ใครๆ ก็รู้จักบิล เกตส์ ในฐานะผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง และนักการกุศลที่ใจดี แต่เขาเป็นยังไงตอนเด็กๆ? หนังสือ “Source Code: My Beginnings” ที่ออกมาใหม่นี้ พาเราย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดของอัจฉริยะคนนี้กัน ด้วยการเล่าเรื่องที่จริงใจและน่าสนใจมาก

เด็กแปลกๆ ที่ซีแอตเทิล

บิล เกตส์เกิดเมื่อปี 1955 ที่เมืองซีแอตเทิล ตอนเด็กๆ เขาเป็นเด็กที่แปลกแยกไปจากเด็กคนอื่น แต่ไม่ใช่แบบที่คิด เขาเป็นทั้ง “เนิร์ด” ที่ชอบเล่นกับตัวเลขและเทคโนโลยี แต่ก็เป็นเด็กที่ชอบผจญภัยกลางแจ้งด้วย

เขาชอบไปตั้งแคมป์ เดินป่า และปีนเขาหลายวันติดต่อกัน นี่ไม่ใช่ภาพลักษณ์ของเด็กเนิร์ดทั่วไปเลย แต่บิลเป็นคนที่มีหลายมิติแบบนี้ตั้งแต่เด็ก การผสมผสานระหว่างความชอบเทคโนโลยีกับความรักธรรมชาติอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เขาคิดนอกกรอบได้ในภายหลัง

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดของเด็กบิล คือ ความหลงใหลในการอ่านหนังสือ เขาเล่าว่า “การอ่านในรถ หรือที่ไหนก็ตาม เป็นสิ่งที่ฉันทำตลอดเวลา เมื่อฉันอ่าน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันจะปิดกั้นโลกภายนอก มีแต่ฉันกับหนังสือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ข้างหลังรถ ในงานปาร์ตี้บาร์บีคิว หรือแม้แต่ในโบสถ์”

ลองนึกภาพดูสิ เด็กคนหนึ่งที่สามารถจมอยู่กับหนังสือได้แม้แต่ในโบสถ์ ขณะที่คนอื่นกำลังสวดมนต์ นี่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการมีสมาธิที่เหนือธรรมดาตั้งแต่เด็ก

ครอบครัวที่หล่อหลอมใจ

บิลโชคดีที่เกิดในครอบครัวชั้นกลางที่มีฐานะดี แต่สิ่งสำคัญกว่าเงินทอง คือการได้รับการเลี้ยงดูที่ดี เขาเล่าถึงยายที่ชอบเล่นไพ่และสอนให้เขาเป็นคนมีหลักการ พ่อแม่ที่เข้มงวดแต่รักใคร่ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เขาเรียนรู้

พ่อของเขาเป็นทนายความ แม่เป็นคนที่เข้าร่วมกิจกรรมสังคมมาก ครอบครัวนี้ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการให้กลับคืนสู่สังคม ซึ่งเราเห็นได้ว่าส่งผลต่อการตัดสินใจของบิลในการทำงานการกุศลในภายหลัง

บิลยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรยายถึงสิทธิพิเศษที่ฉันได้รับโดยไม่ต้องทำอะไรได้เกินจริง การเกิดในสหรัฐที่ร่ำรวยเป็นส่วนใหญ่ของลอตเตอรี่ชีวิตที่ชนะ รวมถึงการเกิดเป็นผู้ชายผิวขาว” นี่แสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้ในตัวเองที่ไม่ธรรมดา

การพบกับคอมพิวเตอร์

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตบิลเกิดขึ้นเมื่อเขาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (อายุประมาณ 13 ปี) โรงเรียนของเขาได้ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาให้นักเรียนได้ลองใช้ ในปี 1968 นี่เป็นเรื่องแปลกมาก เพราะคอมพิวเตอร์ยังเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่แพงมาก

เขาได้เรียนรู้ภาษา BASIC (Beginners’ All-purpose Symbolic Instruction Code) ซึ่งเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ง่ายสำหรับมือใหม่ ภาษานี้ใช้คำสั่งอย่าง GOTO, IF, THEN, และ RUN ที่มนุษย์เข้าใจได้

โปรแกรมแรกที่เขาเขียนเป็นเกม tic-tac-toe (เอ็กซ์โอ) เขาเล่าว่า “ความสง่างามของโค้ด 4 บรรทัดนั้นดึงดูดความรู้สึกเรียบร้อยในตัวฉัน การได้คำตอบทันทีเหมือนกับไฟฟ้าดูด”

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาได้เรียนรู้ คือ “คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักรโง่ๆ ที่ฉันต้องบอกทุกขั้นตอนที่มันควรทำ ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เมื่อฉันเขียนโค้ดที่ไม่ชัดเจน คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเดาหรือเข้าใจสิ่งที่ฉันหมายถึงได้”

เขาบอกว่า “ฉันชอบที่คอมพิวเตอร์บังคับให้ฉันคิด มันไม่ยอมรับความไม่เอาใจใส่ทางจิตใจเลย มันต้องการให้ฉันคิดอย่างมีตรรกะและใส่ใจในรายละเอียด”

นี่คือจุดเริ่มต้นของความหลงใหลที่จะเปลี่ยนโลก

เพื่อนรักและความสูญเสีย

ในโรงเรียน บิลได้เจอกับเพื่อนที่จะมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิต คนแรกคือ Kent Evans เพื่อนสนิทที่สุดที่ชื่นชอบธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เหมือนกับบิล พวกเขาสองคนมักจะคุยกันเรื่องอนาคตและความฝันที่จะทำงานร่วมกัน

แต่โชคชาตาเล่นตลก Kent เสียชีวิตจากอุบัติเหตุปีนเขาเมื่ออายุเพียง 17 ปี บิลเล่าว่า “เขาเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด” และเขาไม่สามารถหยุดคิดได้ว่า ถ้า Kent ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะสร้างอะไรร่วมกันแทนที่จะเป็นไมโครซอฟท์

คนที่สองคือ Paul Allen เพื่อนที่โตกว่าและชื่นชอบดนตรีของ Jimi Hendrix พอลเป็นคนที่แนะนำให้บิลลอง “ประสบการณ์ใหม่ๆ” รวมถึงการใช้ LSD ซึ่งบิลได้ลองและได้บทเรียนว่า “อย่าไปหาหมอฟันในเช้าวันถัดจากการใช้ LSD”

พอลจะกลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ในภายหลัง และยังมี Ric Weiland อีกคนที่จะมาเป็นพนักงานคนแรกๆ ของไมโครซอฟท์

การเรียนที่ฮาร์วาร์ดและการตัดสินใจครั้งสำคัญ

บิลเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ใจของเขาไม่ได้อยู่กับการเรียน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นโป๊กเกอร์และคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ คือ ช่วงเดินป่าในฤดูหนาวที่หนักหน่วงในเทือกเขา Olympic เขาใช้เวลาคิดเรื่องการปรับปรุงโค้ดในหัวเพื่อไม่ให้คิดถึงความหนาว ลองนึกภาพดูสิ เดินป่าในหิมะแต่ใจคิดเรื่องโปรแกรม!

ในที่สุด เขาตัดสินใจลาออกจากฮาร์วาร์ดตอนอายุ 20 ปี เพื่อไปร่วมกับพอลในการตั้งบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ ที่เรียกว่า “Micro-soft” (เขียนแยกคำ) ในเมือง Albuquerque รัฐนิวเม็กซิโก

วันแรกของไมโครซอฟท์: ยากจนแต่มีความฝัน

ช่วงแรกของไมโครซอฟท์ไม่ได้หรูหราอย่างที่คิด บริษัทยากจนมากจนต้องยืมเงิน 7,000 เหรียญจากพนักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน ลองนึกภาพดูสิ บริษัทที่จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ เริ่มต้นด้วยการขอยืมเงินจากลูกจ้าง!

แต่บิลและพอลมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน พวกเขาเชื่อว่าคอมพิวเตอร์จะเข้ามาอยู่ในบ้านทุกหลัง และทุกคนจะต้องการซอฟต์แวร์ที่ดี ในสมัยที่คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นแค่เครื่องจักรใหญ่ๆ ในโรงงาน

หนังสือจบด้วยการที่ไมโครซอฟท์ได้ทำข้อตกลงครั้งแรกกับแอปเปิล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตครั้งใหญ่

บทเรียนจากเด็กบิล

อ่านเรื่องราวของบิล เกตส์แล้ว เราจะเห็นว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืน และไม่ได้มาจากความฉลาดเพียงอย่างเดียว

ความอยากรู้อยากเห็น: ตั้งแต่เด็ก บิลมีความกระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ หรือการลองใช้เทคโนโลยีใหม่

การยอมรับความผิดพลาด: เขาไม่กลัวที่จะลองผิดลองถูก ตั้งแต่การเขียนโปรแกรมที่ผิดหลายครั้ง ไปจนถึงการลองใช้ LSD

การเห็นอนาคต: เขาสามารถมองเห็นศักยภาพของคอมพิวเตอร์ในสมัยที่คนอื่นยังไม่เข้าใจ

ความเพียรพยายาม: เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงกับคอมพิวเตอร์ แม้แต่ตอนเดินป่ายังคิดเรื่องโค้ด

การมีเพื่อนที่ดี: มิตรภาพกับพอลและคนอื่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จ

ความกล้าเสี่ยง: การลาออกจากฮาร์วาร์ดเป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่เขาเชื่อในวิสัยทัศน์ของตัวเอง

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ

หนังสือ “Source Code” ไม่ใช่แค่เรื่องราวของคนดัง แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก ในช่วงที่บิลเติบโต โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล และเขาเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนั้น

การที่เขาเล่าเรื่องราวด้วยความจริงใจ ไม่ปิดบังความผิดพลาด และยอมรับถึงสิทธิพิเศษที่ได้รับ ทำให้เราเห็นมุมมองที่สมดุลของความสำเร็จ

นักวิจารณ์หลายคนบอกว่า “การอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนการดูใครสักคนเอาภาพร่างขาวดำที่เราคุ้นเคย แล้วเติมรายละเอียดและระบายสีให้มีชีวิตชีวา”

สิ่งที่รอคอย

“Source Code” เป็นเพียงเล่มแรกของไตรภาค เล่มที่สองจะเล่าเรื่องยุคทองของไมโครซอฟท์ การแข่งขันกับคู่แข่ง และการกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก เล่มที่สามจะเล่าเรื่องการเปลี่ยนมาทำงานการกุศลเต็มเวลา และความพยายามในการแก้ไขปัญหาโลก

สำหรับใครที่อยากรู้ว่าอัจฉริยะเกิดขึ้นได้อย่างไร หรืออยากเข้าใจถึงจุดเริ่มต้นของยุคดิจิทัล หนังสือเล่มนี้เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมันไม่ได้เล่าแค่เรื่องราวของคนคนหนึ่ง แต่เล่าเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อเราทุกคนจนถึงทุกวันนี้

ที่สำคัญ หนังสือเล่มนี้เตือนใจเราว่า แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ก็เคยเป็นเด็กธรรมดาที่กำลังหาทางของตัวเอง และความสำเร็จนั้นมาจากการสะสมของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มากมายในชีวิต

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment