เคยไหมที่รู้สึกเหมือนอารมณ์เป็นคนขับรถแทนเรา? วันหนึ่งเราตื่นมาก็อารมณ์ดี แต่พอมีเหตุการณ์เล็กน้อยเกิดขึ้น อารมณ์ก็พุ่งลงไปที่ใต้ดิน หรือบางทีเราโกรธจัดกับใครซักคน แล้วอารมณ์นั้นก็ติดค้างไปทั้งวัน ส่งผลให้เรื่องอื่นๆ ในชีวิตพังไปหมด

หากคุณเคยรู้สึกแบบนี้ หนังสือ “Shift: Managing Your Emotions–So They Don’t Manage You” ของ Ethan Kross อาจจะเป็นคำตอบที่คุณตามหามานาน

เรื่องเล่าของนักจิตวิทยาผู้ค้นพบความลับของอารมณ์

Ethan Kross เป็นนักจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เขาใช้เวลาหลายปีในการศึกษาว่าทำไมบางคนถึงจัดการอารมณ์ได้ดี ขณะที่บางคนดูเหมือนจะถูกอารมณ์ลากไปมา เหมือนใบไม้ที่ปลิวไปตามลม

สิ่งที่เขาค้นพบนั้นน่าสนใจมาก: ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์ หรือการ “เข้มแข็ง” แต่เป็นเรื่องของเทคนิค เป็นทักษะที่เรียนรู้ได้

การค้นพบนี้เริ่มต้นจากการสังเกตเด็กๆ ในห้องทดลอง เมื่อเด็กเหล่านั้นต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าเครียด บางคนสามารถควบคุมตัวเองได้ดี ขณะที่บางคนสลายไปทันที ความแตกต่างอยู่ตรงไหน?

คำตอบคือ “การเปลี่ยนมุมมอง” หรือที่เขาเรียกว่า “Shift”

ศิลปะแห่งการ “Shift” คืออะไร?

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังถ่ายรูปด้วยกล้อง เวลาที่เราซูมเข้าใกล้ เราจะเห็นแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่พอเราซูมออก ก็จะเห็นภาพรวมที่กว้างขึ้น การ “Shift” ก็เหมือนกับการปรับเลนส์กล้องของจิตใจ

เมื่อเราเครียดหรือโกรธ สมองเราจะ “ซูมเข้า” ไปที่ปัญหานั้นอย่างจดจ่อ จนเราเห็นแต่ด้านลบ แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะ “ซูมออก” หรือเปลี่ยนมุมมอง เราจะเห็นภาพที่แตกต่างออกไป

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องราวของ Sarah Hughes นักสเก็ตน้ำแข็งชาวอเมริกัน ในโอลิมปิกเกมส์ 2002 เธอควรจะได้เหรียญทอง แต่กลับพลาดท่าสำคัญ และได้เพียงเหรียญเงิน

ในวินาทีแรก เธอรู้สึกผิดหวังมาก “ฉันแพ้แล้ว ฉันทำผิดพลาด” แต่เธอสามารถ “Shift” ความคิดได้ เธอเริ่มคิดว่า “เดี๋ยวสิ ฉันได้เหรียญเงินโอลิมปิกนะ มีคนกี่คนในโลกที่ทำได้?”

การเปลี่ยนมุมมองเพียงแค่นี้ ทำให้อารมณ์เศร้าของเธอกลายเป็นความภาคภูมิใจ

เทคนิคลับที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

1. เทคนิค “เขา/เธอ” แทน “ฉัน”

นี่คือเทคนิคที่ดูแปลกแต่ใช้ได้ผลจริง เวลาที่เราเครียดหรือโกรธ ให้ลองพูดกับตัวเองในนาม “เขา” หรือ “เธอ” แทนที่จะใช้ “ฉัน”

ตัวอย่าง:

  • แทนที่จะคิดว่า “ฉันโกรธจัดกับเจ้านาย”
  • ให้คิดว่า “เขาโกรธจัดกับเจ้านาย”

ฟังดูเหมือนแปลก แต่เทคนิคนี้ช่วยให้เราก้าวออกมาจากอารมณ์นั้นๆ และมองสถานการณ์แบบเป็นกลางมากขึ้น เหมือนเราเป็นคนภายนอกที่มาช่วยให้คำแนะนำ

จิม เพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่า เขาเคยใช้เทคนิคนี้ตอนที่ถูกลูกค้าด่า เขาคิดในใจว่า “จิมถูกลูกค้าด่า จิมรู้สึกแย่มาก แต่จิมรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องของงาน” การคิดแบบนี้ทำให้เขาไม่นำเรื่องงานมากังวลที่บ้าน

2. เทคนิคเดินทางข้ามเวลา

ลองนึกภาพตัวเองในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า แล้วมองกลับมาดูปัญหาปัจจุบัน คุณจะพบว่าสิ่งที่ดูใหญ่โตมากวันนี้ อาจจะไม่สำคัญเท่าที่คิด

น้องสาวของผมเคยเศร้ามากเพราะแฟนทิ้ง เธอรู้สึกเหมือนโลกแตกสลาย แต่พอเธอลองใช้เทคนิคนี้ นึกภาพตัวเองอีก 10 ปีข้างหน้า เธอตระหนักได้ว่า “อีก 10 ปี ฉันคงจำแฟนคนนี้แทบไม่ได้แล้ว แต่ฉันจะจำได้ว่าฉันเรียนรู้ที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร”

การมองจากอนาคตกลับมายังปัจจุบันช่วยให้เราเห็นว่าปัญหาหลายอย่างเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในภาพใหญ่ของชีวิต

3. เทคนิคการเปลี่ยนบทบาท

บางครั้งเราสามารถเปลี่ยนความหมายของเหตุการณ์ได้ โดยการมองในบทบาทที่แตกต่างกัน

ผมรู้จักพี่คนหนึ่งที่ถูกไล่ออกจากงาน ตอนแรกเขารู้สึกเป็นคนล้มเหลว แต่เขาสามารถ “Shift” ความคิดได้ เขาเริ่มมองตัวเองเป็น “นักผจญภัย” ที่ได้โอกาสเริ่มต้นใหม่ การเปลี่ยนมุมมองนี้ทำให้เขามีกำลังใจที่จะหางานใหม่ และในที่สุดก็ได้งานที่ดีกว่าเดิม

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ

กรณี 1: นักธุรกิจหนุ่มกับการนำเสนองาน

มาร์ค เป็นพนักงานขายตัวยง เขามีนัดนำเสนองานสำคัญกับลูกค้าใหญ่ แต่ก่อนหน้านั้น 2 ชั่วโมง เขาได้รับข่าวว่าแฟนอยากเลิกกัน

ตามปกติ เขาคงเครียดจนนำเสนองานไม่ได้ แต่เขาใช้เทคนิคจากหนังสือ Shift:

เขาคิดในใจว่า “มาร์คกำลังเจอปัญหาส่วนตัว แต่มาร์คเป็นมืออาชีพ มาร์ครู้ว่าลูกค้ารายนี้สำคัญกับบริษัท มาร์คจะแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน”

ผลคือเขานำเสนองานได้สำเร็จ และได้ข้อตกลงใหญ่ เรื่องแฟนเลิกกันก็จัดการได้ในภายหลังด้วยสติที่ใสใส

กรณี 2: นักเรียนกับข้อสอบที่ห่วย

อันนา สอบปลายภาคได้คะแนนแย่มาก เธอเรียนมาตลอด แต่คะแนนออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

แทนที่จะคิดว่า “ฉันโง่ ฉันไม่เหมาะกับเรียนสาขานี้” อันนาใช้เทคนิค Shift:

เธอคิดจากมุมมอง 5 ปีข้างหน้า: “อีก 5 ปี อันนาคงจะเป็นคนทำงานแล้ว การสอบครั้งนี้จะสอนให้อันนารู้ว่าต้องปรับวิธีเรียนยังไง อันนาจะได้เป็นคนที่รู้จักการเรียนรู้จากความล้มเหลว”

ผลคือเธอกลับมาเรียนด้วยแรงบันดาลใจ และเทอมถัดไปได้เกรดดีขึ้นเยอะ

วิทยาศาสตร์เบื้องหลังเทคนิค Shift

สิ่งที่น่าสนใจคือเทคนิคเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทฤษดี แต่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

เมื่อเราใช้เทคนิคพูดกับตัวเองในนาม “เขา/เธอ” สมองส่วนที่ชื่อ prefrontal cortex (ส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจ) จะทำงานมากขึ้น ขณะที่สมองส่วน amygdala (ส่วนที่ควบคุมอารมณ์) จะสงบลง

เหมือนกับว่าเราเปิดสวิตช์ “โหมดคิด” และปิดสวิตช์ “โหมดรู้สึก” ทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น

การทำ brain scan พบว่าคนที่ฝึกใช้เทคนิค Shift เป็นประจำจะมีสมองส่วน prefrontal cortex ที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป เหมือนกับการออกกำลังกายสำหรับกล้ามเนื้อแห่งการควบคุมตัวเอง

ข้อผิดพลาดที่คนมักทำ

หลายคนอ่านเทคนิคเหล่านี้แล้วคิดว่าจะใช้ได้ทันที แต่จริงๆ แล้วมันต้องฝึกฝน เหมือนการเรียนขี่จักรยาน

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:

  1. คาดหวังผลเร็วเกินไป: การ Shift ต้องฝึกซ้อมในเวลาที่ไม่มีปัญหา เพื่อให้เวลาเจอปัญหาจริงๆ จะใช้ได้คล่อง
  2. บีบบังคับตัวเอง: บางคนพยายามเปลี่ยนอารมณ์โดยไม่ยอมรับความรู้สึกเดิม ทำให้กลับเครียดมากขึ้น
  3. ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา: เทคนิค Shift ไม่ใช่การหนีปัญหา แต่เป็นการมองปัญหาในมุมที่แก้ไขได้
  4. ลืมว่าแต่ละคนต่างกัน: เทคนิคที่ใช้ได้ผลกับคนหนึ่ง อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง

เริ่มต้นฝึกฝนอย่างไรดี

การเริ่มต้นใช้เทคนิค Shift ไม่ยาก แต่ต้องเริ่มจากเรื่องเล็กๆ

สัปดาห์ที่ 1-2: ฝึกสังเกตอารมณ์ตัวเอง เวลาโกรธหรือเศร้า ให้หยุดสักครู่ แล้วบอกกับตัวเองว่า “ฉันกำลังโกรธ/เศร้า” การตั้งชื่อให้กับอารมณ์จะช่วยให้เราไม่ถูกมันครอบงำ

สัปดาห์ที่ 3-4: เริ่มใช้เทคนิค “เขา/เธอ” กับเรื่องเล็กๆ เช่น “เขาหิวข้าว เขาควรจะไปกินข้าวแล้ว” หรือ “เธอเหนื่อยมาก เธอควรพักผ่อน”

สัปดาห์ที่ 5-6: ลองใช้เทคนิคมองจากอนาคต เวลาเจอปัญหาเล็กๆ ให้ลองคิดว่า “เดือนหน้าฉันจะยังจำเรื่องนี้อยู่ไหม?”

หลังจากนั้น: ค่อยๆ ใช้กับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเราเป็นนายของชีวิตตัวเอง

หนังสือ “Shift” ไม่ได้สอนเราให้กลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่มีอารมณ์ แต่สอนให้เราเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ แต่ไม่ให้อารมณ์มาควบคุมเรา

เหมือนกับการเรียนขับรถ เป้าหมายไม่ใช่การทำลายรถ แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะขับรถให้ไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย

อารมณ์ก็เหมือนกัน เป้าหมายไม่ใช่การขจัดอารมณ์ แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้อารมณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิต

ในโลกที่เต็มไปด้วยความกดดัน การมีทักษะในการจัดการอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน

การ “Shift” คือการให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่ตัวเอง คือ เสรีภาพ เสรีภาพในการเลือกว่าจะตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่มีความสุขและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ดังที่ Ethan Kross เขียนไว้ในหนังสือ: “เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมการตอบสนองของเราได้เสมอ”

นี่คือพลังแห่งการ “Shift” – พลังที่จะเปลี่ยนไม่เพียงแค่อารมณ์ในตอนนั้น แต่เปลี่ยนทั้งชีวิต

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment