ชายผู้ถามคำถามแปลกๆ
ลองนึกภาพดูสิ คุณเปิดสมุดบันทึกของใครคนหนึ่งแล้วเจอรายการสิ่งที่ต้องทำแบบนี้: “หาคนที่เดินบนน้ำแข็งมาถามว่าน้ำแข็งลื่นแค่ไหน” “ไปดูลิ้นของนกหัวขวานว่าเป็นยังไง” “ทำไมฟ้าถึงเป็นสีฟ้า” “ดวงตาทำงานยังไง”
คุณอาจคิดว่าเจ้าของสมุดคนนี้แปลกมาก แต่จริงๆ แล้วเขาคือ เลโอนาร์โด ดา วินชี่ ชายผู้ที่โลกจดจำว่าเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของมนุษยชาติ และคำถามแปลกๆ เหล่านี้แหละ ที่ทำให้เขากลายเป็นคนพิเศษ
Walter Isaacson นักเขียนชีวประวัติชื่อดังที่เคยเล่าเรื่องราวของ Steve Jobs และ Albert Einstein ได้เขียนหนังสือ “Leonardo da Vinci” ที่เปิดเผยความลับของความอัจฉริยะคนนี้ ผ่านการศึกษาสมุดบันทึกของเขากว่า 7,200 หน้า และสิ่งที่เขาค้นพบนั้นทำให้เราเข้าใจว่า ความอัจฉริยะไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ลึกลับ แต่มาจากทักษะที่เราทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้
ตอนที่ 1: เด็กนอกสมรสที่กลายเป็นอัจฉริยะ
ปี 1452 ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อวินชี่ประเทศอิตาลี เด็กชายคนหนึ่งเกิดขึ้นมา เขาเป็นลูกนอกสมรสของเซอร์ ปิเอโร นายทนายกับสาวใช้ชื่อคาเตรินา ชื่อของเขาคือ เลโอนาร์โด ดา วินชี่ (Leonardo da Vinci) ซึ่งแปลว่า “เลโอนาร์โดจากวินชี่”
ในสมัยนั้น การเป็นลูกนอกสมรสถือเป็นตราบาป เลโอนาร์โดไม่ได้รับสิทธิ์ในการเรียนภาษาละตินหรือคณิตศาสตร์แบบเด็กผู้ดี ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นทนายต่อจากพ่อ แต่แทนที่จะเป็นปัญหา สิ่งนี้กลับกลายเป็นพรสวรรค์
เพราะไม่ต้องติดกับหนังสือเรียนแบบโบราณ เลโอนาร์โดจึงได้เรียนรู้โลกจากประสบการณ์จริง เขาใช้เวลาสังเกตธรรมชาติ ดูนกบิน ดูน้ำไหล ดูแสงเงาที่เปลี่ยนไปตามเวลา นี่คือจุดเริ่มต้นของวิธีคิดที่ทำให้เขาพิเศษ: การเรียนรู้จากการสังเกตโลกรอบตัว
ตัวอย่างง่ายๆ ที่เด็กๆ ทั่วไปอาจไม่สนใจ แต่เลโอนาร์โดถามคำถาม เขาเห็นใบไม้ร่วงจากต้นไผ่แล้วสงสัยว่า “ทำไมใบไม้บางใบร่วงเป็นเกลียว บางใบร่วงตรงๆ” เขาไม่ใช่แค่สงสัย แต่เขาลองทิ้งใบไม้จากที่สูงซ้ำๆ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
การสังเกตแบบนี้ทำให้เขาค้นพบหลักการทางอากาศพลศาสตร์ที่จะนำไปใช้ออกแบบเครื่องบินในภายหลัง ใช่แล้ว เครื่องบิน! ในสมัยที่คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าการบินเป็นเรื่องของเทพเจ้าเท่านั้น
ตอนที่ 2: ศิลปินหน้าใหม่ในฟลอเรนซ์
เมื่ออายุ 14 ปี เลโอนาร์โดถูกส่งไปฝึกงานกับ Andrea del Verrocchio จิตรกรชื่อดังในเมืองฟลอเรนซ์ สตูดิโอแห่งนี้ไม่ใช่แค่ที่วาดรูป แต่เป็นเหมือน “ห้องแล็บแห่งการสร้างสรรค์” ที่มีทั้งจิตรกร ประติมากร ช่างโลหะ และวิศวกรทำงานร่วมกัน
ตั้งแต่วันแรก เลโอนาร์โดแสดงความสามารถพิเศษ เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงคือ เมื่อครูให้เขาช่วยวาดภาพเทพทูตในงาน “Baptism of Christ” ผลงานของเลโอนาร์โดนั้นสวยงามจนครูตกใจ และตำนานเล่าว่า Verrocchio วางพู่กันลงแล้วไม่ยอมวาดรูปอีกเลย เพราะรู้ว่าลูกศิษย์เก่งกว่าตัวเองแล้ว
แต่ที่ทำให้เลโอนาร์โดแตกต่างจากศิลปินคนอื่น คือเขาไม่ใช่แค่คนวาดรูปเก่ง เขาต้องการ เข้าใจ ทุกอย่างที่เขาวาด ถ้าจะวาดมือ เขาต้องศึกษากระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเส้นประสาท ถ้าจะวาดดวงตา เขาต้องเข้าใจว่าแสงผ่านดวงตาไปถึงสมองยังไง
นี่คือตัวอย่างของ ความอยากรู้อยากเห็นระดับลึก เขาไม่พอใจกับการทำตามแบบ เขาต้องการเข้าใจหลักการ เขาไม่ใช่แค่ศิลปินที่วาดรูปให้สวย แต่เป็นนักวิจัยที่ใช้พู่กันเป็นเครื่องมือสำรวจโลก
ตอนที่ 3: คนแปลกที่ไม่กลัวจะต่างจากคนอื่น
ในสมัยเรอเนซองส์ ผู้ชายส่วนใหญ่จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีเข้มๆ อย่างสีน้ำตาลหรือสีดำ แต่เลโอนาร์โดชอบใส่เสื้อคลุมสีชมพูสดใส ผมยาวหยิก และมีหนวดเครายาว เขาดูเหมือน “ร็อกสตาร์” ของยุคนั้น
เขาเป็นมังสวิรัติ ในยุคที่การกินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องปกติ เขาจะไปตลาดซื้อนกในกรงแล้วปล่อยให้บินอิสระ เพื่อนๆ คิดว่าเขาแปลก แต่เลโอนาร์โดไม่สนใจ เขาเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูก
เขายังเป็นเกย์ในสมัยที่สังคมไม่ยอมรับ เขาถูกจับในข้อหาทำผิดกฎหมายเรื่องเพศสัมพันธ์ แต่โชคดีที่หลักฐานไม่เพียงพอ การเป็นคนต่างจากคนอื่นทำให้เขาต้องเรียนรู้ที่จะ กล้าคิดต่าง กล้าเป็นตัวเอง
ตัวอย่างความกล้าคิดต่างของเขา คือการท้าทายความเชื่อทางศาสนา ในสมัยที่คนเชื่อว่าหัวใจเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณ เลโอนาร์โดไปผ่าศพเพื่อดูหัวใจจริงๆ เขาค้นพบว่าหัวใจมีลิ้นหัวใจ 4 ใบ และเลือดไหลเวียนอย่างไร แต่เขาไม่ได้ประกาศผลการค้นพบนี้ เพราะกลัวจะขัดกับคำสอนของคริสต์ศาสนา
นี่คือบทเรียนสำคัญ: ความคิดสร้างสรรค์มักมาจากการกล้าแตกต่าง คนที่คิดเหมือนกับคนอื่นหมด จะไม่มีทางสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้
ตอนที่ 4: สมุดบันทึกแห่งความลับ
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดของเลโอนาร์โด คือสมุดบันทึกของเขา เขาเขียนกลับด้าน (เหมือนดูในกระจก) ด้วยมือซ้าย ในสมุดเหล่านี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์:
แบบแปลนเครื่องบิน ในปี 1490 เขาวาดแบบเครื่องบินที่มีปีกกว้าง 23 เมตร โดยศึกษาจากการบินของค้างคาว เครื่องบินจริงถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 1903 หมายความว่าเขาคิดล่วงหน้าไป 400 ปี!
รถถังรบ เขาออกแบบรถถังที่มีหอคอยปืนใหญ่หมุนได้ 360 องศา ล้อเลื่อนได้ทุกทิศทาง โดยใช้คนคำเนิจภายใน รถถังจริงถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1917
เครื่องจักรกลต่างๆ ตั้งแต่เครื่องยกของหนัก ระบบขุดคลอง ไปจนถึงหุ่นยนต์ที่เขาสร้างสำหรับความบันเทิงในราชสำนัก
แต่ที่สำคัญที่สุด คือ วิธีคิดของเขา ในสมุดบันทึก เขาเขียน: “การเรียนรู้ไม่เคยสิ้นสุด นาทีหนึ่งของชีวิตก็มีพอให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ได้”
เขามีกฎในการสังเกต: “ดูให้ละเอียด บันทึกทุกรายละเอียด ทดลองซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจ” ตัวอย่างเช่น เขาสังเกตการไหลของน้ำ โดยหยดหมึกลงในน้ำไหล แล้วบันทึกรูปแบบการไหลซ้ำๆ กว่า 100 ครั้ง เพื่อเข้าใจกฎของการไหล
นี่คือ ความอดทนในการเรียนรู้ ที่เราสามารถเลียนแบบได้ แทนที่จะดูอะไรผ่านๆ เราลองหยุดสังเกตสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวอย่างจริงจัง
ตอนที่ 5: โมนาลิซา – ผลงานที่รวมศิลปะกับวิทยาศาสตร์
ปี 1503 เลโอนาร์โดเริ่มวาดภาพผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซา เดล จิโอคอนโด ภรรยาของพ่อค้าผ้าไหม แต่ภาพนี้ไม่ใช่แค่ภาพวาดธรรมดา มันคือ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วยพู่กัน
ความลับของรอยยิ้ม เลโอนาร์โดศึกษากายวิภาคของกล้ามเนื้อใบหน้า เขารู้ว่าเมื่อเราดูสิ่งของด้วยสายตา จุดกึ่งกลางจะคมชัด แต่ขอบจะเบลอ เขาจึงวาดมุมปากของโมนาลิซาให้เบลอเล็กน้อย ทำให้เมื่อเราดูตรงตา เราจะเห็นรอยยิ้มชัด แต่เมื่อดูตรงปาก รอยยิ้มกลับจางลง
เทคนิค Sfumato คือการเบลอขอบเขตให้นุ่มนวล เหมือนควันบุหรี่ เลโอนาร์โดใช้เทคนิคนี้โดยทาสีหลายๆ ชั้นบางๆ ชั้นละไม่เกิน 2 ไมครอน (บางกว่าเส้นผมมาก!) เขาใช้เวลา 16 ปีในการทาภาพนี้
ดวงตาที่มองตาม เลโอนาร์โดเข้าใจว่าเมื่อเราวาดใบหน้าแบบตรง ดวงตาจะดูเหมือนมองตามเราไปทุกมุม เขาใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์และทัศนศาสตร์เพื่อสร้างเอฟเฟคนี้
สิ่งที่น่าทึ่งคือ เลโอนาร์โดไม่เคยส่งมอบภาพนี้ให้ลูกค้า เขาพกติดตัวไปทุกที่ และเสียชีวิตโดยที่ภาพยังอยู่ข้างเตียง นี่แสดงให้เห็นว่าสำหรับเขา กระบวนการเรียนรู้สำคัญกว่าผลงานที่สำเร็จ เขาใช้โมนาลิซาเป็นห้องทดลองศึกษาความงาม ใบหน้าคน และอารมณ์
ตอนที่ 6: การผ่าศพเพื่อเข้าใจชีวิต
หนึ่งในสิ่งที่แสดงความกล้าหาญของเลโอนาร์โด คือการผ่าศพ ในยุคที่การผ่าศพเป็นเรื่องต้องห้าม เขาทำแบบลับๆ โดยการขอร่างศพจากโรงพยาบาล
เขาผ่าศพกว่า 30 ศพ และวาดภาพกายวิภาคที่ละเอียดที่สุดในโลกในสมัยนั้น เขาค้นพบหลายสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ในศตวรรษที่ 20:
หัวใจมี 4 ห้อง ในสมัยที่คนคิดว่าหัวใจมี 2 ห้อง
เลือดไหลเวียนเป็นวงกลม ก่อนที่วิลเลียม ฮาร์วีย์จะค้นพบในปี 1628
สมองควบคุมกล้ามเนื้อผ่านเส้นประสาท ก่อนนักวิทยาศาสตร์จะเข้าใจเรื่องนี้หลายร้อยปี
ที่น่าสนใจคือ เลโอนาร์โดไม่ได้ผ่าศพเพื่อความรู้อย่างเดียว แต่เพื่อ ทำให้ศิลปะมีชีวิตชีวา เขาต้องการวาดรูปคนให้สมจริงที่สุด เขาเขียนไว้ว่า: “จิตรกรที่ไม่เข้าใจกายวิภาค จะวาดรูปคนเหมือนหุ่นไม้เท่านั้น”
นี่คือตัวอย่างของ การเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน วิทยาศาสตร์ช่วยให้ศิลปะสมจริง ศิลปะช่วยให้วิทยาศาสตร์สวยงาม
ตอนที่ 7: คนที่ไม่ชอบทำงานให้เสร็จ
แม้เลโอนาร์โดจะเป็นอัจฉริยะ แต่เขาก็มีจุดอ่อน นั่นคือ ไม่ชอบทำงานให้เสร็จ เขามีผลงานไม่เสร็จมากมาย:
รูปปั้นม้าขนาดยักษ์ ที่เขาออกแบบให้สูง 7 เมตร แต่ทำแค่แบบจำลองดิน พอมีสงคราม โลหะบรอนซ์ที่เตรียมไว้หล่อรูปปั้นถูกเอาไปทำปืนใหญ่
ภาพเฟรสโก Battle of Anghiari ที่เขาทดลองใช้สีผสมใหม่ แต่สีไหลหลุดจากผนัง งานพัง
หนังสือกายวิภาค ที่เขาวาดภาพสวยงามมากมาย แต่ไม่เคยรวมเล่มเป็นหนังสือ
ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้? Walter Isaacson อธิบายว่า เลโอนาร์โดมี ความสุขในการค้นหามากกว่าการบรรลุเป้าหมาย เขาเบื่อเมื่อเข้าใจแล้ว อยากไปลองสิ่งใหม่
ในสมัยนี้ เราอาจคิดว่านี่เป็นข้อบกพร่อง แต่จิตวิทยาสมัยใหม่พบว่า บางครั้งการหยุดงานที่เบื่อเพื่อไปทำสิ่งใหม่ที่น่าสนใจ อาจทำให้เราสร้างสรรค์ได้มากกว่า การฝืนทำงานที่เบื่อต่อ (Sunk Cost Fallacy)
นี่เป็นบทเรียนสำคัญ: อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง หากสิ่งที่เราทำไม่ทำให้เราเรียนรู้อะไรใหม่แล้ว การไปหาประสบการณ์ใหม่อาจจะดีกว่า
ตอนที่ 8: เพื่อนและการเรียนรู้ร่วมกัน
ต่างจากภาพจำของศิลปินที่เหงาๆ อยู่คนเดียว เลโอนาร์โดเป็นคนชอบมีเพื่อน เขาเรียนรู้จากการคุยกับคนอื่น ในสมุดบันทึกเขาเขียนรายชื่อคนที่อยากคุยด้วย เช่น:
“ไปถามปรมาจารย์ด’อันเดรีย เรื่องการทำกล้องเงินเหลวให้ใส” “ไปหาเจ้าของโรงงานหล่อปืนใหญ่ ถามเรื่องการหล่อโลหะ” “ไปถามแพทย์เรื่องการรักษาโรคกระดูก”
เขาเข้าใจว่า ความรู้ไม่ได้มาจากคนๆ เดียว แต่เกิดจากการแลกเปลี่ยนความคิดกับคนหลากหลาย
เพื่อนสนิทที่สุดของเขาคือ ซาลาอี (Salai) เด็กหนุ่มที่เข้ามาเป็นศิษย์ตอนอายุ 10 ขวบ ซาลาอีซุกซนมาก ชอบขโมยของ โกหก แต่หล่อและน่ารัก เลโอนาร์โดรักเขามากและอยู่ด้วยกัน 25 ปี
ซาลาอีทำให้เลโอนาร์โดเข้าใจว่า ความงามไม่ได้มาจากความสมบูรณ์แบบ แต่มาจากความมีเสน่ห์ ใบหน้าของซาลาอีปรากฏในภาพวาดหลายภาพของเลโอนาร์โด
นี่คือบทเรียน: เรียนรู้จากคนรอบข้าง ทุกคนมีความรู้และมุมมองที่แตกต่าง การเปิดใจรับฟังจะทำให้เราเติบโต
ตอนที่ 9: บทเรียนแห่งความคิดสร้างสรรค์
Walter Isaacson สรุปบทเรียนจากชีวิตเลโอนาร์โดไว้ ซึ่งเราสามารถนำไปใช้ได้:
1. เลี้ยงดูความอยากรู้อยากเห็น ตั้งคำถามกับสิ่งธรรมดาๆ รอบตัว ทำไมเมฆเป็นสีขาว? ทำไมใบไม้เป็นสีเขียว? ทำไมเราหลับ? ความอยากรู้คือเชื้อเพลิงของการคิดสร้างสรรค์
2. สังเกตอย่างใส่ใจ หยุดชีวิตเร่งรีบ ใช้เวลาสังเกตรายละเอียดเล็กๆ แสงเงาตอนเช้า เสียงของลม กลิ่นของฝน สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจ
3. เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน อย่าแยกแยะว่าศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือเทคโนโลยีเป็นคนละเรื่อง ลองหาจุดเชื่อมโยง ตัวอย่างเช่น การทำอาหารใช้หลักเคมี การออกแบบใช้คณิตศาสตร์ การเขียนโปรแกรมเป็นศิลปะ
4. อย่ากลัวที่จะต่างจากคนอื่น ความคิดสร้างสรรค์มาจากการคิดต่าง กล้าเสนอความคิดที่แปลกใหม่ แม้คนอื่นจะไม่เข้าใจ
5. ทดลองและยอมรับความผิดพลาด เลโอนาร์โดทดลองสีใหม่แล้วเสียงาน แต่เขาไม่ท้อ เขาเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วลองใหม่ ความผิดพลาดคือบันไดของความสำเร็จ
6. หาเพื่อนที่คิดต่างจากเรา ล้อมรอบตัวด้วยคนที่มีความรู้หลากหลาย การแลกเปลี่ยนความคิดกับคนต่างสาขาจะทำให้เกิดไอเดียใหม่
7. อดทนในการเรียนรู้ อย่าคาดหวังว่าจะเข้าใจทุกอย่างในวันเดียว ใช้เวลาศึกษาซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจลึกซึ้ง เหมือนเลโอนาร์โดที่สังเกตการไหลของน้ำ 100 ครั้ง
ตอนที่ 10: มรดกแห่งการคิดสร้างสรรค์
วันที่ 2 พฤษภาคม 1519 เลโอนาร์โด ดา วินชี่ เสียชีวิตที่ปราสาทคลู ประเทศฝรั่งเศส ในอ้อมแขนของกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1 ตำนานเล่าว่าเขาถือภาพโมนาลิซาไว้จนวินาทีสุดท้าย
แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ไม่ใช่แค่ผลงานศิลปะ แต่เป็น วิธีคิด ที่เปลี่ยนโลก สมุดบันทึกของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์รุ่นหลัง
ไรต์ พี่น้อง ผู้ประดิษฐ์เครื่องบิน ได้แรงบันดาลใจจากแบบแปลนของเลโอนาร์โด
สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งแอปเปิล เคยพูดว่า “เลโอนาร์โดคือแรงบันดาลใจของผม เขาแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีกับศิลปะสามารถไปด้วยกันได้”
วอลต์ ดิสนีย์ ใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวที่เลโอนาร์โดศึกษาไว้ในการ์ตูนแอนิเมชั่น
ตอนที่ 11: ความหมายสำหรับยุคดิจิทัล
ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว บทเรียนจากเลโอนาร์โดยิ่งมีความหมาย เขาสอนเราว่า:
มนุษย์ต้องเก็บรักษาความอยากรู้อยากเห็น แม้ Google จะตอบคำถามได้ในวินาที แต่การตั้งคำถามที่ดียังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีกว่าเครื่องจักร
การคิดข้ามสาขายิ่งสำคัญ ในโลกที่ซับซ้อน ปัญหาใหญ่ๆ ต้องอาศัยความรู้หลายสาขามาร่วมกันแก้ไข เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์ และศิลปะในการสื่อสาร
ความผิดพลาดคือโอกาส เลโอนาร์โดไม่กลัวทดลองสิ่งใหม่ แม้จะเสี่ยงผิดพลาด ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเร็ว คนที่กลัวผิดพลาดจะตกขบวน
บทสรุป: อัจฉริยะที่อยู่ในตัวเราทุกคน
หลังจากอ่านเรื่องราวของเลโอนาร์โด ดา วินชี่ สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดไม่ใช่ผลงานที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็น ความเป็นมนุษย์ ของเขา
เขาเป็นคนที่มีจุดอ่อน ไม่ชอบทำงานให้เสร็จ บางครั้งเอาแต่ใจ แต่เขาก็เป็นคนที่ ไม่เคยหยุดเรียนรู้ ไม่เคยหยุดถามคำถาม ไม่เคยหยุดมองโลกด้วยความอัศจรรย์
Walter Isaacson เขียนไว้ว่า “ความอัจฉริยะของเลโอนาร์โดไม่ใช่สิ่งที่เหนือธรรมชาติ แต่เป็นทักษะที่เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง สังเกตให้ละเอียด และอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กๆ”
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่การจำข้อมูล แต่เป็น ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ การเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน และการมองโลกในมุมใหม่
เลโอนาร์โด ดา วินชี่ เสียชีวิตไปแล้ว 500 ปี แต่วิธีคิดของเขายังคงทันสมัยและเป็นประโยชน์ต่อเราในยุคนี้ เขาสอนเราว่า อัจฉริยะไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการเลี้ยงดูความอยากรู้อยากเห็น ความกล้าที่จะต่าง และความอดทนในการเรียนรู้
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เห็นสิ่งธรรมดาๆ รอบตัว ลองหยุดสักครู่และถามตัวเองว่า “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?” เพราะความอยากรู้อยากเห็นนั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของทุกการคิดสร้างสรรค์
และใครรู้ บางทีคำถามเล็กๆ ของเราอาจนำไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ เหมือนที่เลโอนาร์โดเคยทำเมื่อ 500 ปีก่อน เพราะในใจของเราทุกคน มีเลโอนาร์โด ดา วินชี่ คนเล็กๆ คอยรอการปลุกให้ตื่น
“ความรู้ที่ไม่ได้มาจากประสบการณ์ เป็นเพียงความรู้เปล่าๆ แต่ประสบการณ์ที่ไม่ได้มาจากความรู้ เป็นเพียงความงมงายเท่านั้น”
– เลโอนาร์โด ดา วินชี่
#hrรีพอร์ต
Leave a comment