เรื่องราวที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของคุณเรื่องการเรียน

ความเชื่อที่ผิด

เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย มาร์ค เด็กหนุ่มที่ขยันมาก เขาจะเอาไฮไลท์เตอร์สีเหลืองขีดเส้นใต้ในตำราจนแทบทั้งหน้า อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนท่องได้ จดโน้ตเป็นระเบียบสวยงาม แต่พอสอบจริงๆ เขากลับทำได้แย่กว่าเพื่อนที่ดูเหมือนไม่ได้อ่านหนังสือมากนัก

เรื่องราวของมาร์คไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักเรียนนักศึกษานับล้านคนทั่วโลก เราเติบโตมาด้วยความเชื่อที่ผิดพลาดเรื่องการเรียนรู้ คิดว่าการอ่านซ้ำๆ การจดโน้ตเยอะๆ หรือการเรียนมาราธอนก่อนสอบจะทำให้เราเก่งขึ้น

แต่ความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบนั้นตรงกันข้ามเสียอีก หนังสือ “Make It Stick: The Science of Successful Learning” ของ ปีเตอร์ ซี. บราวน์ และทีมงาน ได้เปิดเผยความจริงนี้ผ่านการวิจัยที่มีหลักฐานชัดเจน วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องราวนี้กัน

วิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง

ดร.โรเบิร์ต บยอร์ค นักจิตวิทยาจาก UCLA ได้ทำการทดลองที่น่าสนใจ เขาให้กลุมนักเรียนสองกลุ่มเรียนรายการคำศัพท์ภาษาต่างประเทศ

กลุ่มแรกใช้วิธี “บล็อคกิ้ง” คือเรียนคำศัพท์เรื่องอาหารให้จบก่อน แล้วค่อยเรียนเรื่องสัตว์ ต่อด้วยเรื่องเสื้อผ้า แบบที่เราคุ้นเคย

กลุ่มที่สองใช้วิธี “อินเตอร์ลีฟวิ่ง” คือสลับเรียนไปมาระหว่างเรื่องอาหาร สัตว์ และเสื้อผ้า อย่างไม่เป็นระเบียบ

ผลปรากฏว่ากลุ่มที่สองสามารถจำได้ดีกว่าและใช้คำศัพท์ได้ถูกต้องกว่าถึง 40% เหตุผลก็คือสมองต้องทำงานหนักขึ้นในการแยกแยะและเชื่อมโยงความรู้ ทำให้ความจำแน่นกว่า

การทดสอบตัวเอง (Testing Effect)

ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเรียนประวัติศาสตร์ไทยเรื่องรัชกาลที่ 5 วิธีเดิมๆ คือเปิดหนังสืออ่านเรื่องการปฏิรูปต่างๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่วิธีใหม่คืออ่านหนึ่งรอบแล้วปิดหนังสือ แล้วลองเล่าให้ตัวเองฟังว่า “รัชกาลที่ 5 ทำอะไรบ้างนะ?”

ตอนแรกคุณอาจนึกไม่ออก หรือจำได้แค่บางเรื่อง แต่นั่นแหละคือจุดสำคัญ การบังคับให้สมอง “ดึง” ความรู้ออกมาจะเสริมสร้างเส้นทางการเชื่อมต่อในสมองให้แข็งแรงขึ้น

นายแพทย์ศิรินทร์ หมอหนุ่มที่จบเกียรตินิยมจาก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่าตอนเรียนเขาไม่เคยอ่านตำราซ้ำๆ แต่จะอ่านหนึ่งรอบแล้วปิดหนังสือ ลองอธิบายให้เพื่อนฟัง หรือเขียนสรุปด้วยคำพูดของตัวเอง

“ตอนแรกผมอธิบายได้แย่มาก พูดไม่รู้เรื่อง แต่ยิ่งทำบ่อยๆ ยิ่งดีขึ้น และที่สำคัญคือพอไปสอบจริงๆ ความรู้มันติดแน่นในหัว ไม่ใช่แค่จำชั่วคราว”

การวิจัยพบว่าการทดสอบตัวเองนี้ดีกว่าการอ่านซ้ำถึง 50% และผลยาวนานกว่าด้วย

การเว้นระยะ (Spaced Practice)

เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงจำเพลงที่ฟังในวิทยุซ้ำๆ ได้นานกว่าเนื้อเพลงที่ฟังมาราธอนก่อนสอบร้องไมค์?

คำตอบอยู่ที่ “การเว้นระยะ” เมื่อเราฟังเพลงในวิทยุ เราได้ยินทีละหน่อยๆ หลายครั้งตลอดหลายวัน แต่การท่องเนื้อเพลงก่อนสอบร้องไมค์เป็นการยัดเยียดในช่วงเวลาสั้นๆ

นักเรียนชื่อแป้ง เด็กมัธยมปลายที่เตรียมตัวสอบ PAT คณิต เธอเปลี่ยนจากการนั่งทำโจทย์ยาวๆ วันละ 5-6 ชั่วโมง เป็นทำวันละ 1 ชั่วโมง แต่ทำทุกวัน

“ตอนแรกผมคิดว่าทำน้อยจังเลย แต่พอผ่านไปสองสัปดาห์ ผมพบว่าโจทย์ที่ทำเมื่อวานยังจำได้ ไม่ใช่แค่โจทย์ที่ทำวันนี้เท่านั้น” แป้งเล่า

เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ก็คือ เมื่อเราเว้นระยะ สมองจะได้เวลา “จัดระเบียบ” ความรู้ ย้ายจากความจำระยะสั้นไปเก็บในความจำระยะยาว และเมื่อเราต้องดึงความรู้นั้นออกมาใหม่ เส้นทางการเชื่อมต่อก็จะแข็งแรงขึ้น

การเรียนปนๆ กัน (Interleaving)

ลองนึกภาพนักกีฬาเทนนิส สองคน คนแรกซ้อมแต่ลูกบอลมาทางขวา 100 ลูก แล้วค่อยซ้อมลูกบอลมาทางซ้าย 100 ลูก คนที่สองซ้อมลูกบอลมาทางขวา 10 ลูก แล้วสลับไปทางซ้าย 10 ลูก สลับไปมาแบบนี้

คนแรกจะซ้อมได้ดูดีกว่า เพราะเขาจะตีได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเซสชั่น แต่คนที่สองจะเล่นได้ดีกว่าในระยะยาว เพราะเขาได้ฝึกการปรับตัวตลอดเวลา

สิ่งนี้เรียกว่า “อินเตอร์ลีฟวิ่ง” หรือการเรียนปนๆ กัน

อาจารย์สมชาย ครูคณิตศาสตร์ประสบการณ์ 15 ปี ได้ทดลองสอนแบบนี้กับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 แทนที่จะสอนเรื่องเศษส่วนให้จบก่อนแล้วค่อยสอนทศนิยม เขาสลับไปมาระหว่างสองเรื่องนี้

“ตอนแรกนักเรียนบ่นว่าวุ่นวาย เพราะทำเศษส่วนได้แล้ว ต้องมาทำทศนิยม แล้วกลับไปทำเศษส่วนอีก แต่พอสอบกลางภาค พบว่านักเรียนที่เรียนแบบนี้ทำได้ดีกว่าชั้นที่เรียนแบบเดิม และที่สำคัญ พอถึงเทอมหลังยังจำได้อีกด้วย”

เรื่องของนักบิน

จอห์น ครูฝึกนักบินรบของกองทัพอเมริกา เล่าประสบการณ์ที่น่าสนใจ ในอดีต การฝึกนักบินจะเป็นแบบ “บล็อค” คือฝึกการบินขึ้นลงให้เชี่ยวชาญก่อน แล้วค่อยฝึกการบินในสภาพอากาศเลวร้าย แล้วค่อยฝึกการรบ

แต่หลังจากเปลี่यนเป็นการฝึกแบบ “อินเตอร์ลีฟ” คือในวันเดียวอาจฝึกการบินขึ้นลงสักพัก แล้วเปลี่ยนไปฝึกในสภาพอากาศเลวร้าย แล้วจบด้วยการฝึกรบเล็กน้อย

ผลปรากฏว่านักบินที่ฝึกแบบใหม่สามารถปรับตัวในสถานการณ์จริงได้ดีกว่ามาก เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตลอดเวลา

“ในสงครามจริง ไม่มีใครรู้ว่าจะเจออะไร อาจต้องบินหนีจากการไล่ล่า แล้วในชั่วพริบตาต้องลงจอดฉุกเฉิน แล้วในนาทีต่อมาต้องกลับไปรบอีก นักบินที่ฝึกแบบเก่าจะปรับตัวได้ช้า แต่นักบินที่ฝึกแบบใหม่จะปรับตัวได้เร็วกว่า”

ความผิดพลาดที่ทุกคนทำ

ความรู้สึกหลอกลวง

เรารู้สึกว่าเราเรียนรู้ได้ดีเมื่อเราอ่านหนังสือแล้ว “เข้าใจ” หรือเมื่อครูสอนแล้วเรา “เก็ตได้” แต่ความจริงคือ ความเข้าใจชั่วขณะนี้ไม่เท่ากับความรู้ที่ติดแน่น

เหมือนกับที่เราดูคนอื่นเล่นกีฬาแล้วคิดว่าเราเล่นได้ แต่พอลงไปเล่นจริงๆ ถึงรู้ว่าไม่ใช่อย่างนั้น

ความสบายหลอกลวง

วิธีการเรียนที่มีประสิทธิภาพจริงๆ มักจะทำให้เรารู้สึก “ยาก” และ “ไม่สบาย” ในช่วงแรก เพราะสมองต้องทำงานหนักกว่าเดิม

นักเรียนหลายคนจึงเลือกวิธีที่ทำให้รู้สึกง่าย เช่น การอ่านซ้ำๆ หรือการดูโน้ตเก่า เพราะมันทำให้รู้สึกว่าเรา “รู้” แล้ว แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงความรู้สึกหลอกลวง

เรื่องของนักแสดงอาชีพ

ลิซ่า นักแสดงละครเวทีที่ประสบความสำเร็จ เล่าว่าแต่ก่อนเธอจะท่องบทโดยการอ่านซ้ำๆ จนขึ้นใจ แต่เมื่อขึ้นเวทีจริงๆ มักจะลืมบทในช่วงเวลาสำคัญ

หลังจากเปลี่ยนวิธี โดยอ่านบทหนึ่งรอบแล้วลองแสดงดู โดยไม่ดูสคริปต์ ถึงแม้จะผิดพลาดบ่อยๆ ในช่วงแรก แต่ในที่สุดเธอสามารถจำบทได้แม่นยำและใช้อารมณ์ได้ดีกว่าเดิมมาก

“การที่ฉันต้องดิ้นรนหาบทในหัว ทำให้ฉันต้องเข้าใจตัวละครลึกขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ท่องจำแบบเดิมๆ”

การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง

สำหรับนักเรียนนักศึกษา

แทนที่จะอ่านหนังสือบทเดียวยาวๆ ลองแบ่งเวลาเรียนออกเป็นช่วงๆ และสลับวิชา

ตัวอย่าง: อ่านฟิสิกส์ 30 นาที หยุด 10 นาที เปลี่ยนไปทำเคมี 30 นาที หยุด 10 นาที เปลี่ยนไปเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ 30 นาที

อย่าลืมปิดหนังสือแล้วลองเล่าสิ่งที่เรียนมาให้ตัวเองฟัง หรือลองอธิบายให้เพื่อนฟัง

สำหรับคนทำงาน

ถ้าต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ในการทำงาน อย่าฝึกแค่สิ่งเดียวยาวๆ แต่ให้สลับฝึกหลายอย่าง

ตัวอย่าง: ถ้าเรียน Excel ไม่ต้องเรียน SUM Function ให้เชี่ยวชาญก่อน แต่ลองเรียนหลายๆ Function สลับไปมา เช่น SUM สักพัก แล้วลอง VLOOKUP บ้าง แล้วกลับไปฝึก SUM อีก

สำหรับครูอาจารย์

ลองเปลี่ยนการสอนจากแบบเก่าที่สอนเรื่องหนึ่งให้จบก่อน มาเป็นการสอนหลายเรื่องสลับกัน

และที่สำคัญ ให้นักเรียนได้ฝึกเรียกความรู้ออกมาใช้บ่อยๆ ไม่ใช่แค่รับฟังอย่างเดียว

อุปสรรคที่ต้องเผชิญ

ความไม่สบายใจ

วิธีการใหม่เหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกยากขึ้นในช่วงแรก เพราะเราต้องดิ้นรนมากกว่าเดิม แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เราเก่งขึ้นจริงๆ

ผลที่มาช้า

ผลของการเรียนแบบใหม่นี้จะไม่ปรากฏทันที แต่จะเห็นในระยะยาว ต่างจากการอ่านซ้ำๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเก่งขึ้นทันที แต่จริงๆ แล้วเป็นความรู้สึกชั่วคราว

การต่อต้านจากสิ่งแวดล้อม

หลายครั้งเพื่อนๆ หรือคนรอบข้างอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทำให้ตัวเองลำบาก “ทำไมไม่อ่านหนังสือซ้ำๆ แบบเดิม ง่ายกว่าไม่ใช่เหรอ?”

บทเรียนสำคัญ

การเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องการความอดทน ความพยายาม และการยอมรับว่าเราต้องรู้สึกไม่สบายบ้างในช่วงแรก

แต่เมื่อเราผ่านช่วงยากๆ ไปได้ เราจะพบว่าความรู้ที่เราได้มานั้นแน่นกว่า ลึกกว่า และใช้ได้จริงกว่าความรู้ที่ได้มาแบบง่ายๆ

เหมือนกับการออกกำลังกาย ถ้าเราออกแค่พอไม่เมื่อย เราก็จะไม่ได้กล้ามเนื้อ แต่ถ้าเราออกจนรู้สึกเมื่อยนิดหน่อย กล้ามเนื้อของเราจะแข็งแรงขึ้น

สมองก็เหมือนกัน ถ้าเราบังคับให้มันทำงานหนักขึ้นนิดหน่อย มันจะแข็งแรงขึ้น และเราจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น

ลองเริ่มเปลี่ยนวิธีการเรียนดูสักครั้ง แทนที่จะอ่านซ้ำๆ ลองปิดหนังสือแล้วเล่าให้ตัวเองฟัง แทนที่จะเรียนมาราธอน ลองเรียนทีละน้อยแต่ต่อเนื่อง แทนที่จะเรียนทีละเรื่องให้จบ ลองเรียนหลายเรื่องสลับกัน

อาจจะรู้สึกแปลกๆ หรือยากขึ้นในช่วงแรก แต่เชื่อเถอะ สมองของเราจะขอบคุณเราในภายหลัง

สรุป

หนังสือ “Make It Stick” ไม่ได้แค่บอกเราว่าวิธีการเรียนแบบเก่าไม่ดี แต่ยังให้วิธีการใหม่ที่ดีกว่า พร้อมด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน

การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องอาศัย:

  • การทดสอบตัวเอง แทนการอ่านซ้ำ
  • การเว้นระยะ แทนการเรียนมาราธอน
  • การเรียนปนๆ กัน แทนการเรียนทีละเรื่อง

และที่สำคัญที่สุด ต้องยอมรับว่าการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจริงๆ จะรู้สึกยากกว่าเดิม แต่นั่นแหละคือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อความรู้ที่แท้จริง

อย่าเรียนเพื่อให้รู้สึกดี แต่ให้เรียนเพื่อให้รู้จริง

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment