จากหนังสือ “The Innovators” โดย Walter Isaacson
ในทุกๆ วัน เราใช้มือถือ เล่นโซเชียลมีเดีย ส่งอีเมล หรือดูหนังใน Netflix โดยไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร Walter Isaacson นักเขียนชื่อดัง ได้รวบรวมเรื่องราวของคนที่สร้างโลกดิจิทัลให้เราไว้ในหนังสือ “The Innovators” ที่จะพาเราย้อนเวลาไปดูว่าโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
จุดเริ่มต้น: ผู้หญิงคนแรกของโลกโปรแกรมมิ่ง
เรื่องราวเริ่มต้นที่ Ada Lovelace ในช่วงปี 1840s ลูกสาวของ Lord Byron นักกวีชื่อดังแห่งอังกฤษ Ada เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์สูงมาก เธอได้ร่วมงานกับ Charles Babbage นักประดิษฐ์ที่ออกแบบ “Analytical Engine” เครื่องคำนวณกลไกที่ซับซอนมาก
สิ่งที่ทำให้ Ada พิเศษคือเธอไม่ได้มองเครื่องนี้แค่เป็นเครื่องคิดเลขธรรมดา เธอเขียนว่า “เครื่องนี้สามารถทำอะไรได้มากกว่าแค่คำนวณตัวเลข มันอาจจะแต่งดนตรี วาดรูป หรือทำศิลปะได้ด้วย” นี่คือการมองการณ์ไกลที่สุดยอด เพราะ 100 ปีต่อมา คอมพิวเตอร์จริงๆ ก็ทำสิ่งเหล่านี้ได้จริง
Ada ยังได้เขียน algorithm (อัลกอริทึม) หรือขั้นตอนการทำงานของเครื่องไว้อย่างละเอียด ทำให้เธอได้รับการยกย่องว่าเป็น “โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก”
ยุคสงครามโลก: เมื่อความจำเป็นกลายเป็นแม่ของการประดิษฐ์
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพต่างๆ ต้องการคำนวณเส้นทางการยิงปืนใหญ่ การเข้ารหัส และการถอดรหัสข้อความลับอย่างรวดเร็ว เครื่องคิดเลขธรรมดาทำไม่ทัน
ทีมของ J. Presper Eckert และ John Mauchly ที่มหาวิทยาลัย Pennsylvania จึงสร้าง ENIAC (Electronic Numerical Integrator and Computer) ขึ้นมาในปี 1946 เครื่องนี้ใหญ่มาก หนัก 30 ตัน กินไฟ 150 กิโลวัตต์ (เท่ากับหลอดไฟ 1,500 หลอด) และมีหลอดสุญญากาศ 18,000 หลอด
ENIAC คำนวณเร็วกว่าการคำนวณด้วยมือถึง 1,000 เท่า! งานที่เคยใช้เวลา 20 ชั่วโมง ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 30 วินาที แต่ปัญหาคือถ้าหลอดสุญญากาศดวงไหนเสีย เครื่องทั้งเครื่องก็ใช้การไม่ได้
สิ่งน่าสนใจคือคนที่มาโปรแกรม ENIAC ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เรียกว่า “ENIAC Girls” เพราะในสมัยนั้นคิดว่าการโปรแกรมเป็นงานที่ง่าย ผู้ชายไปทำงานสำคัญกว่าดีกว่า แต่กลับกันการโปรแกรมต่างหากที่เป็นหัวใจสำคัญของคอมพิวเตอร์!
การปฏิวัติเล็กๆ ที่เปลี่ยนโลก: ทรานซิสเตอร์
หลังสงครามจบ นักวิจัยที่ Bell Labs ในนิวเจอร์ซี่ย์ กำลังหาทางแก้ปัญหาหลอดสุญญากาศที่พังง่าย กินไฟเยอะ และใหญ่เกินไป
ในปี 1947 Walter Brattain, John Bardeen และ William Shockley ได้คิดค้น “ทรานซิสเตอร์” ตัวเล็กๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนหลอดสุญญากาศ แต่เล็กกว่าเป็นพันเท่า กินไฟน้อยกว่า และไม่ค่อยเสีย
เพื่อให้เห็นภาพ หลอดสุญญากาศใหญ่เท่าหลอดไฟ ส่วนทรานซิสเตอร์เล็กเท่าเม็ดข้าว และในโทรศัพท์มือถือปัจจุบัน มีทรานซิสเตอร์หลายพันล้านตัว!
แต่การค้นพบนี้ก็ไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนทันที ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี ผู้คนถึงจะเริ่มเห็นประโยชน์ของมัน วิทยุแรกที่ใช้ทรานซิสเตอร์ขายในราคา 49.95 ดอลลาร์ (ในปี 1954) ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น แต่คนก็ยังซื้อเพราะมันเล็กพอจะพกพาได้
ยุคไมโครชิพ: การบีบอัดความมหัศจรรย์
คนที่ทำให้ทรานซิสเตอร์กลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกจริงๆ คือ Robert Noyce และ Jack Kilby ที่แยกกันคิดค้น “ไมโครชิพ” หรือ “Integrated Circuit”
ก่อนหน้านี้ ถ้าอยากได้วงจรที่ซับซอน ต้องเอาทรานซิสเตอร์หลายร้อยตัวมาเชื่อมต่อกันด้วยลวดเส้นเล็กๆ งานนี้ยุ่งยากมาก และผิดพลาดได้ง่าย
แนวคิดใหม่คือการทำทรานซิสเตอร์หลายตัวในแผ่น silicon เดียวกัน เหมือนการสร้างเมืองจิ่วๆ บนแผ่นหินเล็กๆ แผ่นเดียว
Intel บริษัทที่ Robert Noyce ร่วมก่อตั้ง เริ่มทำชิพที่มีทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว ในปี 1971 และเรียกมันว่า “microprocessor” หรือสมองของคอมพิวเตอร์ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะตอนนี้ใครๆ ก็สามารถมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวได้แล้ว
Gordon Moore หุ้นส่วนของ Noyce ได้ทำนายว่า “จำนวนทรานซิสเตอร์ในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ สองปี” คำทำนายนี้เรียกว่า “Moore’s Law” และมันเป็นจริงมาตลอด 50 ปี!
การเกิดของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล: เมื่อคนธรรมดาได้แตะต้องเทคโนโลยี
ในช่วงปี 1970s คอมพิวเตอร์ยังเป็นของบริษัทใหญ่และมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่กลุ่มหนุ่มๆ ในแคลิฟอร์เนียเริ่มมีความฝันที่จะให้ทุกคนมีคอมพิวเตอร์ของตัวเอง
Steve Jobs และ Steve Wozniak เป็นเพื่อนที่เจอกันใน Homebrew Computer Club ที่ Silicon Valley Woz เป็นอัจฉริยะด้านเทคนิค ส่วน Jobs เป็นคนที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ
เมื่อ Woz สร้าง Apple I ขึ้นมา (เป็นแค่แผ่นวงจรที่ต้องเชื่อมกับทีวีและแป้นพิมพ์เอง) Jobs บอกว่า “เราต้องขายมันเป็นธุรกิจ” พวกเขาขาย Volkswagen van ของ Jobs และเครื่องคิดเลข HP ของ Woz เอาเงินมาผลิต Apple I
การขาย Apple II ในปี 1977 เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ เพราะเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มาพร้อมกับ case สวยงาม จอภาพสี และใช้งานง่าย คนธรรมดาซื้อมาเปิดกล่องก็ใช้ได้เลย ไม่ต้องประกอบเอง
ในขณะเดียวกัน Bill Gates หนุ่มวัย 20 ปี เขียนซอฟต์แวร์ BASIC ให้กับ Altair 8800 (คอมพิวเตอร์ kit ยอดนิยม) Gates เห็นว่าอนาคตอยู่ที่ซอฟต์แวร์ มากกว่าฮาร์ดแวร์ เขาจึงก่อตั้ง Microsoft เพื่อทำซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ
สิ่งที่น่าสนใจคือทั้ง Jobs และ Gates ต่างก็เป็น college dropouts แต่พวกเขากลับสร้างบริษัทที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ได้ เพราะพวกเขาเข้าใจว่าผู้คนต้องการเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า
การเชื่อมต่อโลก: จากห้องแลปสู่อินเทอร์เน็ต
ขณะที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเฟื่องฟู นักวิจัยก็กำลังพัฒนาสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกมากกว่า นั่นคือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
Vint Cerf และ Bob Kahn ได้คิดค้น “Internet Protocol” (IP) ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ต่างยี่ห้อ ต่างรุ่น สามารถสื่อสารกันได้ เหมือนการสร้างภาษากลางให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกใช้พูดคุยกัน
ตอนแรกอินเทอร์เน็ต (เรียกว่า ARPANET) ใช้เฉพาะในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานรัฐบาล นักวิจัยใช้ส่งอีเมลกัน แลกเปลี่ยนไฟล์ และเข้าถึงคอมพิวเตอร์ระยะไกล
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ Tim Berners-Lee นักวิทยาศาสตร์อังกฤษที่ CERN (องค์กรวิจัยฟิสิกส์ในสวิตเซอร์แลนด์) รำคาญที่ต้องจำคำสั่งซับซอนในการใช้อินเทอร์เน็ต
ในปี 1989 เขาเขียนเอกสารเสนอ “World Wide Web” ระบบที่ใช้ “hyperlink” หรือลิงก์ที่กดแล้วเปลี่ยนหน้าได้ เขาสร้าง browser แรกของโลก และเว็บไซต์แรกของโลก (info.cern.ch ยังเปิดอยู่ตอนนี้!)
สิ่งสำคัญที่สุดคือ Tim ตัดสินใจไม่ขอสิทธิบัตรหรือทำเงินจาก World Wide Web เขาอยากให้ทุกคนใช้ฟรี นี่เป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนโลก เพราะถ้าเว็บไม่ฟรี มันคงไม่แพร่หลายเร็วขนาดนี้
ยุคบูม: เมื่อทุกคนเริ่มออนไลน์
ปี 1990s เป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตระเบิดครั้งใหญ่ บริษัทต่างๆ เริ่มเห็นโอกาสทางธุรกิจ
Marc Andreessen นักศึกษามหาวิทยาลัย Illinois สร้าง browser ชื่อ “Mosaic” ที่แสดงรูปภาพในเว็บได้ (ก่อนหน้านี้มีแต่ข้อความ) ต่อมาเขาไปก่อตั้ง Netscape และกลายเป็นเศรษฐีอายุ 24 ปี
ช่วงนี้เรียกว่า “Dot-com boom” บริษัทที่มีคำว่า “.com” ในชื่อหาเงินทุนได้ง่ายมาก แม้จะยังไม่มีผลกำไร เพราะทุกคนเชื่อว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นอนาคต
แต่ในปี 2000 ฟองสบู่ dot-com แตก หุ้นเทคโนโลยีดิ่งลง บริษัทหลายร้อยแห่งล้มละลาย แต่บริษัทที่รอดและแข็งแกร่งขึ้นกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในทุกวันนี้
Larry Page และ Sergey Brin นักศึกษา PhD ที่ Stanford ได้คิดอัลกอริทึม “PageRank” ที่จัดอันดับเว็บไซต์ตามความน่าเชื่อถือ (เว็บไซต์ที่มีคนลิงก์มาเยอะ แสดงว่าน่าเชื่อถือ) นี่กลายเป็นหัวใจของ Google
Jeff Bezos ทิ้งงานในวอลล์สตรีท มาเปิดร้านขายหนังสือออนไลน์ในโรงรถ ชื่อ “Amazon.com” เขาเห็นว่าการช้อปปิ้งออนไลน์จะเป็นอนาคต แม้จะขาดทุนหลายปีแรก
ยุคโซเชียลมีเดีย: เมื่อผู้คนกลายเป็นเนื้อหา
ปี 2000s ตอนปลาย เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง คราวนี้คนธรรมดาเริ่มเป็นคนสร้างเนื้อหาในอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่อ่านอย่างเดียว
Mark Zuckerberg นักศึกษา Harvard สร้าง “Thefacebook.com” ในห้องหอพักเพื่อให้เพื่อนๆ ในมหาลัยรู้จักกัน ภายใน 2 สัปดาห์ มีคนสมัครใช้ครึ่งหนึ่งของมหาลัย
Facebook เริ่มจากแค่มหาลัยหนึ่ง แล้วขยายไปมหาลัยอื่น จนเปิดให้คนทั่วไปใช้ ตอนนี้มีผู้ใช้เกือบ 3 พันล้านคนทั่วโลก!
Jack Dorsey สร้าง Twitter จากแนวคิดง่ายๆ ว่า “ถ้าเราสามารถส่ง SMS สั้นๆ ให้เพื่อนหลายคนพร้อมกันได้จะเป็นอย่างไร” ข้อความ 140 ตัวอักษรเปลี่ยนวิธีที่คนติดต่อสื่อสารไปเลย
Chad Hurley, Steve Chen และ Jawed Karim อดีตพนักงาน PayPal สร้าง YouTube เพราะยากลำบากในการแชร์วิดีโอจากงานปาร์ตี้ วิดีโอแรกของ YouTube ยาวแค่ 18 วินาที ชื่อ “Me at the zoo” แต่ตอนนี้มีคนดู YouTube กันวันละหลายพันล้านชั่วโมง!
ยุคมือถือ: โลกในกำมือ
การเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดที่เล่าในหนังสือคือการเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน Steve Jobs กลับมาที่ Apple หลังจากถูกไล่ออกไป 12 ปี และเปิดตัว iPhone ในปี 2007
iPhone ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกที่เข้าอินเทอร์เน็ตได้ แต่เป็นเครื่องแรกที่ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตในมือถือเป็นเรื่องง่ายและสนุก หน้าจอสัมผัส แอพต่างๆ และการออกแบบที่สวยงาม เปลี่ยนความคาดหวังของผู้คนไปตลอดกาล
ตอนนี้มีคนใช้สมาร์ทโฟนมากกว่า 6 พันล้านคนทั่วโลก หลายคนใช้เวลากับมือถือมากกว่าการดูทีวี และสำหรับหลายคน สมาร์ทโฟนคือคอมพิวเตอร์เครื่องแรกและเครื่องเดียวที่พวกเขามี
บทเรียน: ความร่วมมือคือกุณแจสำคัญ
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ Walter Isaacson สรุปบทเรียนสำคัญหลายข้อ:
1. นวัตกรรมเกิดจากการทำงานร่วมกัน ไม่มีสิ่งประดิษฐ์สำคัญใดเกิดจากคนเดียว ENIAC เกิดจากทีมงาน Apple เกิดจากการร่วมมือของ Jobs และ Wozniak Google เกิดจาก Larry Page และ Sergey Brin แม้กระทั่ง genius อย่าง Steve Jobs ก็ต้องอาศัยทีมงานเก่งๆ อีกหลายร้อยคน
2. การต่อยอดแนวคิดเดิม ทุกสิ่งประดิษฐ์สร้างต่อจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว Ada Lovelace สร้างต่อจากเครื่องของ Babbage คอมพิวเตอร์สร้างต่อจากเครื่องคิดเลขเก่า อินเทอร์เน็ตสร้างต่อจากระบบโทรศัพท์ สมาร์ทโฟนรวมคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เข้าด้วยกัน
3. จังหวะเวลาสำคัญมาก หลายเทคโนโลยีถูกค้นพบก่อนที่โลกจะพร้อม tablet computer มีมาตั้งแต่ปี 1990s แต่ประสบความสำเร็จจริงๆ เมื่อ iPad ออกมาในปี 2010 เพราะตอนนั้นอินเทอร์เน็ตเร็วขึ้น แบตเตอรี่ทนนานขึ้น และหน้าจอสัมผัสดีขึ้น
4. การออกแบบสำคัญเท่ากับเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่ดีแต่ใช้ยากจะไม่ประสบความสำเร็จ Apple สำเร็จเพราะทำให้เทคโนโลยีซับซอนเป็นเรื่องง่าย Google สำเร็จเพราะหน้าค้นหาเรียบง่าย Facebook สำเร็จเพราะใช้งานง่ายกว่าเว็บไซต์อื่น
5. ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ Steve Jobs ถูกไล่ออกจาก Apple ก่อนจะกลับมาสร้างสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า หลายบริษัทล้มละลายในช่วง dot-com crash แต่ที่รอดมาได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่
สิ่งที่เราเรียนรู้สำหรับอนาคต
เรื่องราวในหนังสือ The Innovators สอนเราว่าโลกที่เราใช้ทุกวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองเฉยๆ แต่เป็นผลจากความฝัน ความอุตสาหะ และการทำงานหนักของคนหลายร้อยคนในช่วงเกือบ 200 ปี
คนเหล่านี้มีหลายคน เริ่มต้นจากคนธรรมดา Ada Lovelace เป็นแค่ลูกสาวของนักกวี Jobs และ Wozniak เป็นแค่นักศึกษาที่เลิกเรียน Mark Zuckerberg เป็นแค่นักศึกษาในหอพัก แต่พวกเขาทุกคนมีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน คือการมองเห็นอนาคตที่ดีกว่าและพร้อมลงมือทำ
สำหรับเราในวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เตือนใจให้รู้ว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เช่น AI, VR, หรือ blockchain ก็อาจจะเปลี่ยนโลกเช่นเดียวกัน และบางทีคนที่จะเปลี่ยนโลกครั้งต่อไปอาจจะเป็นคุณหรือคนรอบข้างคุณก็ได้
หนังสือเล่มนี้ยังเตือนเราอีกว่า การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืน แต่เป็นผลสะสมของการทำงานหนักหลายปี หลายทศวรรษ และที่สำคัญที่สุด เกิดจากการที่หลายคนร่วมมือกัน ไม่ใช่ฮีโร่คนเดียว
ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจประวัติศาสตร์เทคโนโลยีจะช่วยให้เราเข้าใจปัจจุบันและเตรียมตัวสำหรับอนาคตได้ดีขึ้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่พยายามแก้ปัญหา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ และเชื่อมโยงกันข้ามระยะทางและเวลา
มรดกที่ยังคงสร้างสรรค์
เมื่อเราใช้สมาร์ทโฟนส่งข้อความ เล่นเกม หรือดูวิดีโอ เราคือส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เริ่มต้นจาก Ada Lovelace เมื่อ 180 ปีที่แล้ว ทุกคลิก ทุกการแตะหน้าจอ เป็นการต่อยอดความฝันของนักประดิษฐ์และนวัตกรหลายชั่วอายุคน
Walter Isaacson ได้รวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ไว้ไม่ใช่เพื่อให้เราชื่นชมอดีต แต่เพื่อให้เราเข้าใจว่าอนาคตกำลังสร้างขึ้นทุกวันนี้ด้วยมือของเราทุกคน และสิ่งที่เราทำวันนี้ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่คนรุ่นหลังจะได้อ่านในหนังสือประวัติศาสตร์เทคโนโลยีเล่มต่อไป
เรื่องราวของ The Innovators เตือนเราว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ เช่น “ถ้าเครื่องจักรทำอะไรได้มากกว่าแค่คำนวณเลขจะเป็นอย่างไร?” หรือ “ถ้าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องคุยกันได้จะเป็นอย่างไร?”
คำถามง่ายๆ เหล่านี้เมื่อได้รับการตอบด้วยความอุตสาหะ ความร่วมมือ และการลงมือทำ ก็กลายเป็นโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้
และใครจะรู้ คำถามง่ายๆ ที่คุณกำลังคิดอยู่วันนี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งต่อไปก็ได้
#hrรีพอร์ต
Leave a comment