริษัท แทนที่จะคิดว่า “ทุกคนจะดูฉัน ฉันจะอายมาก” ให้เปลี่ยนเป็น “นี่เป็นโอกาสดีที่จะให้คนอื่นรู้จักฉัน”

ขั้นตอนที่ 2: เลิกเป็นคนแบบ “ต้องสมบูรณ์แบบ”

นี่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยเรา เพราะเราถูกสอนมาให้ทำอะไรให้สมบูรณ์แบบ แต่การพูดแบบไม่เตรียมตัว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบได้หรอก

Matt บอกว่า “ไม่มีวิธีที่ถูกหรือผิดในการสื่อสาร” สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนและการเตรียมตัว

เปลี่ยนมุมมอง:

  • จาก “ฉันต้องตอบให้ถูกต้อง 100%” เป็น “ฉันจะตอบตามที่รู้ให้ดีที่สุด”
  • จาก “ฉันต้องไม่พูดผิด” เป็น “ถ้าพูดผิด ฉันจะแก้ไขได้”
  • จาก “ทุกคนจะตัดสินฉัน” เป็น “ทุกคนต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์”

ตัวอย่างจริง: ในที่ประชุม เมื่อถูกถามเรื่องยอดขาย แทนที่จะตื่นตระหนกว่าจำตัวเลขไม่ได้ ให้พูดว่า “จากที่ผมจำได้ ประมาณ X เปอร์เซ็นต์ ครับ ผมจะไปเช็คเลขแน่นอนแล้วส่งให้ทุกคนทาง email นะครับ”

ขั้นตอนที่ 3: เปิดใจรับฟัง

นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดที่ Matt พบ คือ เราคิดผิดตั้งแต่จุดเริ่มต้น

เรามักคิดว่า “ฉันจะพูดอะไรดี” แทนที่จะคิดว่า “คนฟังต้องการได้ยินอะไร”

การเปลี่ยนมุมมอง:

  • จาก “ฉัน” เป็น “เขา”
  • จาก “สิ่งที่ฉันรู้” เป็น “สิ่งที่เขาต้องการรู้”
  • จาก “ฉันจะดูดี” เป็น “เขาจะได้ประโยชน์”

ตัวอย่างจริง: เมื่อเจ้านายถามว่า “โปรเจคนี้เป็นยังไง” แทนที่จะรายงานทุกอย่างที่คุณทำ ให้คิดก่อนว่าเขาต้องการรู้อะไร อาจเป็นความคืบหนา้ ปัญหา หรือผลลัพธ์ แล้วเลือกตอบในสิ่งที่เขาสนใจ

ขั้นตอนที่ 4: ฟังอย่างตั้งใจ

การฟังที่ดีเป็นกุญแจของการตอบที่ดี หลายคนไม่ฟังให้จบ เพราะรีบคิดว่าจะตอบอะไร

เทคนิคการฟัง:

  • ฟังให้จบก่อน อย่ารีบขัดจังหวะ
  • สังเกตน้ำเสียง และความรู้สึกของคนพูด
  • ถ้าไม่เข้าใจ ถามทวนได้

ตัวอย่างจริง: เมื่อลูกค้าบ่นว่า “สินค้าของพวกคุณแพงจัง” อย่ารีบแก้ตัว ให้ฟังต่อว่าเขาหมายถึงอะไร อาจเป็นเรื่องคุณภาพ คุณค่า หรือเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แล้วค่อยตอบตรงจุด

ขั้นตอนที่ 5: ใช้โครงสร้างในการพูด

นี่คือหัวใจสำคัญของเทคนิค Matt แนะนำโครงสร้างหลายแบบ แต่โครงสร้างที่เขาชอบที่สุดคือ “What-So What-Now What”

What-So What-Now What:

  • What (อะไร): นำเสนอเรื่อง ข้อมูล หรือสถานการณ์
  • So What (แล้วไง): อธิบายความสำคัญ ผลกระทบ หรือประโยชน์
  • Now What (ทำไงต่อ): ข้อเสนอแนะ แผนการ หรือขั้นตอนต่อไป

ตัวอย่างการใช้:

สถานการณ์: ถูกถามเรื่องการทำงานจากบ้าน

แบบไม่มีโครงสร้าง: “เอ่อ… ก็… ทำงานจากบ้านดีนะ ประหยัดเวลาเดินทาง แต่ก็มีปัญหาบ้าง เช่น สัญญาณอินเทอร์เน็ต บางทีก็เหงา ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงาน แต่โดยรวมแล้วก็โอเค”

แบบมีโครงสร้าง:

  • What: “การทำงานจากบ้านช่วยลดเวลาเดินทางวันละ 2 ชั่วโมง”
  • So What: “ทำให้เรามีเวลาทำงานจริงมากขึ้น และ work-life balance ดีขึ้น”
  • Now What: “ผมคิดว่าควรมีวันทำงานจากบ้าน 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ในทีม”

โครงสร้างอื่นๆ ที่ใช้ได้:

  • ปัญหา-วิธีแก้-ประโยชน์: เหมาะสำหรับการโน้มน้าว
  • อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต: เหมาะสำหรับการรายงานความคืบหน้า
  • เปรียบเทียบ-ตัดสิน-สรุป: เหมาะสำหรับการวิเคราะห์

ขั้นตอนที่ 6: พูดให้กระชับและน่าสนใจ

Matt เล่าว่า ภรรยาของเขาช่วยฝึกเขาโดยบอกว่า “ใช้คำน้อยๆ หน่อย พูดมากเกินไป เด็กๆ เลยไม่สนใจ”

กฎการพูดให้กระชับ:

  • หลัก “Less is More” พูดน้อยแต่โดนใจ
  • ตัดเรื่องไม่สำคัญออก
  • ใช้คำง่ายๆ ที่ทุกคนเข้าใจ
  • มีจุดเด่นที่ชัดเจน

เทคนิค “Grandmother Test”: ถ้าคุณต้องอธิบายเทคโนโลยีให้คุณยายฟัง คุณจะใช้คำยากๆ ได้ไหม? เทคนิคนี้ใช้ได้กับทุกเรื่อง

ตัวอย่างการลดความซับซ้อน:

แบบซับซ้อน: “เราใช้ Machine Learning Algorithm ด้วย Deep Neural Network เพื่อ Optimize Performance ของ System โดยการ Analyze Pattern จาก Big Data”

แบบง่าย: “เราสอนคอมพิวเตอร์ให้เรียนรู้จากข้อมูลเยอะๆ เพื่อหาวิธีทำงานที่ดีขึ้น เหมือนคนที่ยิ่งทำบ่อยก็ยิ่งเก่ง”

ตัวอย่างการใช้ในสถานการณ์จริง

สถานการณ์ที่ 1: ถูกถามกะทันหันในที่ประชุม

สถานการณ์: “คุณสมหญิง เรื่องงบประมาณที่เหลือ คิดว่าจะจัดสรรยังไงดี?”

ขั้นตอนคิด (3 วินาที):

  1. หายใจลึกๆ (จัดการความกังวล)
  2. คิดว่าเขาต้องการรู้อะไร (เปิดใจรับฟัง)
  3. เลือกโครงสร้าง What-So What-Now What

การตอบ: “จากที่ผมเช็คเมื่อวาน งบที่เหลืออยู่ประมาณ 200,000 บาท (What) เงินจำนวนนี้ถ้าเราใช้อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้โปรเจคสำเร็จได้ตามเป้า (So What) ผมขอเสนอให้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 70% สำหรับ Marketing และ 30% เก็บไว้เป็น Buffer กรณีฉุกเฉิน ขอเวลา 2 วันเพื่อทำ Proposal ละเอียดมาเสนอครับ (Now What)”

สถานการณ์ที่ 2: แนะนำตัวในงาน Networking

สถานการณ์: คุณต้องแนะนำตัวในงาน Networking บริษัท

การเตรียมตัว:

  • คิดโครงสร้างไว้ก่อน: ชื่อ-งาน-สิ่งที่น่าสนใจ
  • เตรียมคำถามดีๆ สำหรับคนอื่น
  • ฝึกพูดดูหน้ากระจก

ตัวอย่างการแนะนำตัว: “สวัสดีครับ ผม นายสมชาย จากแผนกการตลาด (ชื่อ-งาน) ตอนนี้กำลังทำโปรเจคเกี่ยวกับการใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ค่อนข้างน่าสนใจครับ (สิ่งที่น่าสนใจ) แล้วคุณล่ะครับ ทำงานด้านไหน?” (ถามคำถาม)

สถานการณ์ที่ 3: ให้ฟีดแบ็กแก่เพื่อนร่วมงาน

สถานการณ์: เจ้านายให้คุณแสดงความคิดเห็นเรื่องงานของเพื่อนร่วมงาน

โครงสร้าง: บวก-ปรับปรุง-สนับสนุน

ตัวอย่าง: “Presentation ของคุณนิดามีเนื้อหาที่ดีมาก โดยเฉพาะข้อมูลในส่วนการวิเคราะห์ตลาด (บวก) ถ้าเพิ่มกราฟให้มากขึ้นอีกนิด จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น (ปรับปรุง) ผมยินดีช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ ถ้าต้องการ (สนับสนุน)”

ข้อควรระวัง

ความผิดพลาดยอดฮิต:

  1. พูดมากเกินไป – เมื่อเครียด เรามักพูดไม่หยุด คิดว่าพูดมากจะดูฉลาด
  2. ไม่ยอมรับที่ไม่รู้ – พยายามตอบทุกคำถาม แม้ที่ไม่รู้
  3. เน้นตัวเองมากเกินไป – ลืมมองความต้องการของผู้ฟัง
  4. ใช้คำยากเกินไป – คิดว่าคำยากจะดูเก่ง แต่ทำให้คนฟังไม่เข้าใจ
  5. ไม่มีโครงสร้าง – พูดไปเรื่อยๆ ไม่มีต้นปลาย

วิธีแก้:

  1. ฝึกพูด 30 วินาที – ตั้งเวลาไว้ ฝึกอธิบายเรื่องต่างๆ ใน 30 วินาที
  2. ยอมรับที่ไม่รู้ – พูดว่า “ผมไม่แน่ใจ ขอไปหาข้อมูลมาให้นะครับ”
  3. ถามคำถาม – แทนที่จะพูดเรื่อยๆ ให้ถามว่า “มีคำถามอะไรไหมครับ?”
  4. ใช้คำง่ายๆ – เลือกคำที่เด็กอายุ 12 ขวบเข้าใจได้
  5. ฝึกโครงสร้าง – ฝึกใช้ What-So What-Now What ในการสนทนาธรรมดา

การฝึกฝนในชีวิตประจำวัน

แบบฝึกหัดง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวัน:

1. เล่นเกม “อธิบาย 30 วินาที” เลือกของใดของหนึ่งในบ้าน อธิบายให้คนอื่นฟังใน 30 วินาที ว่ามันคืออะไร ทำไมสำคัญ และใช้ยังไง

2. ฝึกตอบคำถามสุ่ม ให้เพื่อนหรือครอบครัวถามคำถามแปลกๆ แล้วตอบด้วยโครงสร้าง What-So What-Now What

3. สรุปข่าวให้คนอื่นฟัง อ่านข่าวแล้วสรุปให้เพื่อนหรือครอบครัวฟังใน 1 นาที โดยใช้โครงสร้างที่ชัดเจน

4. ฝึกแนะนำตัวหลายแบบ เตรียมการแนะนำตัวแบบ 30 วินาที, 1 นาที, และ 3 นาที สำหรับโอกาสต่างๆ

5. เล่นเกม “ทำไม?” เมื่อมีคนพูดอะไร ให้ถามว่า “ทำไม?” หรือ “แล้วไง?” เพื่อฝึกการฟังและการถามคำถามที่ลึกขึ้น

เคล็ดลับสำหรับสถานการณ์เฉพาะ

การสัมภาษณ์งาน

สัมภาษณ์งานเป็นสถานการณ์ที่เราคิดว่าเตรียมตัวได้ แต่จริงๆ แล้วมีคำถามแปลกๆ เยอะมาก

คำถามยอดฮิตและวิธีตอบ:

“เล่าเรื่องตัวเองหน่อย”

  • โครงสร้าง: อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
  • ตัวอย่าง: “ผมจบการศึกษาด้าน… มีประสบการณ์ทำงานเรื่อง… ตอนนี้กำลังมองหาโอกาสที่จะได้… เพราะผมเชื่อว่าตำแหน่งนี้จะเหมาะกับทักษะและความสนใจของผม”

“จุดอ่อนของคุณคืออะไร?”

  • โครงสร้าง: ยอมรับ-แก้ไข-พัฒนา
  • ตัวอย่าง: “ผมเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดมาก บางทีจึงใช้เวลานานไปหน่อย แต่ตอนนี้ผมฝึกการจัดลำดับความสำคัญ และใช้เครื่องมือช่วยเพื่อให้ทำงานเสร็จทันเวลา ผลลัพธ์ก็ดีขึ้นมาก”

การนำเสนองาน

แม้จะเตรียม PowerPoint มาดีๆ แต่ช่วง Q&A มักเป็นจุดที่หลายคนตกใจ

เทคนิค PRP (Point-Reason-Point):

  • Point: ตอบคำถามตรงๆ
  • Reason: ให้เหตุผลหรือข้อมูลสนับสนุน
  • Point: ย้ำจุดสำคัญอีกครั้ง

ตัวอย่าง: คำถาม: “ทำไมราคาถึงแพงกว่าคู่แข่ง?”

ตอบ: “เพราะเราใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงกว่า (Point) ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ทนทานกว่า และลูกค้าประหยัดค่าซ่อมแซมในระยะยาว (Reason) ดังนั้นราคาที่สูงกว่าจึงคุ้มค่ากับคุณภาพที่ลูกค้าจะได้รับ (Point)”

การคุยกับลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ

เมื่อลูกค้าไม่พอใจ:

  1. ฟังให้จบ – อย่าขัดจังหวะ แม้จะรู้สึกอยากแก้ตัว
  2. ยอมรับความรู้สึก – “เข้าใจเลยครับว่าคุณรู้สึกไม่ดี”
  3. หาข้อมูล – “ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
  4. เสนอทางแก้ – “ผมจะจัดการให้นะครับ โดยการ…”
  5. ติดตาม – “ผมจะโทรมาอัปเดตให้ในวันพรุ่งนี้”

การพูดในงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์

Small Talk ที่ไม่ใช่แค่ “อากาศร้อนนะ”:

สูตร FORD:

  • Family (ครอบครัว)
  • Occupation (งาน)
  • Recreation (งานอดิเรก)
  • Dreams (ความฝัน)

ตัวอย่างการเริ่มสนทนา:

  • “งานนี้สนุกดีนะครับ คุณมาคนเดียวหรือมากับเพื่อนครับ?” (เริ่มจากสถานการณ์ปัจจุบัน)
  • “เห็นคุณสั่งเมนูนี้ อร่อยไหมครับ ผมกำลังลังเลอยู่เลย” (เริ่มจากสิ่งที่เห็น)
  • “คุณทำงานด้านไหนครับ ดูสนุกดี” (ถามเรื่องงาน)

การรับมือกับสถานการณ์วิกฤต

เมื่อพูดผิด

ทุกคนพูดผิดได้ สิ่งสำคัญคือการแก้ไขอย่างมีศักดิ์ศรี

สูตร ACE:

  • Acknowledge (ยอมรับ)
  • Correct (แก้ไข)
  • Explain (อธิบาย ถ้าจำเป็น)

ตัวอย่าง: “ขอโทษครับ เมื่อกี้ผมพูดผิด (Acknowledge) ตัวเลขที่ถูกคือ 50% ไม่ใช่ 15% (Correct) เพราะผมดูจากกราฟผิดหน้า (Explain – ถ้าจำเป็น)”

เมื่อไม่รู้คำตอบ

สิ่งที่ไม่ควรทำ:

  • แกล้งทำเป็นรู้
  • เดาๆ ตอบไป
  • เปลี่ยนเรื่อง

สิ่งที่ควรทำ:

  • ยอมรับที่ไม่รู้
  • เสนอหาข้อมูลมาให้
  • ถามคนอื่นที่อาจรู้

ตัวอย่าง: “เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจครับ ขอไปหาข้อมูลแน่นอนมาให้ได้ไหม หรือมีใครในห้องนี้ที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าผมไหมครับ?”

เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือโจมตี

โครงสร้าง CALM:

  • Cool (เก็บความเย็น)
  • Acknowledge (รับฟังความคิดเห็น)
  • Learn (หาสิ่งที่เรียนรู้ได้)
  • Move forward (ก้าวต่อไป)

ตัวอย่าง: เมื่อมีคนบอกว่า “แผนนี้ไม่น่าจะได้ผลหรอก”

ตอบ: “ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ (Cool + Acknowledge) ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับว่าส่วนไหนที่คุณคิดว่าอาจมีปัญหา (Learn) เพื่อเราจะได้ปรับปรุงแผนให้ดีขึ้น (Move forward)”

เทคโนโลยีและเครื่องมือช่วย

แอปฝึกพูด

  • Voice Recorder: บันทึกเสียงตัวเองพูด แล้วฟังดูว่าพูดเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือมีคำอุดมากไหม
  • Timer Apps: ฝึกพูดในเวลาที่กำหนด เช่น 30 วินาที 1 นาที
  • Presentation Apps: เตรียมโครงสร้างง่ายๆ ในมือถือสำหรับยามฉุกเฉิน

เครื่องมือจัดระเบียบความคิด

Mind Mapping: เมื่อต้องตอบคำถามซับซ้อน ให้คิดเป็น Mind Map ในหัว

  • กลาง: หัวข้อหลัก
  • กิ่งใหญ่: ประเด็นสำคัญ 3-4 ข้อ
  • กิ่งเล็ก: รายละเอียดย่อย

Note-taking: เขียนคำสำคัญ 3-5 คำขณะฟังคำถาม จะช่วยให้จำและตอบได้ตรงจุด

การประยุกต์ใช้ในโลกดิจิทัล

การประชุมออนไลน์

ความท้าทายใหม่ของยุคโควิด แต่หลักการเดิมยังใช้ได้

เทคนิคเพิ่มเติม:

  • เตรียม Note ไว้ข้างๆ: ในออนไลน์ไม่มีใครเห็นว่าเราดูโน้ต
  • ปิดไมค์เมื่อไม่พูด: จะได้ไม่มีเสียงรบกวน และได้เวลาคิดก่อนเปิดไมค์
  • ใช้ Chat เป็นผู้ช่วย: ถ้าพูดผิดหรือต้องการแก้ไข สามารถแชทเสริมได้

การตอบข้อความใน Social Media หรือ Work Chat

แม้เป็นข้อความ แต่ก็ต้องใช้หลักการเดียวกัน

กฎ 3C:

  • Clear (ชัดเจน): ข้อความต้องเข้าใจง่าย
  • Concise (กระชับ): ไม่ยาวเกินไป
  • Courteous (สุภาพ): ใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม

ตัวอย่าง:

แบบไม่ดี: “อ่า เออ ประมาณนั้นแหละ ไม่รู้เหมือนกัน 555 ลองดูก่อนมั้ย แล้วค่อยว่ากัน”

แบบดี: “จากที่ดูแล้ว แนวทางนี้น่าสนใจครับ ขอเวลาศึกษารายละเอียดแล้วมาคุยกันใหม่ในพรุ่งนี้ได้ไหมครับ”

เรื่องราวสำเร็จของคนจริง

Case Study 1: น้องมินท์ พนักงานใหม่

น้องมินท์เพิ่งเริ่มงานได้ 3 เดือน วันหนึ่งในประชุมใหญ่ MD ถามกะทันหันว่า “คุณมินท์ ช่วยแชร์ประสบการณ์การทำงานในช่วงนี้หน่อย”

เดิม: “เอ่อ… ก็… ดีครับ… เรียนรู้ได้เยอะ… เพื่อนร่วมงานก็ดี… ก็… ชอบมากครับ”

หลังฝึก (ใช้โครงสร้าง What-So What-Now What): “3 เดือนที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ระบบงานและทำความรู้จักทีม (What) ทำให้ผมมั่นใจขึ้นและเริ่มมีส่วนร่วมในโปรเจคต่างๆ (So What) เป้าหมายต่อไปคือการพัฒนาทักษะให้เชี่ยวชาญมากขึ้น และช่วยทีมให้บรรลุเป้าหมายไตรมาสนี้ครับ (Now What)”

Case Study 2: คุณจิราพร Account Manager

คุณจิราพรต้องไปงาน Client Visit ที่ไม่ได้เตรียมตัว เพราะคนเดิมป่วยกะทันหัน Client ถามเรื่องแคมเปญใหม่ที่เธอไม่รู้รายละเอียด

เดิม: ตื่นตระหนกจนตอบไม่ได้ ทำให้ Client ไม่มั่นใจ

หลังฝึก (ใช้เทคนิคการยอมรับที่ไม่รู้): “ขอโทษค่ะ เรื่องแคมเปญนี้ทีมครีเอทีฟเป็นคนดูแลโดยตรง ฉันจะประสานให้คุณ [ชื่อ] โทรมาอธิบายรายละเอียดภายในวันนี้เลยนะคะ ส่วนเรื่องไทม์ไลน์และงบประมาณที่คุณสนใจ ฉันสามารถตอบได้เลยค่ะ”

ผลลัพธ์: Client ประทับใจความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ

Case Study 3: พี่อนุชา Team Leader

พี่อนุชาต้องเสนอไอเดียในที่ประชุมบอร์ดแบบกะทันหัน เพราะเจ้านายถูกเรียกไปด่วน

เดิม: เตรียมนำเสนอแบบจำ script ทำให้เมื่อต้องพูดแบบไม่มี slide จึงสับสน

หลังฝึก (ใช้โครงสร้าง Problem-Solution-Benefit): “ปัญหาที่เราเจอตอนนี้คือการ retain ลูกค้าลดลง 15% (Problem) ผมเสนอให้สร้างโปรแกรม loyalty ที่ให้ลูกค้าสะสมแต้มแลกของรางวัล (Solution) ซึ่งจะช่วยเพิ่มการกลับมาซื้อซ้ำและยกระดับยอดขายรวม (Benefit)”

ผลลัพธ์: บอร์ดอนุมัติงบประมาณทันที

ข้อผิดพลาดที่คนไทยมักทำ (และวิธีแก้)

1. “ครับ” “ค่ะ” มากเกินไป

ปัญหา: “ผมคิดว่าครับ โปรเจคนี้ครับ จะช่วยให้ครับ บริษัทเราครับ…”

แก้: ใช้ “ครับ” ที่จุดสิ้นสุดประโยคหรือเมื่อจำเป็นเท่านั้น

2. เริ่มด้วย “เออ” “อ่า” “ก็”

ปัญหา: “เออ… ก็… เรื่องนี้… อ่า… ผมว่า…”

แก้: หยุดใจ 2 วินาที ก่อนเริ่มพูด หรือเริ่มด้วย “ขอคิดสักครู่นะครับ”

3. ขอโทษมากเกินไป

ปัญหา: “ขอโทษครับ ผมคิดว่า… ขอโทษนะครับ อาจจะผิด… ขอโทษครับถ้า…”

แก้: ขอโทษเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ความมั่นใจไม่ต้องขอโทษ

4. พูดเสียงเบาจนไม่ได้ยิน

ปัญหา: เป็นนิสัยของคนไทยที่ถ่อมตัว

แก้: ฝึกพูดให้คนที่นั่งไกลที่สุดได้ยิน

5. หลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็น

ปัญหา: กลัวผิด กลัวโดนตำหนิ

แก้: เริ่มด้วย “จากมุมมองของผม…” หรือ “ผมมองว่า…”

แผนฝึกฝน 30 วัน

สัปดาห์ที่ 1: พื้นฐาน

  • วันที่ 1-2: ฝึกหายใจลึกๆ และจัดการความเครียด
  • วันที่ 3-4: ฝึกโครงสร้าง What-So What-Now What
  • วันที่ 5-7: ฝึกฟังและถามคำถาม

สัปดาห์ที่ 2: โครงสร้าง

  • วันที่ 8-10: ฝึกโครงสร้างอื่นๆ (Problem-Solution-Benefit, Past-Present-Future)
  • วันที่ 11-14: ฝึกสรุปข่าวให้คนอื่นฟัง

สัปดาห์ที่ 3: สถานการณ์จริง

  • วันที่ 15-17: ฝึกแนะนำตัวหลายรูปแบบ
  • วันที่ 18-21: ฝึกตอบคำถามยาก

สัปดาห์ที่ 4: การประยุกต์

  • วันที่ 22-24: ฝึกการให้ฟีดแบ็ก
  • วันที่ 25-28: ฝึกการแก้ไขเมื่อผิดพลาด
  • วันที่ 29-30: ทบทวนและประเมินผล

สรุป

หลังจากที่เราได้ติดตาม Matt Abrahams และหนังสือ “Think Faster, Talk Smarter” มาตลอดเรื่อง คุณจะพบว่าการพูดเก่งเมื่อไม่ได้เตรียมตัวไม่ใช่เรื่องยาก หากเรา:

  1. เตรียมใจมากกว่าเตรียมคำ – ยอมรับว่าความกังวลเป็นเรื่องปกติ แต่เรียนรู้จัดการกับมัน
  2. เข้าใจผู้ฟังมากกว่าเข้าใจตัวเอง – คิดว่าเขาต้องการอะไร มากกว่าเราอยากจะพูดอะไร
  3. ใช้โครงสร้างเป็นเพื่อน – มีกรอบคิดช่วยให้พูดเป็นระบบ
  4. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ – เทพก็มาจากการฝึก ไม่ใช่พรสวรรค์

สิ่งสำคัญที่สุดที่ Matt อยากให้เราจำไว้คือ “ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ทุกคนสามารถดีขึ้นได้”

ถึงตอนนี้ ครั้งต่อไปที่คุณต้องเจอสถานการณ์พูดแบบไม่ได้เตรียมตัว แทนที่จะคิดว่า “ตายแล้ว จะพูดอะไรดี” ให้เปลี่ยนเป็น “โอเค มาดูกันว่าเขาต้องการอะไร แล้วเราจะใช้โครงสร้างไหนดี”

และอย่าลืมว่า ทุกคนที่ดูเก่งในวันนี้ ก็เคยเป็นมือใหม่มาก่อน การเริ่มต้นใหม่ไม่เคยสายเกินไป เพียงแค่เริ่มจากวันนี้ ฝึกทีละนิด และเชื่อว่าคุณทำได้

จุดจบแห่งการเริ่มต้น: หนังสือ “Think Faster, Talk Smarter” ไม่ได้สอนเราให้เป็นนักพูดระดับโลก แต่สอนให้เราเป็นตัวเราที่พูดได้ดีที่สุด และนั่นคือสิ่งที่เพียงพอแล้ว

อีกไม่นาน เสียงใส “คุณ[ใส่ชื่อ]ช่วยอธิบายหน่อยสิ” จะไม่ใช่ฝันร้ายอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นโอกาสในการแสดงให้คนอื่นเห็นว่า คุณคือคนที่พูดได้ คิดได้ และทำให้คนอื่นเข้าใจได้

นั่นคือพลังของการ “Think Faster, Talk Smarter” ครับ

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment