บทความสรุปจากหนังสือ “The 5AM Club: Own Your Morning. Elevate Your Life.” โดย Robin Sharma
จุดเริ่มต้น
ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้หญิงที่มีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตอบอีเมลถึงดึกดื่น ตื่นมาทุกเช้าก็รีบเปิดโทรศัพท์ดูข่าวสารก่อนอื่น แล้วก็วิ่งไปทำงาน ชีวิตเร่งรีบ แต่ไม่แน่ใจว่ากำลังไปไหน
หรือลองคิดว่าคุณเป็นศิลปินหนุ่มที่มีความฝันใหญ่ แต่ก็ยังติดอยู่กับชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อ ตื่นมาสาย เสียเวลาเช้าไปกับการปวดหัวจากคืนก่อน ทำงานไม่มีแรงจูงใจ รู้สึกเหมือนชีวิตไม่ได้ไปไหน
นี่คือเรื่องราวของตัวละครหลักสองคนในหนังสือ “The 5AM Club” ที่ Robin Sharma นำเสนออย่างลงตัว ผ่านการผสมผสานระหว่างนิยายกับหนังสือพัฒนาตนเอง
การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากเจอใครบางคน
วันหนึ่ง ทั้งสองคนนี้ไปฟังบรรยายของนักเขียนมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในงานบรรยายนั้น เขาพูดถึงความสำคัญของการตื่นเช้า และวิธีที่มันเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา แต่แล้วเกิดเหตุการณ์แปลกๆ นักเขียนคนนี้หายตัวไปอย่างลึกลับ!
พอทั้งคู่กำลังงงๆ กับสถานการณ์ ก็มีชายแก่ผิวดำอายุ 70 กว่า สวมเสื้อยืดติดคำว่า “Spellbinder” เดินเข้ามาหา เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นคนเดียวกับนักเขียนที่เพิ่งหายไป และเขามีข้อเสนอพิเศษ
“ถ้าพวกคุณอยากเรียนรู้ความลับของ The 5AM Club จริงๆ มาเที่ยวกับผมที่หมู่เกาะมอริเชียสสิ ผมจะสอนให้ฟรี แต่มีเงื่อนไขเดียว คือต้องตื่น 5 โมงเช้าทุกวัน”
การเดินทางสู่เกาะแห่งการเรียนรู้
หลังจากไตร่ตรองกันอยู่นาน ทั้งคู่ตัดสินใจรับข้อเสนอนี้ พวกเขาบินไปยังมอริเชียส เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรอินเดีย ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม
ที่นั่นพวกเขาได้พบกับ “ผู้ปรับโครงสร้าง” หรือ “The Entrepreneur” ชายผู้เป็นเจ้าของความมั่งคั่งมหาศาล แต่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่อวด ไม่โอ่ เขาเป็นคนที่ได้รับการสอนจากคุณปู่ลึกลับมาก่อน และตอนนี้กลายเป็นคนรวยที่สุดในโลก
ผู้ปรับโครงสร้างบอกกับพวกเขาว่า “ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เงินในธนาคาร แต่อยู่ที่การมีเวลาเป็นของตัวเอง การมีสุขภาพที่ดี การมีคนที่รัก และการทำสิ่งที่มีความหมาย”
หัวใจของ The 5AM Club: สูตร 20/20/20
หลักการสำคัญที่สุดของ The 5AM Club คือการใช้ชั่วโมงแรกหลังตื่น (5:00-6:00 น.) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยสูตร 20/20/20
ช่วงที่ 1: Move (5:00-5:20) – เคลื่อนไหวให้เหงื่อออก
นาทีแรกหลังตื่น อย่าเพิ่งจับโทรศัพท์ อย่าเพิ่งดูข่าว แต่ให้ออกกำลังกายให้เหงื่อออกเลย
ตัวอย่างกิจกรรม:
- วิ่งรอบบ้าน 15-20 นาที
- วิดพื้น ซิทอัพ สควอท
- ยกน้ำหนัก
- ร่ายรำ หรือเต้นตามเพลง
- โยคะแบบเข้มข้น
ทำไมต้องออกกำลังกายก่อน? เพราะเมื่อเราออกกำลังกายแรงๆ ร่างกายจะหลั่งสารเคมีดีๆ เช่น:
- โดปามีน ทำให้มีแรงจูงใจ อยากทำสิ่งต่างๆ
- เซโรโทนิน ทำให้อารมณ์ดี มีความสุข
- Endorphin ช่วยลดความเจ็บปวด เพิ่มความรู้สึกดี
- BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ช่วยให้สมองเรียนรู้เร็วขึ้น
คิดง่ายๆ ว่าการออกกำลังกายเหมือนการกินยาอารมณ์ดีธรรมชาติ ที่จะทำให้เรามีพลังงานและความมั่นใจตลอดทั้งวัน
ช่วงที่ 2: Reflect (5:20-5:40) – ใคร่ครวญและไตร่ตรอง
หลังจากร่างกายอุ่นเครื่องแล้ว ต่อมาคือการอุ่นเครื่องให้กับจิตใจ ช่วงนี้เป็นเวลาที่เราหันมาคุยกับตัวเอง
กิจกรรมที่ทำได้:
- ทำสมาธิ นั่งเงียบๆ สูดหายใจลึกๆ
- เขียน diary เขียนความรู้สึก ความคิด สิ่งที่รู้สึกขอบคุณ
- ตั้งเป้าหมายวันนี้ ว่าอยากให้วันนี้เป็นยังไง
- อธิษฐาน หรือภาวนา ตามความเชื่อของแต่ละคน
- วางแผนวัน คิดว่าจะทำอะไรบ้างให้ตัวเองภูมิใจ
ตัวอย่างการเขียน diary: “วันนี้ผมขอบคุณที่มีครอบครัวที่รักใคร่กัน มีงานที่ทำ มีสุขภาพที่ดี วันนี้ผมจะทำงานอย่างเต็มที่ แต่จะไม่ลืมใส่ใจคนที่รัก และจะหาเวลาออกกำลังกายเย็น”
การทำกิจกรรมนี้ช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ รู้จักตัวเองมากขึ้น และมีความชัดเจนในสิ่งที่อยากทำ
ช่วงที่ 3: Grow (5:40-6:00) – เติบโตและเรียนรู้
ช่วงสุดท้ายคือการป้อนอาหารให้กับสมอง ด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ตัวอย่างกิจกรรม:
- อ่านหนังสือ ที่เกี่ยวกับงาน ความสนใจส่วนตัว หรือการพัฒนาตนเอง
- ฟังพอดแคสต์ เรื่องความรู้ต่างๆ
- ดูคอร์สออนไลน์ บน YouTube, Coursera, หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ
- เรียนภาษาใหม่ ผ่านแอปต่างๆ
- ฝึกทักษะใหม่ เช่น เขียนโปรแกรม เล่นดนตรี วาดรูป
ผู้ประกอบการในเรื่องใช้เวลานี้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการบริหารงาน และภาวะผู้นำ ส่วนศิลปินใช้เวลาศึกษาเทคนิคศิลปะใหม่ๆ และอ่านชีวประวัติของศิลปินที่เขาชื่นชอบ
เป้าหมายคือให้เราเติบโตขึ้นเล็กน้อยทุกวัน ถ้าทำต่อเนื่อง 365 วัน เราจะมีความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย
เบื้องหลังชั่วโมงทอง
คุณครูอธิบายว่า ช่วงเวลา 5-6 โมงเช้าเป็น “Victory Hour” หรือชั่วโมงแห่งชัยชนะ เพราะหลายเหตุผล:
ด้านร่างกาย
- ระดับคอร์ติซอล (Cortisol) สูงสุด ทำให้ร่างกายตื่นตัว พร้อมเผชิญสิ่งต่างๆ
- อุณหภูมิร่างกายต่ำสุด ทำให้สมองเย็นและใส
- ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้สมองต้องใช้ ketone เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้คิดแจ่มใสกว่าปกติ
ด้านจิตใจ
- ไม่มีสิ่งรบกวน โทรศัพท์ไม่ดัง อีเมลไม่เข้า คนอื่นยังไม่ตื่น
- พลังจิตแน่วแฟ้น ยังไม่เหนื่อยล้าจากการทำงาน
- ความคิดสร้างสรรค์สูงสุด สมองยังสดใส ไม่มีความคิดอื่นเข้ามาแทรกแซง
ตัวอย่างเปรียบเทียบ: ถ้าสมองเป็นคอมพิวเตอร์ ตอนเช้าจะเหมือนเครื่องที่เพิ่งเปิดใหม่ RAM เปล่า ทำงานเร็วมาก แต่พอใช้ไปทั้งวัน ก็จะมีโปรแกรมเยอะขึ้น ทำงานช้าลง
กฎ 66 วัน
คุณครูอธิบายว่า การสร้างนิสัยใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย สมองเราจะต่อต้าน เพราะคุ้นเคยกับการทำแบบเดิม แต่ถ้าอดทนผ่านไป 66 วัน นิสัยใหม่จะฝังลึกลงไปในสมอง
ระยะที่ 1: Destruction (วันที่ 1-22) – การรื้อถอน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากที่สุด สมองจะขัดขืนอย่างหนัก อยากลุกกลับไปนอนต่อ อยากเปิดโทรศัพท์ดูโซเชียลมีเดีย
ผู้ประกอบการในเรื่องเล่าว่า “สัปดาห์แรกนี่แย่มาก ตื่นมาก็ง่วงเหงาหาวนอน ออกกำลังกายก็เหนื่อย ทำสมาธิก็คิดฟุ้งซ่าน อ่านหนังสือก็ไม่เข้าใจ แต่พอดีมีเพื่อนอยู่ด้วย เลยอดทนได้”
ระยะที่ 2: Installation (วันที่ 23-44) – การติดตั้ง
เริ่มคุ้นเคยกับรูปแบบใหม่ แม้ยังไม่ชิน แต่ก็ทำได้ง่ายขึ้น เริ่มเห็นผลดีๆ เล็กน้อย
ศิลปินเล่าว่า “ช่วงนี้เริ่มสนุกแล้ว ตื่นมาไม่ปวดหัวเหมือนก่อน ออกกำลังกายแล้วรู้สึกมีพลัง อ่านหนังสือจบได้ทั้งเล่ม งานศิลปะที่ทำตอนเช้าออกมาดีกว่าปกติ”
ระยะที่ 3: Integration (วันที่ 45-66) – การรวมเป็นหนึ่ง
นิสัยใหม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องฝืนใจ
หลังจาก 66 วัน ผู้ประกอบการบอกว่า “ตอนนี้ถ้าไม่ได้ตื่น 5 โมง รู้สึกแปลกๆ เหมือนขาดอะไรไป วันไหนที่ตื่นสาย ทั้งวันทำอะไรก็ไม่ค่อยคล่อง”
Twin Cycle of Elite Performance
นอกจากการตื่นเช้าแล้ว คุณครูยังสอนเรื่องการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยหลัก “Twin Cycle of Elite Performance”
รอบที่ 1: High Excellence Cycle (รอบความเป็นเลิศ)
- ทำงานเต็มที่ 90 นาที โดยไม่ดูโทรศัพท์ ไม่เช็คอีเมล ไม่คุยกับใคร
- พักผ่อน 20 นาที เดิน ดื่มน้ำ คุยกับเพื่อนร่วมงาน หรือฟังเพลง
รอบที่ 2: Deep Recovery Cycle (รอบการพักผ่อนอย่างลึก)
- ทำงานต่ออีก 90 นาที ด้วยพลังงานที่ฟื้นคืนมา
- พักยาว 2-3 ชั่วโมง ทานอาหาร พบปะเพื่อน ออกกำลังกาย
เหตุผลง่ายๆ คือ สมองเราไม่ได้สร้างมาให้ทำงานติดต่อกันยาวๆ เหมือนนักกีฬาระดับโอลิมปิก จะวิ่งเร็วมากในระยะสั้น แล้วพักให้ร่างกายฟื้นตัว แทนที่จะวิ่งช้าๆ ยาวๆ ตลอดเวลา
ตัวอย่างจากชีวิตจริง: นักเขียนระดับโลกหลายคน เช่น Stephen King เขาเขียนหนังสือตอนเช้าเพียง 2-3 ชั่วโมง แต่เขียนด้วยสมาธิเต็มที่ แล้วที่เหลือของวันจะพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมอื่น
สี่มิติของชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
คุณครูอธิบายว่า การพัฒนาตัวเองต้องครอบคลุม 4 ด้าน:
1. Mindset (ความคิด)
เปลี่ยนความคิดจากแง่ลบเป็นแง่บวก จากการกลัวล้มเหลวเป็นการอยากลองของใหม่
ตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่า “ผมคงทำไม่ได้หรอก” ให้เปลี่ยนเป็น “ผมจะลองดู ถ้าทำไม่ได้ก็ยังได้เรียนรู้อะไรใหม่”
2. Heartset (หัวใจ)
ควบคุมอารมณ์ มีความเห็นใจตัวเองและคนอื่น รักในสิ่งที่ทำ
ตัวอย่าง: เมื่อเจอปัญหาในงาน แทนที่จะโกรธหรือหงุดหงิด ให้ถามตัวเองว่า “เรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง?” หรือ “จะทำยังไงให้ครั้งหน้าดีกว่านี้?”
3. Healthset (สุขภาพ)
ดูแลร่างกายให้แข็งแรง กิน นอน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่าง:
- นอนก่อน 22.00 น. เพื่อให้ได้นอน 7-8 ชั่วโมง
- กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดขนมหวาน อาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที
4. Soulset (จิตวิญญาณ)
มีจุดหมายในชีวิต ทำสิ่งที่มีความหมาย ช่วยเหลือคนอื่น
ตัวอย่าง: นักขายคนหนึ่งเปลี่ยนมุมมองจาก “ผมขายของเพื่อเงิน” เป็น “ผมช่วยลูกค้าแก้ปัญหาด้วยสินค้าที่ดี” ทำให้เขาขายได้ดีขึ้น และมีความสุขกับงานมากขึ้น
หลักการ 10 ข้อของ The 5AM Club
คุณครูสรุปหลักการสำคัญไว้ 10 ข้อ:
1. ชั่วโมงชัยชนะ (Victory Hour)
เวลา 5-6 โมงเช้า คือเวลาที่คนประสบความสำเร็จใช้พัฒนาตนเอง ไม่ใช่เวลาที่ใช้รับข่าวสารจากภายนอก
2. สูตร 20/20/20 ไม่มีข้อยกเว้น
ต้องทำครบทั้ง 3 ช่วง ถ้าขาดช่วงไหนไป ประสิทธิภาพจะลดลง เหมือนเก้าอี้ 3 ขา ขาดขาเดียวก็ล้ม
3. คุณคือผู้เขียนบทชีวิต
อย่าให้คนอื่น ข่าวสาร หรือสภาพแวดล้อมมาเป็นคนกำหนดอารมณ์และทิศทางชีวิตคุณ
4. เทคโนโลยีคือเครื่องมือ ไม่ใช่นาย
ใช้มือถือและอินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะถูกมันควบคุม
ตัวอย่าง: แทนที่จะเปิดโซเชียลมีเดียทันทีที่ตื่น ให้ใช้โทรศัพท์เล่นเพลงออกกำลังกาย หรือเปิดแอปทำสมาธิ
5. ออกจาก Comfort Zone เป็นประจำ
ทำสิ่งที่ยากขึ้นเล็กน้อยทุกวัน เพื่อขยายขีดความสามารถ
ตัวอย่าง: ถ้าเคยวิ่ง 2 กิโล ลองเพิ่มเป็น 2.2 กิโล ถ้าเคยอ่านหนังสือ 10 หน้า ลองเพิ่มเป็น 12 หน้า
6. การเติบโตเล็กน้อยทุกวัน = ความยิ่งใหญ่ระยะยาว
ผลบวกเพียง 1% ทุกวัน ใน 1 ปีจะได้ผลรวม 37 เท่า!
7. ช่วง 5-6 โมงเช้าเป็นเวลาศักดิ์สิทธิ์
อย่าให้ใครมาแทรกแซง ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ นี่คือเวลาที่ให้ตัวเอง
8. การออกกำลังกายเปลี่ยนทุกอย่าง
ไม่ใช่แค่รูปร่าง แต่เปลี่ยนสมอง อารมณ์ และพลังงานทั้งวัน
9. คบคนดี ตัดคนแย่ๆ
ใช้เวลากับคนที่สนับสนุนเราเติบโต ไม่ใช่คนที่ดึงเราลง
10. ชีวิตมันสั้น ทำในสิ่งที่รัก
อย่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง
หลังจากที่ตัวละครทั้งสองฝึกเป็น 5AM Club มา 66 วัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นน่าทึ่งมาก:
ผู้ประกอบการ:
- ประสิทธิภาพงานเพิ่มขึ้น 300% ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลมากกว่า
- บริษัทเติบโต เพราะเธอคิดแผนใหม่ๆ ได้ดีขึ้น
- มีเวลาให้ครอบครัว เพราะจัดการเวลาได้ดีขึ้น
- สุขภาพดีขึ้น น้ำหนักลด หน้าตาใสขึ้น
ศิลปิน:
- งานศิลปะระดับใหม่ เริ่มมีคนสนใจและซื้อผลงาน
- รายได้เพิ่มขึ้น 500% จากการขายงานศิลปะและรับงานสอน
- ความมั่นใจสูงขึ้น กล้าแสดงผลงานและพูดกับคนอื่น
- ความรักแท้ เจอกับผู้ประกอบการหญิงและเริ่มคบหากัน
ความลับสุดท้าย
ในวันสุดท้ายที่เกาะมอริเชียส คุณครูเผยความลับที่ทำให้ทุกคนตกใจ เขาไม่ได้เกิดมาร่ำรวย แต่เคยเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต
“20 ปีที่แล้ว ผมเป็นแค่พนักงานธนาคารธรรมดา มีหนี้เยอะ ภรรยาทิ้งไป ลูกไม่พูดด้วย สุขภาพแย่ รู้สึกเหมือนชีวิตจบแล้ว แต่แล้วผมก็ไปเจอกับคุณปู่ Spellbinder คนเดิม ที่สอนให้ผมรู้จัก The 5AM Club”
เขาเล่าต่อว่า หลังจากฝึกเป็น 5AM Club มา 2 ปี เขาเริ่มคิดค้นธุรกิจใหม่ เขียนหนังสือ สร้างคอร์สออนไลน์ กลายเป็นเศรษฐีภายใน 5 ปี และที่สำคัญคือ เขาสามารถซ่อมแซมความสัมพันธ์กับครอบครัวได้
“ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่เงินในบัญชี แต่คือการได้ใช้ชีวิตตามศักยภาพเต็มที่ การได้ช่วยเหลือคนอื่น และการมีความสุขในทุกๆ วัน”
เคล็ดลับการเป็น 5AM Club ให้สำเร็จ
จากประสบการณ์ของตัวละครและคำแนะนำของคุณครู นี่คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเป็น 5AM Club ได้สำเร็จ:
สัปดาห์ที่ 1-2: การเตรียมตัว
- เริ่มนอนก่อน 22.00 น. เพื่อให้ได้นอน 7 ชั่วโมงเต็ม
- ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ห่างจากเตียง ต้องลุกไปปิด ไม่ให้ กดснooze
- เตรียมอุปกรณ์ออกกำลังกายไว้ข้างเตียง ชุดออกกำลังกาย รองเท้า เสื่อโยคะ
- บอกคนใกล้ชิด ให้พวกเขาช่วยสนับสนุนหรือร่วมทำด้วย
สัปดาห์ที่ 3-4: การปรับตัว
- อย่าเปิดโทรศัพท์เด็ดขาด จนกว่าจะทำครบ 1 ชั่วโมง
- ถ้าทำไม่ครบ 20 นาที ทำ 10 นาทีก็ได้ สำคัญคือต้องทำทุกวัน
- หาเพื่อนร่วมทำ จะช่วยให้อดทนได้มากขึ้น
- บันทึกความรู้สึกทุกวัน ดูว่าวันไหนดี วันไหนแย่ เพื่อปรับปรุง
สัปดาห์ที่ 5-8: การสร้างสมดุล
- ปรับกิจกรรมให้เหมาะกับตัวเอง ถ้าไม่ชอบวิ่ง อาจเปลี่ยนเป็นเต้นรำ ถ้าไม่ชอบทำสมาธิ อาจเปลี่ยนเป็นเขียน diary
- ทำตามความสามารถ วันไหนป่วยหรือเหนื่อยมาก อาจลดเหลือ 15 นาทีแทน 20 นาที
- ให้รางวัลตัวเอง ทำได้ 1 สัปดาห์เต็ม ให้รางวัลเล็กๆ เช่น ซื้อหนังสือใหม่ ดูหนัง
สัปดาห์ที่ 9+: การพัฒนาต่อ
- เพิ่มความยาก เมื่อร่างกายคุ้นเคยแล้ว ลองเพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกาย
- หลากหลายกิจกรรม เปลี่ยนประเภทการออกกำลังกาย หนังสือที่อ่าน เพื่อไม่ให้เบื่อ
- ขยายผลไปช่วงอื่น นำหลักการมาใช้กับเวลาอื่นในวัน เช่น ช่วงพักเที่ยงเป็นเวลาทำสมาธิ
อุปสรรคที่พบบ่อยและวิธีแก้
อุปสรรคที่ 1: ตื่นไม่ได้
วิธีแก้:
- นอนก่อน 22.00 น. เสมอ
- ไม่ดูมือถือก่อนนอน 1 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำเยอะๆ ก่อนนอน จะได้ตื่นไปเข้าห้องน้ำ
- ใช้แอปควบคุมการนอน เช่น Sleep Cycle
อุปสรรคที่ 2: ไม่มีแรงจูงใจ
วิธีแก้:
- จดบันทึกผลดีที่เกิดขึ้น เช่น อารมณ์ดีขึ้น ผิวใสขึ้น ทำงานมีสมาธิมากขึ้น
- หาเพื่อนร่วมทำ หรือแชร์ความก้าวหน้าในโซเชียลมีเดีย
- ดูตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เช่น Tim Cook (CEO Apple), Richard Branson, Michelle Obama
อุปสรรคที่ 3: ไม่มีเวลา
วิธีแก้:
- ลองดูว่าคุณใช้เวลากับอะไรบ้างจริงๆ ในแต่ละวัน
- ลดเวลาดูทีวี เล่นเกม เลื่อนโซเชียลมีเดีย
- คิดว่า 1 ชั่วโมงที่ลงทุนตอนเช้า จะทำให้ได้เวลาคืนมา 2-3 ชั่วโมงจากการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
อุปสรรคที่ 4: คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนตื่นเช้า
วิธีแก้:
- ลืมความเชื่อเดิมๆ ไป ทุกคนปรับตัวได้
- เริ่มจากการตื่นเร็วขึ้น 15 นาทีต่อสัปดาห์ จนกว่าจะถึง 5 โมง
- คิดว่าคุณกำลังสร้างตัวตนใหม่ ไม่ใช่ฝืนธรรมชาติ
ผลลัพธ์ระยะยาวที่คาดหวังได้
หากคุณทำ The 5AM Club อย่างสม่ำเสมอ นี่คือสิ่งที่คุณจะได้รับ:
เดือนที่ 1:
- พลังงานเพิ่มขึ้นตลอดวัน
- นอนหลับสนิทขึ้น
- อารมณ์ดีขึ้น เครียดน้อยลง
เดือนที่ 2-3:
- สมาธิดีขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ความมั่นใจเพิ่มขึ้น
- เริ่มเห็นความก้าวหน้าในทักษะที่ฝึก
เดือนที่ 4-6:
- เปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในรูปร่างและสุขภาพ
- งานดีขึ้น อาจได้เลื่อนตำแหน่งหรือขึ้นเงินเดือน
- ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น
เดือนที่ 7-12:
- ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
- บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หลายอย่าง
- กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น
ข้อความสำคัญสุดท้าย
Robin Sharma ส่งข้อความผ่านหนังสือว่า:
“การตื่นเวลา 5 โมง ไม่ใช่การลงโทษตัวเอง แต่เป็นการให้ของขวัญตัวเองที่ดีที่สุด นั่นคือการมีเวลาเป็นของตัวเอง การได้พัฒนาตัวเองก่อนที่โลกจะมาเรียกร้อง”
“คนส่วนใหญ่ตื่นมาแล้วเปิดโทรศัพท์ดูข่าวแย่ๆ ก่อน แต่สมาชิก 5AM Club จะเปิดตัวเองให้กับความยิ่งใหญ่ก่อน”
“ถ้าชนะช่วงเช้าได้ ก็ชนะทั้งวันได้ ถ้าชนะทั้งวันได้ ก็ชนะทั้งชีวิตได้”
สรุป: การเริ่มต้นเส้นทางใหม่
เรื่องราวของ The 5AM Club ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่า แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่ชัดเจน การตื่นเช้าไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายที่แท้จริง
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำงานอะไร อายุเท่าไหร่ หลักการนี้ใช้ได้กับทุกคน เพราะทุกคนมี 24 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้ต่างกัน คือการใช้เวลาเหล่านั้นอย่างไร
วันนี้คือวันแรกของชีวิตใหม่ คุณพร้อมที่จะตื่นเวลา 5 โมงพรุ่งนี้แล้วหรือยัง?
“ความสำเร็จเริ่มต้นจากเช้าวันใหม่ ที่คุณเป็นเจ้าของเวลาของตัวเอง”
#hrรีพอร์ต
Leave a comment