เด็กชายที่เห็นแสงแฟลช
ในคืนหนึ่งของปี 1856 ที่หมู่บ้านสมิลยานในเซอร์เบีย ฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว และในคืนนั้นเองเด็กทารกคนหนึ่งได้เกิดขึ้นมา นางผดุงครรภ์เล่าขำๆ ว่า “เด็กคนนี้จะเป็นลูกแห่งความมืด” แต่มารดาของเด็กกลับตอบว่า “ไม่ ลูกของฉันจะเป็นลูกแห่งแสงสว่าง”
คำทำนายของมารดาผู้นั้นกลายเป็นจริง เด็กชายคนนี้คือ นิโคลา เทสลา ผู้ที่จะมาเปลี่ยนโลกด้วยแสงสว่างแห่งไฟฟ้า
ตั้งแต่เด็ก เทสลาก็แปลกไปจากเด็คนอื่นๆ เขาเล่าว่าเขาเห็น “แสงแฟลช” อยู่เสมอ และในหัวของเขามีภาพเครื่องจักรต่างๆ ผุดขึ้นมา เขาสามารถสร้างเครื่องจักรในจิตใจ ทดสอบมัน ปรับปรุงมัน และเมื่อเขาคิดว่าสมบูรณ์แล้วจึงค่อยสร้างของจริงขึ้นมา
วิธีคิดแบบนี้ทำให้เทสลาประหยัดเวลาและเงินได้มาก เขาไม่ต้องทำการทดลองผิดพลาดหลายครั้งแบบนักประดิษฐ์คนอื่น แต่สร้างขึ้นมาครั้งเดียวก็สำเร็จเลย
การเดินทางสู่อเมริกา
เมื่อโตขึ้น เทสลาไปทำงานในปารีสกับบริษัทของเอดิสัน แต่เขารู้สึกว่าความคิดของเขาล้ำหน้าเกินไป จึงตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาในปี 1884 ด้วยเงินเพียง 4 เซนต์ในกระเป๋า และจดหมายแนะนำตัวที่เขียนว่า “ผมรู้จักคนสองคนที่ยิ่งใหญ่ คนหนึ่งคือคุณ อีกคนคือชายคนนี้”
เมื่อไปถึงนิวยอร์ก เทสลาไปทำงานให้กับ โธมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า ตอนแรกเอดิสันก็ประทับใจในความสามารถของเทสลา แต่ไม่นานความขัดแย้งก็เกิดขึ้น
เหตุผลง่ายๆ คือทั้งคู่มีความคิดเรื่องไฟฟ้าที่แตกต่างกัน เอดิสันเชื่อในระบบกระแสตรง (DC) ที่เขาคิดค้น ส่วน เทสลาเชื่อในระบบกระแสสลับ (AC) ที่เขาคิดว่าดีกว่า
สงครามกระแสไฟฟ้า
ลองนึกภาพดูครับ หากเราต้องส่งไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าไปยังบ้านที่อยู่ห่างออกไป 10 กิโลเมตร ระบบไหนจะดีกว่ากน?
ระบบกระแสตรง (DC) ของเอดิสัน:
- ส่งไฟได้เพียง 1-2 กิโลเมตรเท่านั้น
- หากต้องการส่งไกลกว่านี้ต้องสร้างโรงไฟฟ้าหลายแห่ง
- เหมือนการวิ่งส่งจดหมาย หากระยะทางไกลต้องแวะพักหลายจุด
ระบบกระแสสลับ (AC) ของเทสลา:
- ส่งไฟได้ระยะไกลมาก โดยใช้หม้อแปลงไฟฟ้า
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงไฟฟ้า
- เหมือนการส่งจดหมายทางไปรษณีย์ ส่งครั้งเดียวไปได้ไกล
เอดิสันไม่ยอมรับว่าระบบของเทสลาดีกว่า เขายิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเทสลาออกจากบริษัทไปร่วมมือกับ จอร์จ เวสติ่งเฮาส์ คู่แข่งของเขา
เพื่อพิสูจน์ว่ากระแสสลับอันตราย เอดิสันจึงจัดการแสดงโชว์ที่โหดร้าย เขาใช้กระแสสลับฆ่าช้าง เพื่อให้คนดูแล้วกลัวกระแสสลับ แต่เทสลากลับทำสิ่งที่กล้าหาญกว่า
ในงานแสดงที่ชิคาโก เทสลายืนกลางสนามและปล่อยให้กระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลผ่านตัวเขา หลอดไฟฟ้าในมือเขาสว่างขึ้น แต่เขาไม่เป็นอะไร เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าหากใช้อย่างถูกต้อง กระแสสลับปลอดภัย
ในที่สุด การแข่งขันนี้เทสลาชนะ เพราะระบบกระแสสลับประหยัดและมีประสิทธิภาพกว่าจริงๆ วันนี้ไฟฟ้าในบ้านเราใช้ระบบกระแสสลับทั้งหมด
สิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลก
มอเตอร์เหนี่ยวนำ
สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของเทสลาคือ “มอเตอร์เหนี่ยวนำ” ลองดูเครื่องซักผ้าที่บ้านคุณสิ พัดลมเพดาน ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ – ทั้งหมดนี้ใช้มอเตอร์เหนี่ยวนำของเทสลา
ก่อนหน้านี้มอเตอร์ไฟฟ้าต้องใช้ “แปรงถู” ที่ทำให้เกิดประกายไฟและเสียงรบกวน เหมือนการขับรถที่ต้องหยุดเปลี่ยนเกียร์ตลอดเวลา แต่มอเตอร์เหนี่ยวนำของเทสลาทำงานได้อย่างราบรื่น เหมือนรถออโตเมติก
ระบบไฟฟ้าหลายเฟส
เทสลาคิดค้นระบบส่งไฟฟ้า 3 เฟส ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก ลองเปรียบเทียบ:
- ระบบเฟสเดียว เหมือนคนคนเดียวแบกของหนัก เหนื่อยง่าย
- ระบบ 3 เฟส เหมือนสามคนช่วยกันแบกของหนัก เฉลี่ยแรงกัน ใช้แรงน้อยลงแต่ได้ผลมากขึ้น
ระบบนี้ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดค่าไฟฟ้า
หม้อแปลงไฟฟ้า
เทสลาคิดค้นหม้อแปลงที่เปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าได้ เหมือนกับเกียร์ในรถยนต์
- เกียร์ 1 ให้แรงมาก แต่ความเร็วน้อย (แรงดันสูง กระแสน้อย)
- เกียร์ 5 ให้ความเร็วมาก แต่แรงน้อย (แรงดันต่ำ กระแสมาก)
การส่งไฟฟ้าทางไกลต้องใช้แรงดันสูงเพื่อลดการสูญเสีย แต่พอมาถึงบ้านเราต้องลดแรงดันลงให้ปลอดภัย หม้อแปลงทำหน้าที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์
การทดลองที่แปลกประหลาด
เทสลาไม่ใช่แค่นักประดิษฐ์ธรรมดา เขายังเป็นคนชอบทดลองสิ่งแปลกๆ ที่คนอื่นไม่กล้าทำ
ห้องแล็บแห่งความมหัศจรรย์
ในห้องแล็บที่โคโลราโดสปริงส์ เทสลาสร้างหอคอยสูง 200 ฟุต และสร้างฟ้าผ่าเทียมที่ยาวถึง 40 เมตร เสียงดังสนั่นไปทั้งเมือง ไฟฟ้าในเมืองดับหมดเพราะเทสลาใช้ไฟมากเกินไป
เขาทดลองส่งไฟฟ้าผ่านอากาศโดยไม่ต้องใช้สายไฟ เขาปักหลอดไฟฟ้าลงดิน และหลอดไฟสว่างขึ้นโดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก นี่คือจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีไร้สายที่เราใช้กันวันนี้
การติดต่อมนุษย์ต่างดาว
เทสลาเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง เขาใช้เครื่องรับวิทยุที่เขาประดิษฐ์เองดักฟังสัญญาณจากอวกาศ เขาอ้างว่าได้รับสัญญาณแปลกๆ ที่เขาเชื่อว่าเป็นของมนุษย์ต่างดาว
แม้จะยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเทสลาติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวจริงหรือไม่ แต่การทดลองนี้ทำให้เขาค้นพบหลักการของคลื่นวิทยุที่เป็นพื้นฐานของการสื่อสารในปัจจุบัน
รีโมทคอนโทรล
ในงานแสดงที่นิวยอร์ก เทสลานำเรือเล็กๆ มาแสดง เขาสั่งให้เรือเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หยุด โดยไม่ต้องสัมผัสเรือเลย คนดูคิดว่าเป็นเวทมนตร์
สิ่งที่เทสลาทำคือการควบคุมทางไกลด้วยคลื่นวิทยุ นี่คือจุดเริ่มต้นของรีโมทคอนโทรลที่วันนี้เราใช้เปิด-ปิดทีวี เครื่องปรับอากาศ หรือแม้กระทั่งโดรน
บุคลิกที่แปลก
เทสลาไม่ใช่แค่อัจฉริยะ แต่เขายังเป็นคนแปลกๆ ที่มีพฤติกรรมน่าสนใจมากมาย
นิสัยการกิน
- เทสลากินอาหารเพียงวันละมื้อเท่านั้น และจะต้องเป็นเวลา 8 โมงเย็นตรง
- เขาคำนวณปริมาณอาหารทุกอย่างที่กิน เช่น ต้องกินข้าวโพดเป็นจำนวน 18 เม็ดพอดี
- เขากลัวไข่มุก จนไม่ยอมให้ผู้หญิงที่ใส่สร้อยมุกเข้าใกล้
การนอนและการทำงาน
- เทสลานอนเพียง 2-3 ชั่วโมงต่อวัน เขาเชื่อว่าการนอนมากเป็นการเสียเวลา
- เขาทำงานติดต่อกันเป็นเดือนๆ โดยไม่พัก จนกว่าจะคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่สำเร็จ
- เมื่อความคิดมาถึง เขาจะหยุดทำทุกอย่าง แม้กระทั่งอาหารก็ลืมกิน
ความกลัวที่แปลกประหลาด
- เขาไม่ยอมแตะโลหะที่เป็นวงกลม เช่น ต่างหู แหวน
- เขาต้องใช้ผ้าเช็ดปาก 18 ผืนทุกมื้อ และทิ้งผ้าเช็ดปากหลังจากใช้ครั้งเดียว
- เขาต้องเดินรอบโรงแรมก่อนเข้าไปข้างใน 3 รอบทุกครั้ง
ความเป็นคนเก็บตัว
เทสลาไม่เคยแต่งงาน เขาเชื่อว่าความรักจะทำให้เขาเสียสมาธิจากการประดิษฐ์ เขาอยู่คนเดียวตลอดชีวิต และมีเพียงนกพิราบที่เขาเลี้ยงเป็นเพื่อน
วาระสุดท้ายและมรดกที่ยิ่งใหญ่
แม้ว่าเทสลาจะเป็นอัจฉริยะ แต่เขากลับไม่เก่งเรื่องการเงิน เขาขายสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างในราคาถูก หรือให้เปล่าเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เทสลาอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ที่โรงแรมในนิวยอร์ก เขาป่วยมากและมีหนี้สิน เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 มกราคม 1943 ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 86 ปี
เมื่อเทสลาเสียชีวิต รัฐบาลอเมริกันรีบเข้ายึดเอกสารทั้งหมดของเขาไป เพราะกลัวว่าจะมีสิ่งประดิษฐ์อันตรายตกไปในมือคนอื่น เอกสารส่วนใหญ่ถูกปิดเป็นความลับจนถึงทุกวันนี้
แต่มรดกของเทสลาไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น สิ่งประดิษฐ์ของเขากลายเป็นรากฐานของโลกสมัยใหม่:
ในบ้านเรา: ไฟฟ้าที่ใช้ มอเตอร์ในเครื่องใช้ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า ในโรงงาน: ระบบไฟฟ้า 3 เฟส เครื่องจักรอุตสาหกรรม ในการสื่อสาร: คลื่นวิทยุ เทคโนโลยีไร้สาย รีโมทคอนโทรล ในการขนส่ง: มอเตอร์ไฟฟ้าในรถยนต์ (รถ Tesla ตั้งชื่อตามเขา)
วิสัยทัศน์ที่ล้ำหน้ายุคสมัย
เทสลาเคยกล่าวว่า “อนาคตจะเผยให้เห็นความจริง และแต่ละคนจะได้รับการตัดสินตามผลงานและความสำเร็จของเขา” คำพูดนี้เป็นจริง
วันนี้เมื่อเราเปิดสวิตช์ไฟ ใช้โทรศัพท์มือถือ ขับรถไฟฟ้า หรือใช้ Wi-Fi เราก็กำลังใช้เทคโนโลยีที่มีรากฐานมาจากการค้นคิดของเทสลา คนที่ถูกโลกมองว่าเป็น “คนบ้า” ในสมัยของเขา กลับกลายเป็น “อัจฉริยะ” ในสมัยของเรา
เทสลาไม่ได้เป็นแค่นักประดิษฐ์ เขาเป็น “คนมองการณ์ไกล” ที่เห็นอนาคตที่คนอื่นยังเห็นไม่ได้ เขาฝันถึงโลกที่เชื่อมต่อกันด้วยไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ โลกที่เครื่องจักรทำงานให้มนุษย์ โลกที่ข้อมูลข่าวสารส่งผ่านกันได้ทันใจ
และวันนี้ ฝันของเทสลากลายเป็นจริง เราอาศัยอยู่ในโลกที่เขาจินตนาการไว้เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว
นิโคลา เทสลา คือตัวอย่างที่ดีที่สุดที่บอกเราว่า ความแตกต่างไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นจุดแข็ง การมองโลกในแบบที่ไม่เหมือนใครอาจจะทำให้เราถูกมองว่าแปลก แต่หากเรายึดมั่นในสิ่งที่เราเชื่อและพยายามทำให้มันเป็นจริง เราก็อาจจะเปลี่ยนโลกได้เหมือนที่เทสลาทำ
ดังที่เทสลาเคยพูดไว้ “ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือในจินตนาการของเรา” และเขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อจินตนาการไม่มีขีดจำกัด สิ่งที่เป็นไปได้ก็ไม่มีขีดจำกัดเช่นกัน
#hrรีพอร์ต
Leave a comment