บทนำ: คำถามที่หาคำตอบมา 500 ปี

ลองนึกภาพดู หากเราย้อนเวลากลับไปเมื่อ 500 ปีก่อน เราจะเจอกับโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชาวยุโรปกำลังล่าอาณานิคมทั่วโลก ขณะที่ชาวพื้นเมืองในอเมริกา แอฟริกา และออสเตรเลียถูกยึดครองแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไมไม่ใช่ชาวอินคาที่ไปตีเมืองมาดริด หรือชาวแอฟริกันที่ไปยึดครองลอนดอน?

นี่คือคำถามที่ จาเร็ด ไดมอนด์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง พยายามตอบในหนังสือ “Guns, Germs, and Steel” หนังสือที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์และเปลี่ยนวิธีคิดของคนทั่วโลกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

จุดเริ่มต้น: คำถามจากยาลี

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากการสนทนาธรรมดาๆ ระหว่างไดมอนด์กับ ยาลี นักการเมืองชาวนิวกินี ยาลีถามเขาว่า “ทำไมพวกคุณชาวผิวขาวถึงได้สิ่งของมากมาย (เครื่องใช้ เทคโนโลยี) แต่พวกเราชาวนิวกินีไม่ได้?”

คำถามนี้ฟังดูง่าย แต่มันซับซ้อนมาก คำตอบที่หลายคนอาจคิดได้ เช่น “เพราะชาวยุโรปฉลาดกว่า” หรือ “เพราะเป็นเชื้อชาติที่เหนือกว่า” นั้น ไดมอนด์ปฏิเสธเด็ดขาด เขาบอกว่าหากเราดูจากประสบการณ์ตรง ชาวนิวกินีไม่ได้โง่กว่าใครเลย บางคนแม้แต่ฉลาดกว่าเฉลี่ยชาวตะวันตกด้วยซ้ำ

งั้นคำตอบที่แท้จริงคืออะไร?

ทฤษฎีใหม่: ธรรมชาติเป็นตัวกำหนด

ไดมอนด์เสนอทฤษฎีที่ปฏิวัติวงการ เขาบอกว่าความแตกต่างของอารยธรรมไม่ได้เกิดจากความสามารถของคน แต่เกิดจาก “สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์” และ “ความบังเอิญทางธรรมชาติ”

นึกดูนะ หากคุณเกิดในสถานที่ที่มีข้าวสาลีป่าข้างบ้าน มีม้าป่าวิ่งไปมา คุณก็จะเริ่มปลูกข้าวสาลีและเลี้ยงม้าได้เร็วกว่าคนที่เกิดในที่ที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ง่ายๆ แค่นั้นเอง

ปัจจัยที่ 1: พืชอาหารหลัก – ฐานรากของอารยธรรม

เริ่มจากเรื่องง่ายๆ กิน ชาวบุรุษสมัยโบราณเป็นนักล่าเก็บของป่า พวกเขาต้องหาอาหารทั้งวัน ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น แต่เมื่อเริ่มปลูกพืชได้ ทุกอย่างเปลี่ยน

ในแถบอุดมคติ (Fertile Crescent) ที่ครอบคลุมอิรัก ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล ตอนใต้ของตุรกี ชาวโบราณเจอข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วลันเตา และถั่วต่างๆ ที่เติบโตเองตามธรรมชาติ พืชเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษ:

  • ให้พลังงานสูง (แป้งและโปรตีนเยอะ)
  • เก็บได้นาน (เมล็ดแห้งเก็บได้เป็นปี)
  • ปลูกง่าย (ไม่ต้องดูแลมาก)

ตัวอย่างเปรียบเทียบ:

  • ข้าวสาลี 1 เฮกตาร์ ให้พลังงาน 33 ล้านแคลอรี่ต่อปี
  • มันสำปะหลัง 1 เฮกตาร์ ให้แค่ 4 ล้านแคลอรี่ต่อปี

ส่วนในอเมริกาใต้ ชาวอินคามีแค่มันฝรั่ง ข้าวโพด และควินัว แต่พืชเหล่านี้ปลูกยากกว่า ให้พลังงานน้อยกว่า และเก็บไว้ได้ไม่นาน

ในออสเตรเลีย แย่ที่สุด ไม่มีพืชเมล็ดใหญ่ให้ปลูกเลย ชาวอะบอริจินีเลยต้องเป็นนักล่าเก็บของป่าตลอดไป

เมื่อมีข้าวสาลี ชาวแถบอุดมคติจึงมีเวลาว่างทำอย่างอื่น บางคนเป็นช่างเหล็ก บางคนเป็นนักรบ บางคนเป็นนักคิด อารยธรรมเลยเริ่มต้นขึ้น

ปัจจัยที่ 2: สัตว์เลี้ยงใหญ่ – ครื่องจักรแห่งโลกโบราณ

นึกดูนะ หากคุณต้องไถนาด้วยมือเปล่า กับการใช้วัวช่วยไถ อันไหนเร็วกว่า? สัตว์เลี้ยงใหญ่คือ “เครื่องจักร” ของโลกโบราณ

โลกเก่า (ยุโรป เอเชีย แอฟริกา) มีสัตว์เลี้ยงใหญ่เยอะ:

  • ม้า: ขี่ได้ แบกของได้ ใช้ในสงครามได้
  • วัว: ไถนา ให้นม ให้เนื้อ
  • หมู: ให้เนื้อ ขยายพันธุ์เร็ว
  • แกะ: ให้ขน ให้นม ให้เนื้อ
  • ลา: แบกของได้

โลกใหม่ (อเมริกา) มีแค่:

  • ลาม่าและอัลปากา: แบกของได้นิดหน่อย แต่ขี่ไม่ได้
  • หมูป่าเล็กๆ: เลี้ยงยาก

ออสเตรเลีย ไม่มีเลย แม้แต่ตัวเดียว!

ตัวอย่างชัดเจน: เมื่อสเปนขี่ม้าไปตีอินคา ชาวอินคาตกใจมาก เพราะไม่เคยเห็นม้ามาก่อน พวกเขาคิดว่าม้าและคนเป็นสัตว์ประหลาดตัวเดียวกัน! ความได้เปรียบนี้ใหญ่มาก ม้าทำให้สเปนเคลื่OnInitไหวเร็ว โจมตีแรง และหลบหนีได้ทันท่วงที

ปัจจัยที่ 3: เชื้อโรค – อาวุธที่ร้ายแรงที่สุด

นี่คือส่วนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของเรื่อง เชื้อโรคฆ่าคนได้มากกว่าปืนและดาบรวมกัน!

เรื่องราวเศร้า: เมื่อโคลัมบัสมาถึงอเมริกา ปี 1492 ชาวพื้นเมืองมีประมาณ 20 ล้านคน แต่หลังจากนั้น 100 ปี เหลือแค่ 1-2 ล้านคน! เชื้อโรคฆ่าตาย 90% ของชาวพื้นเมือง

เชื้อโรคที่ฆ่าตายเป็น: ฝีดาษ หัด ไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ ไข้ฟองนมวัว

ทำไมชาวยุโรปถึงมีภูมิต้านทาน? เพราะพวกเขาอยู่ใกล้สัตว์เลี้ยงมานานนับพันปี เชื้อโรคส่วนใหญ่มาจากสัตว์แล้วกระโดดมาติดคน:

  • ฝีดาษ: จากวัว
  • ไข้หวัดใหญ่: จากหมูและเป็ด
  • หัด: จากสุนัข
  • วัณโรค: จากวัว

ชาวยุโรปเป็นแล้วมีภูมิกันภาค ส่วนชาวอเมริกาไม่มีสัตว์เลี้ยงมากมาย เลยไม่เคยเจอเชื้อโรคเหล่านี้ พอเจอครั้งแรกก็ตายหมด

ตัวอย่างที่น่าสะเทือนใจ: ในเปรู ชาวอินคาบางหมู่บ้านตายหมดทั้งหมู่บ้าน ก่อนที่คอนควิสตาดอร์สเปนจะมาถึงด้วยซ้ำ! เพราะเชื้อโรคแพร่ได้เร็วกว่าคน

ปัจจัยที่ 4: แกนโลก – ทำไมเทคโนโลยีแพร่ได้บ้าง แพร่ไม่ได้บ้าง

นี่คือจุดที่ฉลาดที่สุดของไดมอนด์ เขาสังเกตว่า ทิศทางของทวีป มีผลต่อการแพร่กระจายเทคโนโลยี

ยุโรป-เอเซีย: เป็นแนวตะวันออก-ตะวันตก (แกนนอน)

  • สเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อยู่ในเส้นรุ้งละติจูดใกล้กัน
  • อากาศคล้ายกัน ปลูกพืชชนิดเดียวกันได้
  • เทคโนโลยีแพร่กระจายได้ง่าย
  • ข้าวสาลีที่เริ่มจากอิรักแพร่ไปถึงสเปนและจีนได้

อเมริกา: เป็นแนวเหนือ-ใต้ (แกนตั้ง)

  • อลาสก้า แคนาดา สหรัฐ เม็กซิโก บราซิล ชิลี อยู่คนละเส้นรุ้งละติจูด
  • อากาศต่างกันมาก ขั้วโลกเหนือ กับ ขั้วโลกใต้
  • ข้าวโพดจากเม็กซิโกใช้เวลา 4,000 ปี ถึงจะไปถึงตะวันออกของสหรัฐ
  • เทคโนโลยีแพร่ยาก

ตัวอย่างชัด:

  • การเขียนที่คิดขึ้นในอิรักแพร่ไปยุโรปภายใน 1,000 ปี
  • แต่การเขียนของมายาไม่เคยแพร่ไปแอนดีสเลย ทั้งที่อยู่ทวีปเดียวกัน!

แอฟริกาและออสเตรเลีย ก็มีปัญหาคล้ายกัน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแนวตั้ง ทำให้เทคโนโลยีแพร่ยาก

เหตุการณ์จริง: การพิชิตอิมพีเรียมอินคา

มาดูตัวอย่างจริงที่โด่งดังที่สุด วันที่ 16 พฤศจิกายน 1532 ฟรันซิสโก ปิซาร์โร นำทหารสเปน 168 คน ไปจับ อาตาวัลปา จักรพรรดิอินคา พร้อมกับทัพกว่า 80,000 คน!

ข้อได้เปรียบของสเปน:

  1. ปืน: ทำให้อินคาตกใจและตาย
  2. เหล็กกล้า: เกราะเหล็ก ดาบเหล็ก แข็งแรงกว่าอาวุธทองแดงและหินของอินคามาก
  3. ม้า: อินคาไม่เคยเห็น ตกใจมาก คิดว่าเป็นสัตว์ประหลาด
  4. ยุทธศาสตร์: ประสบการณ์จากการรบหลายศตวรรษในยุโรป
  5. การเขียน: ส่งข่าวกรองและแผนการได้

ที่สำคัญที่สุด: เชื้อโรค ก่อนที่ปิซาร์โรจะมาถึง อิมพีเรียมอินคาเพิ่งจะแพ้สงครามกลางเมืองมาได้ไม่นาน เพราะจักรพรรดิองค์ก่อน (พ่อของอาตาวัลปา) และลูกชายคนหนึ่งตายด้วยฝีดาษ! เชื้อโรคที่สเปนนำมาทำลายอินคาจากข้างในก่อนแล้ว

อินคามีแค่อะไร:

  • จำนวนคนเยอะ (แต่กระจัดกระจายในเทือกเขาแอนดีส)
  • อาวุธทองแดงและหิน
  • ลาม่าและอัลปากา (แบกของได้นิดหน่อย แต่ขี่ไม่ได้)
  • ไม่มีการเขียน (ใช้ระบบเชือกผูก)
  • ไม่เคยเห็นม้า ไม่รู้จักล้อ ไม่มีเหล็ก

ผลลัพธ์: 168 คน ชนะ 80,000 คน ใน 1 วัน!

การล่มสลายของออสเตรเลีย

อีกตัวอย่างที่เศร้า ชาวอะบอริจินีออสเตรเลียอาศัยอยู่ในออสเตรเลียมา 40,000 ปีแล้ว พวกเขาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม รู้จักพืชผักท้องถิ่นนับพันชนิด

แต่เมื่อชาวอังกฤษมาถึงปี 1788:

  • ไม่มีพืชให้ปลูกเป็นอาหารหลัก
  • ไม่มีสัตว์เลี้ยงใหญ่ (กังการูขี่ไม่ได้)
  • ไม่เคยเจอเชื้อโรค จึงไม่มีภูมิคุ้มกัน
  • เทคโนโลยีแพร่ไปทั่วทวีปยาก (ทะเลทราย ป่า กั้น)

ชาวอะบอริจินีหลายแสนคนตายด้วยฝีดาษ วัณโรค หัด ภายใน 100 ปี

ข้อโต้แย้งและข้อจำกัด

แน่นอนว่าทฤษฎีของไดมอนด์ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย นักวิชาการหลายคนโต้แย้ง:

ข้อโต้แย้ง:

  1. จีนมีเทคโนโลยีก้าวหน้า (ดินปืน เข็มทิศ กระดาษ) ก่อนยุโรป แต่ทำไมไม่ไปล่าอาณานิคม?
  2. อเมริกากลางมีอารยธรรมมายา อัซเท็ก ที่ก้าวหน้า ทำไมไม่พัฒนาเทคโนโลยีการสงคราม?
  3. แอฟริกามีอียิปต์โบราณที่ยิ่งใหญ่ ทำไมถึงล้าหลัง?

คำตอบของไดมอนด์:

  • จีนมีข้อเสียคือ เป็นประเทศเดียว เมื่อจักรพรรดิไม่สนใจเทคโนโลยี ทุกอย่างก็หยุด
  • ยุโรปมีหลายประเทศแข่งขันกัน ประเทศไหนไม่พัฒนาก็ตกขบวน
  • อเมริกากลางขาดม้า ขาดเหล็ก จึงพัฒนาช้า
  • แอฟริกาติดกับทะเลทรายซาฮารา ทำให้เทคโนโลยีจากเอเชีย-ยุโรปเข้ามายาก

สรุป: โลกที่ไม่เท่าเทียม

หนังสือ “Guns, Germs, and Steel” สอนเราว่า ความไม่เท่าเทียมในโลก ไม่ได้เกิดจากคนเชื้อชาติหนึ่งฉลาดกว่าหรือเก่งกว่าเชื้อชาติอื่น

แต่เกิดจาก:

  • ความบังเอิญทางธรรมชาติ (มีข้าวสาลีหรือไม่ มีม้าหรือไม่)
  • ภูมิศาสตร์ (อยู่แนวตั้งหรือนอน อากาศเปลี่ยนมากหรือน้อย)
  • ผลต่อเนื่อง (มีเทคโนโลยีก่อนก็พัฒนาต่อได้เร็วกว่า)

ข้อคิดสำคัญ:

  • ถ้าเราเกิดเป็นชาวอินคา เราก็จะเก่งแค่สร้างเมืองหินบนเทือกเขาแอนดีส
  • ถ้าเราเกิดเป็นชาวยุโรป เราก็จะมีม้า มีปืน มีเรือใหญ่
  • ไม่มีใครเลือกเกิดได้

ดังนั้น แทนที่จะดูถูกหรือเหยียดเชื้อชาติใด เราควรเข้าใจว่า ความแตกต่างทางประวัติศาสตร์เกิดจากปัจจัยภายนอกที่คนโบราณไม่สามารถควบคุมได้

สิ่งที่เราควรทำตอนนี้ คือใช้ความรู้นี้เพื่อสร้างโลกที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อหาข้ออ้างในการเหยียดกัน

เพราะในท้ายที่สุด เราทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถไม่ต่างกัน เพียงแต่เกิดมาในสถานการณ์ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง


หนังสือ “Guns, Germs, and Steel” ได้รางวัลพูลิตเซอร์ประจำปี 1998 และถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลก และยังคงเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลมากที่สุดเล่มหนึ่งในศตวรรษที่ 21

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment