ในโลกแห่งเทคโนโลยีปัจจุบัน มีชายคนหนึ่งที่ชื่อดังไปทั่วโลกในฐานะผู้นำบริษัท AI ชื่อดังอย่าง OpenAI เขาคือ แซม อัลต์แมน (Sam Altman) หนังสือ “The Optimist” โดยนักข่าว Keach Hagey จากหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้เล่าเรื่องชีวิตของเขาอย่างละเอียด ตั้งแต่เด็กชายที่หลงใหลเทคโนโลยีในรัฐมิสซูรี่ จนกลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุค AI

เรื่องราวของแซมไม่ใช่แค่เรื่องความสำเร็จธรรมดา แต่เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความล้มเหลว การคืนสู่สนาม และการใช้อิทธิพลอย่างชาญฉลาด นี่คือเรื่องเล่าของ “นักสร้างฝัน” ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงโลกของเรา

เด็กชายแห่งมิสซูรี่และเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรก

เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1985 เมื่อแซมเกิดที่เมืองชิคาโก แต่เติบโตในเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ ในครอบครวที่พ่อทำงานเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แม่เป็นหมอผิวหนัง

วันเปลี่ยนชีวิตของแซมมาถึงเมื่อเขาอายุได้แค่ 8 ขวบ วันนั้นเขาได้รับของขวัญที่จะเปลี่ยนโลกทัศน์ของเขาไปตลอดกาล นั่นคือคอมพิวเตอร์ Apple Macintosh เครื่องแรก

“ตั้งแต่วันนั้น แซมใช้เวลาทั้งวันกับคอมพิวเตอร์” หนังสือเล่า “เขาเรียนรู้วิธีเขียนโปรแกรมและชอบถอดแยกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าข้างในมีอะไรบ้าง เหมือนเด็กคนอื่นชอบถอดแยกของเล่น”

แต่สิ่งที่ทำให้แซมแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ คือความเข้าใจในเทคโนโลยีที่เหนือวัย เขาเข้าใจระบบรหัสพื้นที่ (area code) ตอนยังเรียนอนุบาล และตอนเด็กๆ เขาก็รู้แล้วว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ช่วงวัยเด็กของแซมไม่ง่ายนัก คือการที่เขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์ ในยุคปี 2000 ที่รัฐมิดเวสต์ที่อนุรักษ์นิยม การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ง่าย แซมบอกว่า “การเติบโตเป็นเกย์ในมิดเวสต์ในช่วงปี 2000 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

เขาหาทางออกโดยการเข้าไปใช้ AOL chat room เพื่อพูดคุยกับคนที่เข้าใจเขา คอมพิวเตอร์กลายเป็น “เส้นชีวิต” ของเขาในการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก

เมื่อแซมอายุ 17 ปี เขาทำสิ่งที่กล้าหาญมาก เขาประกาศตัวเป็นเกย์ต่อหน้านักเรียนทั้งโรงเรียนในโรงเรียนเอกชน John Burroughs School และยังสนับสนุนให้คุณครูติดป้าย “Safe Space” ในห้องเรียนเพื่อสนับสนุนนักเรียน LGBT

การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเป็นผู้นำของแซมตั้งแต่อายุยังน้อย เขาไม่กลัวที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะต้องเผชิญกับการต่อต้าน

การเข้า Stanford และการลาออก

หลังจบมัธยมศึกษา แซมได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Stanford ในสาขา Computer Science ที่นี่เขาได้เรียนรู้หลายอย่าง แต่สิ่งที่เขาได้เรียนมากที่สุดกลับไม่ใช่ในห้องเรียน

“แซมบอกว่าเขาเรียนรู้จากการเล่นโป๊กเกอร์กับเพื่อนมากกว่าจากการฟังบรรยายของศาสตราจารย์” หนังสือระบุ “โป๊กเกอร์สอนเขาวิธีการสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น การตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และการอ่านจิตใจคน”

ทักษะเหล่านี้จะกลายเป็นอาวุธลับของเขาในการทำธุรกิจในภายหน้า เพราะการเป็นนักธุรกิจก็เหมือนการเล่นโป๊กเกอร์ ต้องรู้จักเสี่ยง รู้จักอ่านใจคน และตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน

แล้วในปี 2005 เมื่อแซมอายุเพียง 19 ปี เขาทำสิ่งที่เปลี่ยนชีวิต เขาตัดสินใจออกจาก Stanford หลังเรียนแค่ 2 ปี เพื่อไปตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ นี่เป็นการตัดสินใจที่หลายคนมองว่าบ้าระห่ำ แต่สำหรับแซม มันคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่การเป็นผู้ประกอบการ

Loopt: บทเรียนแรกจากความล้มเหลว

แซมและเพื่อนร่วมชั้น 2 คนก่อตั้งบริษัท Loopt ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ให้ผู้ใช้แชร์ตำแหน่งที่อยู่กับเพื่อนๆ ตอนนั้นปี 2005 สมาร์ทโฟนยังไม่มี GPS ยังไม่แม่นยำ และคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับการแชร์ตำแหน่ง

“ในตอนนั้น ไอเดียของ Loopt ฟังดูแปลกๆ” หนังสืออธิบาย “ใครจะอยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนตลอดเวลา? แต่แซมเห็นอนาคตที่คนอื่นมองไม่เห็น”

สิ่งที่โชคดีคือ Loopt ได้รับเลือกให้เข้าโปรแกรม Y Combinator ซึ่งเป็นหนึ่งใน 8 บริษัทแรกๆ ที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ พอล เกรแฮม (Paul Graham) ผู้ก่อตั้ง Y Combinator มองว่าแซมเป็น “คนหนุ่มที่สามารถนำคนที่อายุมากกว่าได้”

แม้ Loopt จะได้เงินลงทุนมากกว่า 30 ล้านเหรียญ และมีพาร์ทเนอร์ใหญ่ๆ อย่าง Sprint แต่แอปนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดผู้ใช้ได้เท่าที่ควร เหตุผลหลักคือมันมาเร็วเกินไป คนยังไม่พร้อมสำหรับเทคโนโลยีแบบนี้

ปี 2012 Loopt ถูกขายให้บริษัท Green Dot Corporation ในราคา 43.4 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ความล้มเหลวสิ้นเชิง

“การขาย Loopt ทำให้แซมเศร้า” หนังสือเล่า “แต่เขาก็เรียนรู้บทเรียนสำคัญ คือ ไอเดียที่ดีไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ การ execute และ timing เป็นสิ่งที่สำคัญเท่าๆ กัน”

แซมยังเรียนรู้อีกอย่างหนึ่ง คือการที่บางครั้งความล้มเหลวสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ที่ใหญ่กว่าได้

เข้าสู่ Y Combinator: จากผู้เรียนสู่ผู้สอน

หลังจาก Loopt ถูกขาย แซมไม่ได้หยุดอยู่เฉยๆ เขาใช้เงินจากการขาย Loopt ไปตั้งกองทุน venture capital เล็กๆ ชื่อ Hydrazine Capital ร่วมกับน้องชายคือ แจ็ค อัลต์แมน

พร้อมกันนั้น ในปี 2011 เขาก็เข้าไปทำงานที่ Y Combinator ในตำแหน่ง part-time partner เขาใช้ประสบการณ์จาก Loopt มาช่วยเหลือผู้ประกอบการรุ่นใหม่

“แซมมีความสามารถพิเศษในการมองเห็นศักยภาพของ startup” หนังสืออธิบาย “เขาไม่เพียงแค่มองแอปหรือผลิตภัฑ์ แต่เขามองทีมงาน มองความมุ่งมั่น และมองโอกาสในตลาด”

สิ่งหนึ่งที่ทำให้แซมเก่งคือเขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ประกอบการ เขาเคยล้มเหลวมาแล้ว เขารู้ว่าการตั้งบริษัทใหม่นั้นหนักแค่ไหน

การทำงานของเขาที่ Y Combinator ได้รับการยอมรับอย่างมาก จนในปี 2014 พอล เกรแฮม ผู้ก่อตั้ง Y Combinator เลือกให้แซมเป็นประธานบริษัท แทนตัวเขาเอง ตอนนั้นแซมอายุเพียง 29 ปี

“การที่พอล เกรแฮม เลือกแซมเป็นประธาน Y Combinator เป็นสัญญาณว่าเขาเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของแซม” หนังสือบอก “Y Combinator ไม่ใช่บริษัทธรรมดา มันคือหัวใจของ Silicon Valley”

ยุคทองของ Y Combinator ภายใต้การนำของแซม

เมื่อแซมเป็นประธาน Y Combinator เขาทำให้โปรแกรมนี้เติบโตอย่างน่าทึ่ง เขามีเป้าหมายทะเยอทะยานคือให้ Y Combinator สนับสนุน startup ได้ 1,000 บริษัทต่อปี

ภายใต้การนำของแซม Y Combinator ได้ช่วยเหลือบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น:

  • Airbnb: บริษัทให้เช่าที่พักที่มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ
  • Dropbox: บริษัทจัดเก็บไฟล์บนคลาวด์
  • Stripe: บริษัทระบบการชำระเงินออนไลน์
  • Reddit: เว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ที่มีผู้ใช้หลายล้านคน
  • DoorDash: บริษัทส่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา

“แซมไม่ได้แค่เป็นผู้ปรึกษา เขาเป็นเหมือนโค้ชที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการคิดใหญ่และกล้าเสี่ยง” ข้อความจากหนังสือ

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือเรื่องของ Reddit บริษัทที่มีปัญหาการจัดการมากมาย แซมมองเห็นศักยภาพและลงทุนในบริษัทนี้ เขาอธิบายว่า “การลงทุนในบริษัทที่ดูยุ่งเหยิงนั้นเป็นประโยชน์ เราสามารถแก้ปัญหาที่เห็นได้ชัด และซื้อบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น”

แซมยังเปลี่ยนวิธีการทำงานของ Y Combinator ด้วย เขาจัดงาน Demo Day ให้เป็นเหตุการณ์ใหญ่ โดยเชิญเซเลบริตี้ของวงการเทคโนโลยีมาเป็นวิทยากร เช่น Elon Musk และ Mark Zuckerberg

“การที่แซมเชิญดาราระดับโลกมาในงาน Demo Day ทำให้นักลงทุนสนใจมากขึ้น” หนังสืออธิบาย “มันกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนต้องมา ไม่ใช่แค่การนำเสนอธุรกิจธรรมดา”

การมองเห็นอนาคต AI และการก่อตั้ง OpenAI

ขณะที่แซมทำงานที่ Y Combinator เขาก็เริ่มสนใจเทคโนโลยีใหม่ที่เขาเชื่อว่าจะเปลี่ยนโลก นั่นคือ Artificial Intelligence หรือ AI

“แซมเชื่อมั่นว่า AI จะเปลี่ยนโลกมากกว่าอินเทอร์เน็ต” หนังสือเล่า “เขามองเห็นว่า AI อาจจะเป็นเทคโนโลยีสุดท้ายที่มนุษย์ต้องสร้าง”

ในปี 2015 แซมร่วมก่อตั้ง OpenAI พร้อมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และนักลงทุนชื่อดัง เช่น Elon Musk, Peter Thiel, และ Reid Hoffman

OpenAI ถูกก่อตั้งด้วยปรัชญาพิเศษ: พัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อผลกำไรของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

“การตั้ง OpenAI เป็น non-profit organization ในตอนแรกแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของแซม” หนังสืออธิบาย “เขาต้องการให้แน่ใจว่า AI จะไม่ตกอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว”

บริษัทเริ่มต้นด้วยเงินทุน 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ใหญ่มากสำหรับการวิจัย AI ในยุคนั้น

การปะทะกับ Elon Musk

สิ่งที่น่าสนใจในหนังสือคือการบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างแซมกับ Elon Musk ซึ่งเริ่มต้นเป็นพันธมิตรแต่กลายเป็นคู่แข่ง

ในปี 2018 Elon Musk เสนอให้เขาเป็นคนดูแล OpenAI เพื่อที่จะแข่งขันกับ Google ได้ แซมปฏิเสธข้อเสนอนี้ ทำให้ Musk โกรธและออกจาก OpenAI

“การที่ Musk ออกจาก OpenAI ทำให้บริษัทเสียแหล่งเงินทุนสำคัญ” หนังสือเล่า “แต่แซมใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาส”

หนังสือเปิดเผยว่าแซม “outmaneuver” หรือเอาชนะ Musk ได้อย่างไร:

  1. เขาใช้ความหวาดระแวงของ Musk ให้เป็นประโยชน์ – เมื่อ Musk กลัวว่า Google จะมี AI ที่เก่งกว่า แซมก็ใช้ความกลัวนี้ให้ Musk ลงทุนมากขึ้น
  2. เขาค่อยๆ ลดอิทธิพลของ Musk – แซมดึงคนเก่งๆ เข้ามาทีมจนทำให้ Musk รู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็น
  3. เขาสร้างพันธมิตรใหม่ – โดยเฉพาะกับ Microsoft ที่ให้ทั้งเงินและ computing power

“แซมแสดงให้เห็นว่าการเล่นโป๊กเกอร์สมัยเรียนมีประโยชน์จริงๆ” หนังสือเล่าด้วยน้ำเสียงชื่นชม “เขารู้จักการ bluff และการอ่านใจคน”

การเปลี่ยน OpenAI และการมาของ ChatGPT

เมื่อ Elon Musk ออกไป OpenAI ต้องหาแหล่งเงินทุนใหม่ การพัฒนา AI ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่แพงมาก และต้องจ้างคนเก่งที่มีค่าจ้างสูง

ในปี 2019 แซมตัดสินใจทำสิ่งที่ถกเถียงกัน เขาเปลี่ยน OpenAI จาก non-profit organization เป็นบริษัทที่หากำไรได้ (แต่ยังคงถูกควบคุมโดย non-profit board)

“การตัดสินใจนี้ทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์แซม” หนังสือระบุ “พวกเขาบอกว่าเขาทรยศต่อปรัชญาเดิมของ OpenAI”

แต่แซมอธิบายว่าถ้า OpenAI ไม่เปลี่ยน มันจะไม่มีเงินพอที่จะแข่งขันกับ Google และ Facebook และสุดท้าย AI ที่ดีจะตกอยู่ในมือบริษัทใหญ่เหล่านั้น

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ OpenAI สามารถเป็นพันธมิตรกับ Microsoft ซึ่งลงทุนพันล้านเหรียญและให้ Azure cloud computing ที่จำเป็นสำหรับการฝึกโมเดล AI

และแล้วในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 OpenAI ก็ปล่อย ChatGPT ออกมา

“ChatGPT เปลี่ยนโลกในชั่วข้ามคืน” หนังสือเล่า “ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้คนจะใช้ AI chatbot กันมากขนาดนี้ ใน 5 วันแรก ChatGPT มีผู้ใช้ล้านคน”

ความสำเร็จของ ChatGPT ทำให้แซมกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการ AI เขาได้ไปให้การต่อหน้าสภาคองเกรสอเมริกัน พูดในที่ประชุมสำคัญทั่วโลก และกลายเป็น “หน้าตาของการปฏิวัติ AI”

การถูกไล่ออกและการคืนสู่อำนาจ

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 คณะกรรมการ OpenAI ประกาศไล่แซมออกจากตำแหน่ง CEO ผ่านทางวิดีโอคอล

“การไล่แซมออกเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก” หนังสือเล่า “OpenAI เป็นบริษัท AI ที่สำคัญที่สุดโลก และแซมเป็นหน้าตาของมัน การไล่เขาออกเหมือนการไล่ Steve Jobs ออกจาก Apple”

คณะกรรมการให้เหตุผลว่าแซม “ไม่ซื่อสัตย์” (not consistently candid) แต่ไม่ได้อธิบายรายละเอียด สิ่งนี้ทำให้เกิดคาดเดาและข่าวลือมากมาย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ Silicon Valley

พนักงาน OpenAI เกือบทั้งหมด (550 คนจาก 700 คน) เซ็นชื่อเรียกร้องให้แซมกลับมา พวกเขาขู่ว่าจะลาออกหมดถ้าแซมไม่กลับ

Microsoft ซึ่งลงทุนใน OpenAI เสนองานให้แซมและทีมงานหลัก โดยบอกว่าจะให้ทรัพยากรเพื่อสร้าง AI lab ใหม่

นักลงทุนและหุ้นส่วนสำคัญออกมาสนับสนุนแซม รวมถึง Y Combinator ที่แซมเคยทำงาน

“การที่พนักงานเกือบทั้งบริษัทสนับสนุนแซมแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของเขา” หนังสือวิเคราะห์ “ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการสนับสนุนแบบนี้เมื่อถูกไล่ออก”

ภายใน 5 วัน แรงกดดันจากทุกฝ่ายทำให้คณะกรรมการต้องยอมแพ้ แซมได้กลับมาเป็น CEO อีกครั้ง และกรรมการส่วนใหญ่ที่โหวตไล่เขาออกกลับถูกถอดออกแทน

“เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่แท้จริงของแซม” หนังสือสรุป “เขาไม่ได้มีอำนาจเพราะตำแหน่ง แต่เขามีอำนาจเพราะผู้คนเชื่อมั่นในเขา”

ความขัดแย้งของนักสร้างฝัน

หนังสือ “The Optimist” ไม่ได้เขียนเพื่อสรรเสริญแซม หนังสือเปิดเผยด้านมืดและความซับซ้อนของเขาด้วย

ด้านบวก:

  • เป็นคนมองการณ์ไกล เห็นศักยภาพของเทคโนโลยีที่คนอื่นมองไม่เห็น
  • เป็นผู้นำที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น
  • กล้าเสี่ยงและไม่กลัวความล้มเหลว
  • มีความสามารถในการ fundraising และสร้างพันธมิตร

ด้านลบ:

  • บางครั้งเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ทำให้คนรอบข้างตามไม่ทัน
  • มีพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงคำถามยากๆ
  • การเปลี่ยน OpenAI จาก non-profit เป็น for-profit ทำให้หลายคนสงสัยในเจตนา

“แซมเป็นตัวอย่างของ ‘charismatic self-contradiction’” หนังสืออธิบาย “เขาเชื่อมั่นในความดีของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง แต่วิธีการของเขาในการบรรลุเป้าหมายนั้นบางครั้งก็น่าสงสัย”

ตัวอย่างของความขัดแย้งนี้คือ:

เรื่อง AI Safety: แซมพูดเสมอว่า AI อาจจะอันตรายถ้าไม่ระวัง แต่เขาก็เป็นคนที่ขับเคลื่อนการพัฒนา AI ให้เร็วที่สุด

เรื่องการแข่งขัน: เขาบอกว่าไม่ต้องการให้เกิด AI arms race แต่การกระทำของเขากลับทำให้บริษัทอื่นต้องแข่งขันกันพัฒนา AI

เรื่องความโปร่งใส: เขาสนับสนุนให้ AI โปร่งใสและเปิดกว้าง แต่ OpenAI กลับเป็นบริษัทที่ปิดบังข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ

การใช้อิทธิพลอย่างชาญฉลาด

สิ่งที่น่าสนใจในหนังสือคือการที่แซมใช้อิทธิพลอย่างชาญฉลาด ตัวอย่างที่เด่นชัดคือเรื่อง Worldcoin

Worldcoin เป็นโปรเจกต์ cryptocurrency ที่แซมก่อตั้ง โดยมีไอเดียให้ทุกคนในโลกได้รับ cryptocurrency ฟรี โดยการสแกนดวงตาเพื่อยืนยันตัวตน

“โปรเจกต์นี้ฟังดูบ้าระห่ำ” หนังสือเล่า “แต่แซมใช้ชื่อเสียงจาก OpenAI ไปหาเงินลงทุนได้หลายพันล้าน”

เขาอธิบายว่า Worldcoin จำเป็นเพราะในอนาคต AI จะทำให้คนตงานหาย และเราต้องมีระบบแจกเงินให้คนทั่วโลก (Universal Basic Income)

การที่เขาเชื่อม AI กับ cryptocurrency แสดงให้เห็นว่าเขามองเห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

การเดินทางของแซม อัลต์แมน

จากเรื่องเล่าในหนังสือ เราสามารถเรียนรู้บทเรียนสำคัญได้:

1. ความล้มเหลวคือจุดเริ่มต้น

Loopt ล้มเหลว แต่มันกลายเป็นบันไดขั้นแรกสู่ Y Combinator การถูกไล่ออกจาก OpenAI กลับทำให้เขากลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม

2. การมองการณ์ไกลสำคัญกว่าการมองใกล้

แซมลงทุนใน AI ตั้งแต่ปี 2015 เมื่อคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นศักยภาพ วันนี้ AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในโลก

3. ความสัมพันธ์คือพลัง

เมื่อแซมถูกไล่ออก คนที่เขาช่วยเหลือมาในอดีตก็มาช่วยเขา การสร้างเครือข่ายที่ดีเป็นการลงทุนระยะยาว

4. การเสี่ยงที่คำนวณแล้ว

แซมเสี่ยงออกจาก Stanford เสี่ยงเปลี่ยน OpenAI เป็น for-profit แต่เขาเสี่ยงด้วยข้อมูลและการคิดวิเคราะห์

5. การปรับตัวได้เป็นสิ่งสำคัญ

จาก location-based app เป็น startup accelerator เป็น AI company แซมไม่เคยยึดติดกับความคิดเดิม

อนาคตของแซม อัลต์แมนและ AI

หนังสือปิดท้ายด้วยการวิเคราะห์ว่าอนาคตของแซมจะเป็นอย่างไร

“แซมอายุเพียง 39 ปี และอยู่ในจุดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในชีวิต” หนังสือเขียน “สิ่งที่เขาตัดสินใจในอีก 10 ปีข้างหน้าจะส่งผลต่อมนุษยชาติ”

คำถามสำคัญที่หนังสือตั้งคือ: การที่คนๆ หนึ่งมีอิทธิพลมากขนาดนี้ในเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก มันถูกต้องหรือไม่?

“AGI (Artificial General Intelligence) หรือ AI ที่ฉลาดเท่าคนจะมาถึงในอีก 5-10 ปี” แซมพูดเสมอ “และมันจะเปลี่ยนทุกอย่างในสังคมมนุษย์”

ถ้าคำทำนายของแซมเป็นจริง เขาจะกลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แต่ถ้าผิด เขาอาจจะกลายเป็นตัวอย่างของการ overhype เทคโนโลยี

ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง

“The Optimist” เป็นมากกว่าหนังสือชีวประวัติ มันเป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงยุคสมัยที่เราอยู่ ยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และคนไม่กี่คนมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนหลายพันล้าน

แซม อัลต์แมน เป็นผลผลิตที่สมบูรณ์แบบของ Silicon Valley เขาเป็นทั้งนักฝัน ผู้ประกอบการ และนักการเมือง เขาเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีจะทำให้โลกดีขึ้น แต่เส้นทางที่เขาเลือกนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

หนังสือเล่านี้ทำให้เราเข้าใจว่า คนที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ AI ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่หรือวิลเลนในหนัง แต่เป็นมนุษย์ที่มีจุดดีจุดด้อย มีความฝันและข้อบกพร่อง

“ในท้ายที่สุด ประวัติศาสตร์จะตัดสินแซมจากผลลัพธ์ไม่ใช่จากเจตนา” หนังสือสรุป “ถ้า AI ที่เขาสร้างทำให้โลกดีขึ้น เขาจะเป็นฮีโร่ แต่ถ้า AI สร้างปัญหา เขาจะถูกจดจำในฐานะคนที่ไปเร็วเกินไป”

เรื่องราวของแซม อัลต์แมนยังไม่จบ มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะรู้กันว่า “นักสร้างฝัน” คนนี้จะนำพาเราไปสู่ยุทธบดีแห่งความฉลาดของเครื่องจักร หรือจะกลายเป็นเรื่องเตือนใจว่าการพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมานั้นอันตรายแค่ไหน

หนังสือ “The Optimist” จึงเป็นทั้งเรื่องเล่าแห่งความสำเร็จ และเป็นคำเตือนใจให้เราทุกคนได้คิดและตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตที่เรากำลังสร้างขึ้นด้วยกัน

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment