จากเด็กดื้อในฮ่องกงสู่ซูเปอร์สตาร์โลกที่มีชีวิตสั้นแต่เปลี่ยนโลกไปตลกกาล

หากคุณเอ่ยชื่อ “บรูซ ลี” ใครๆ ก็รู้จัก แม้คนที่ไม่เคยดูหนังกังฟูเลยก็ยังรู้จักเสียงแปลกๆ “วาต้า!” ของเขา แต่เบื้องหลังความดังนี้ มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่าที่เราคิด หนังสือ “Bruce Lee: A Life” โดย Matthew Polly ได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตจริงของตำนานคนนี้ แบบไม่ปิดบังอะไรเลย

จุดเริ่มต้น: เด็กดื้อที่ไม่มีใครควบคุมได้

เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1940 เมื่อบรูซ ลี (ชื่อจริง หลี จุน ฟาน) เกิดในซานฟรานซิสโก ขณะที่พ่อแม่กำลังเดินทางไปแสดงละครในอเมริกา แต่เขาเติบโตในฮ่องกงท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามโลกครั้งที่สอง

บรูซเป็นเด็กที่ “ยากเหลือเกิน” ตามคำพูดของแม่ เขาชอบก่อเรื่อง ชกต่อยกับเด็กอื่น และไม่ยอมใครง่ายๆ ครอบครัวต้องย้ายบ้านหลายครั้งเพราะเขาไปก่อเรื่องกับเพื่อนบ้าน ครูที่โรงเรียนก็บ่นเรื่องพฤติกรรมของเขาตลอดเวลา

ตัวอย่างความดื้อของเขาตอนเด็ก: วันหนึ่งเขาไปขโมยลูกอม จนเจ้าของร้านโกรธมาก พอพ่อมารู้ก็ให้เขาไปขอโทษ แต่บรูซกลับไปบอกเจ้าของร้านว่า “ผมขอโทษที่โดนจับได้ ไม่ใช่ขอโทษที่ขโมย”

วัยรุ่นกับโลกแห่งการต่อสู้

เมื่อโตเป็นวัยรุ่น บรูซเข้าไปยุ่งกับแก๊งเด็กในฮ่องกง เขาต้องเรียนศิลปะการต่อสู้เพื่อป้องกันตัวเอง โดยเริ่มจากกังฟูวิงชุน กับอาจารย์ยิปมัน (คนที่แสดงโดยโดนนี่ เยนในภาพยนตร์ยุคหลัง)

แต่บรูซไม่ใช่เด็กดีที่มาฝึกแบบเงียบเสียง เขาชอบท้าทายอาจารย์ ถามคำถามแปลกๆ และบางครั้งก็โต้แย้งเทคนิค เพื่อนนักเรียนหลายคนรำคาญ เพราะเขาพูดมากและทำตัวเป็น “รู้ดี” ตลอดเวลา

วันหนึ่งในปี 1958 บรูซไปต่อสู้กับเด็กอังกฤษในโรงเรียน เหตุเพราะเด็กคนนั้นมาล่วงล้ำแฟนสาวของเขา การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้พ่อแม่ของบรูซตระหนักว่า หากปล่อยให้เขาอยู่ในฮ่องกงต่อไป อาจจะเกิดปัญหาใหญ่

การเดินทางสู่ฝันอเมริกัน

ในปี 1959 พ่อแม่ตัดสินใจส่งบรูซไปอเมริกา โดยให้เงินเขาแค่ 100 เหรียญและที่อยู่ของเพื่อนครอบครัวในซีแอตเทิล บรูซวัย 18 ปี ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ในแดนต่างถิ่น ด้วยภาษาอังกฤษที่ยังไม่คล่องและไม่มีเงิน

เขาทำงานล้างจานในร้านอาหาร ทำความสะอาด และค่อยๆ หาทางเรียนหนังสือ ความฝันของเขาคือจะเป็นดาราฮอลลีวูด แต่เส้นทางนั้นไกลเกินกว่าจะจินตนาการได้

เพื่อหาเงิน บรูซเริ่มสอนกังฟูให้กับคนอเมริกัน เขาเปิดคลาสเล็กๆ และค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในการสอน เขาไม่เพียงแต่สอนท่าต่อสู้ แต่ยังสอนปรัชญาและแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิตด้วย

ปฏิวัติแนวคิดการต่อสู้

สิ่งที่ทำให้บรูซแตกต่างจากอาจารย์กังฟูคนอื่น คือเขาไม่ยึดติดกับแบบฉบับดั้งเดิม เขาเชื่อว่า “การต่อสู้คือการต่อสู้ ไม่ใช่การเต้นรำแบบสวยงาม”

ตัวอย่างที่ชัดเจน: ในปี 1964 บรูซท้าดวลกับอาจารย์กังหู วง แจ็คแมน ที่ซานฟรานซิสโก การต่อสู้ครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะแม้บรูซจะชนะ แต่เขารู้สึกว่าการต่อสู้ใช้เวลานานเกินไป หากเป็นสถานการณ์จริงเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ

จากเหตุการณ์นี้ เขาเริ่มพัฒนาระบบการต่อสู้ใหม่ที่เรียกว่า “เจ็ทคุณโด” โดยหยิบเอาสิ่งดีๆ จากทุกสำนักมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นมวย เทควันโด ยูโด หรือแม้กระทั่งการฟันดาบ

“ฉันไม่สอนสไตล์ตะวันออกหรือตะวันตก ฉันสอนการต่อสู้” เป็นประโยคที่เขาพูดบ่อยๆ

ก้าวแรกสู่วงการบันเทิง

โชคชะตาเปลี่ยนเมื่อ William Dozier โปรดิวเซอร์ฮอลลีวูด มาเห็นบรูซสาธิตกังฟูในงานแสดงที่ลองบีช เขาประทับใจฝีมือและเสน่ห์ของบรูซ จึงเสนอให้มาเล่นในซีรีส์ “The Green Hornet”

แต่บทบาทนี้ไม่ใช่บทนำอย่างที่บรูซหวัง เขาเล่นเป็น “คาโตะ” คนขับรถและผู้ช่วยของพระเอกที่เป็นคนผิวขาว แม้จะได้โชว์ฝีมือการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้มีบทพูดมากนัก

การแสดงในซีรีส์ทำให้บรูซมีชื่อเสียง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง เพราะฮอลลีวูดยังไม่พร้อมให้คนเอเชียเป็นพระเอก เขาได้แต่เล่นเป็นผู้ช่วย คนรับใช้ หรือคนร้าย

ความผิดหวังกับฮอลลีวูด

เหตุการณ์ที่ทำให้บรูซโกรธและผิดหวังมากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อเขาเสนอไอเดียซีรีส์เรื่อง “นักสู้จากตะวันออก” แต่ผู้ผลิตกลับเอาไอเดียนั้นไปทำเป็นซีรีส์ “Kung Fu” โดยให้นักแสดงผิวขาวอย่าง David Carradine มาเล่นแทน

บรูซเล่าให้เพื่อนฟังด้วยความขื่นขื้นว่า “พวกเขาคิดว่าคนอเมริกันจะไม่ยอมรับนักแสดงจีนเป็นพระเอก แม้ในเรื่องเกี่ยวกับกังฟู”

ช่วงนี้บรูซเริ่มซึมเศร้าและหงุดหงิด เขารู้สึกว่าความฝันในการเป็นดาราฮอลลีวูดอาจจะไม่เป็นจริง เขาจึงตัดสินใจกลับไปหาโอกาสในเอเชีย

การกลับบ้านและการเป็นซูเปอร์สตาร์

ในปี 1971 บรูซกลับไปฮ่องกงเพื่อเยี่ยมแม่ ระหว่างนั้นเขาได้รับข้อเสนอจากบริษัท Golden Harvest ให้มาแสดงหนังกังฟู เขาลังเลตอนแรก เพราะกลัวว่าจะเป็นการถอยหลัง

แต่หนังเรื่องแรก “The Big Boss” (1971) กลับประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ หนังทำเงินสูงสุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกงในขณะนั้น บรูซกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ชั่วข้ามคืน

สิ่งที่ทำให้บรูซแตกต่างจากดาราหนังกังฟูคนอื่น คือความจริงใจในการต่อสู้ เขาไม่ได้แค่โบกไม้โบกมือแบบใสๆ แต่เขาต่อสู้จริงๆ ด้วยความเร็วและพลังที่น่าทึ่ง

ขุ่นเคืองกับวงการกังฟูดั้งเดิม

ความสำเร็จของบรูซทำให้เขามีศัตรูมากขึ้น โดยเฉพาะสำนักกังฟูแบบดั้งเดิมที่คิดว่าเขา “ทำลายความศักดิ์สิทธิ์” ของศิลปะการต่อสู้จีน

อาจารย์หลายคนไม่พอใจที่เขาไปสอนกังฟูให้คนต่างชาติ และยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเขาวิจารณ์ว่าการต่อสู้แบบดั้งเดิม “ล้าสมัยแล้ว”

มีเหตุการณ์หนึ่งที่ความตึงเครียดถึงจุดสูงสุด เมื่อบรูซไปถ่ายหนัง “Fist of Fury” ซึ่งมีฉากที่เขาพูดว่า “คนจีนไม่ใช่ชาติที่อ่อนแอ” และทำลายป้ายที่เขียนว่า “ห้ามสุนัขและคนจีนเข้า”

แม้ฉากนี้จะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม แต่ก็ทำให้บางกลุ่มคิดว่าเขาเป็น “คนจีนหัวรุนแรง”

ปัญหาส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผย

หนังสือของ Matthew Polly เปิดเผยด้านมืดของบรูซที่คนทั่วไปไม่เคยรู้ เขามีปัญหาเรื่องยาเสพติด โดยเฉพาะยาแก้ปวดและยากล่อมประสาท

ปัญหานี้เริ่มจากการบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย บรูซใช้ยาแก้ปวดหลังมากเกินไป จนเริ่มเสพติดโดยไม่รู้ตัว เขาต้องกินยาหลายชนิดเพื่อให้หลับได้ และกินยาอีกหลายชนิดเพื่อให้ตื่นตัวขณะทำงาน

นอกจากนี้ เขายังมีเรื่องชู้สาว แม้จะแต่งงานกับ Linda กับมีลูกด้วยกันแล้ว เขาก็ยังมีความสัมพันธ์กับนักแสดงหญิงหลายคน รวมถึงนักแสดงไต้หวัน Betty Ting Pei ซึ่งเป็นคนที่เขาไปอยู่ด้วยในคืนที่เสียชีวิต

จุดสูงสุดและการจากไปอย่างกะทันหัน

หลังจากประสบความสำเร็จในเอเชีย บรูซได้โอกาสกลับไปทำหนังฮอลลีวูดอีกครั้งกับ “Enter the Dragon” ภาพยนตร์ที่จะทำให้เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก

เขาตื่นเต้นมาก เพราะนี่คือโอกาสที่จะพิสูจน์ให้ฮอลลีวูดเห็นว่าคนเอเชียก็เป็นพระเอกได้ และจะเปิดทางให้นักแสดงเอเชียคนอื่นๆ ด้วย

แต่วันที่ 20 กรกฎาคม 1973 เขาไป อยู่ที่บ้าน Betty Ting Pei เพื่อหารือเรื่องหนังเรื่องใหม่ ระหว่างนั้นเขาบอกว่าปวดหัว Betty จึงให้ยาแก้ปวดหัว เขานอนพักแล้วไม่ตื่นอีก

การตายของบรูซเป็นปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แพทย์สรุปว่าเขาตายจาก “อาการแพ้ยาแก้ปวดหัว” แต่หลายคนสงสัยว่ามีสาเหตุอื่น เพราะคนหนุ่มวัย 32 ปี ที่แข็งแรงมาก จะตายแค่เพราะยาแก้ปวดหัวเม็ดเดียวได้ยังไง

มรดกที่เปลี่ยนโลก

แม้บรูซจะมีชีวิตสั้น แต่เขาเปลี่ยนโลกไปตลกกาล ก่อนหน้านั้นนักแสดงเอเชียในฮอลลีวูดมักจะเล่นบทคนรับใช้ คนร้าย หรือตัวตลก บรูซเป็นคนแรกที่ทำให้คนเอเชียดูแกร่งกล้า เท่ และเป็นฮีโร่

เขายังปฏิวัติแนวคิดเรื่องศิลปะการต่อสู้ จากเดิมที่แต่ละสำนักจะ “ป้องกันความลับ” เขากลับเชื่อว่าควรเอาสิ่งดีๆ มาแลกเปลี่ยนกัน การต่อสู้แบบ MMA ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ได้แนวคิดมาจากเขา

ในด้านปรัชญา บรูซสอนให้คนเรา “เป็นตัวของตัวเอง” เขาเขียนไว้ว่า “เป็นเหมือนน้ำเถอะ เมื่อใส่แก้วก็เป็นรูปแก้ว เมื่อใส่ขวดก็เป็นรูปขวด น้ำไม่มีรูปร่างแน่นอน แต่กลับปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์”

บทเรียนจากชีวิตบรูซ ลี

เรื่องราวของบรูซสอนเราหลายเรื่อง:

เรื่องที่หนึ่ง: ความมุ่งมั่น แม้จะเจอปัญหามากมาย ถูกปฏิเสธบ่อยครั้ง บรูซก็ไม่เคยยอมแพ้ เขาหาทางใหม่เสมอเมื่อทางเก่าไม่ได้ผล

เรื่องที่สอง: การเปิดใจ เขาไม่ยึดติดกับแบบฉบับเก่า แต่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา จากการต่อสู้ไปจนถึงการใช้ชีวิต

เรื่องที่สาม: ความเป็นผู้นำ เขาไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จส่วนตัว แต่ยังเปิดทางให้คนอื่นๆ ตามมา

เรื่องที่สี่: ข้อจำกัดของชีวิต ชีวิตสั้น แต่สามารถสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้ หากเรารู้จักใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่า

แต่ชีวิตของเขาก็เตือนเราด้วยว่า ความสำเร็จไม่ได้รับประกันความสุข การมีชื่อเสียงและเงินทองไม่ได้ทำให้ปัญหาส่วนตัวหายไป และบางครั้งการไล่ตามความฝันอาจทำให้เราเสียสิ่งสำคัญอื่นๆ ไป

สรุป

“Bruce Lee: A Life” ไม่ใช่หนังสือที่มาเท่านั้น แต่เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องจริงของมนุษย์คนหนึ่งที่มีจุดแข็งและจุดอ่อน มีความสำเร็จและความล้มเหลว มีความสุขและความทุกข์

บรูซ ลีไม่ใช่ฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบอย่างในหนัง แต่เขาเป็นคนธรรมดาที่มีความฝันใหญ่ และพยายามทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงด้วยความมุ่งมั่น แม้จะต้องเจอกับปัญหามากมาย

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาอาจไม่ใช่การที่เขาต่อสู้ได้เก่ง แต่เป็นการที่เขาใช้ชีวิตสั้นๆ ของตัวเองเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น และเปิดทางให้คนอื่นๆ ได้ไล่ตามความฝันของตัวเองด้วย

วันนี้ เมื่อเราเห็นนักแสดงเอเชียเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในหนังฮอลลีวูด หรือเห็นศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานในกีฬา MMA เราก็ควรจำเอาไว้ว่า ทุกสิ่งเหล่านี้เริ่มต้นจากชายคนหนึ่งที่เคยเป็นเด็กดื้อในฮ่องกง และมีความฝันจะเป็นดาราฮอลลีวูด

“ความตายไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่ที่สุด สิ่งที่ใหญ่ที่สุดคือการที่เราไม่เคยมีชีวิตจริงๆ” นี่คือประโยคที่บรูซ ลีเคยพูด และนี่ก็คือสิ่งที่เขาทำได้จริงๆ ในชีวิตสั้นๆ ของเขา – เขา “มีชีวิต” อย่างเต็มที่ และทำให้ชีวิตนั้นมีความหมาย

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment