ลองนึกภาพดูสิว่า ถ้าเราเป็นนักท่องเวลาและย้อนกลับไป 70,000 ปี เราจะพบมนุษย์กลุ่มเล็กๆ ที่แทบไม่ต่างจากลิงมากนัก กำลังเดินเร่ร่อนในป่าหาอาหารกิน แต่แล้วอะไรทำให้พวกเขาเหล่านั้น กลายมาเป็น “เรา” ในวันนี้ ที่สามารถสร้างตึกระฟ้า ยานอวกาศ และแม้กระทั่งอินเทอร์เน็ตได้?
ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอล เล่าเรื่องนี้ผ่านหนังสือ “Sapiens: A Brief History of Humankind” อย่างน่าติดตาม เขาแบ่งเรื่องราวของเราออกเป็น 3 บทใหญ่ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
บทที่ 1: เมื่อมนุษย์เริ่ม “จินตนาการ”
เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว เกิดสิ่งที่ฮาราริเรียกว่า “การปฏิวัติทางความคิด” (Cognitive Revolution) มนุษย์เราเริ่มมีความสามารถพิเศษที่ไม่มีสัตว์ชนิดไหนเป็น นั่นคือ การจินตนาการและเล่าเรื่องร่วมกัน
ฟังดูธรรมดา? ไม่เลย! ความสามารถนี้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่เราเห็นวันนี้
ลองคิดดูสิ ผึ้งสามารถสื่อสารกันได้ แต่มันบอกกันได้แค่ว่า “ไปทางโน้นจะมีดอกไม้หวาน” ลิงสามารถเตือนกันได้ว่า “ระวัง! มีเสือ!” แต่มนุษย์ทำได้มากกว่านั้น เราเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีจริง สิ่งที่เป็นแค่ “ความคิด” แต่ทุกคนเชื่อ
ตัวอย่างง่ายๆ คือ “เงิน”
ใบธนบัตร 100 บาท มันคือกระดาษธรรมดาๆ แต่ทำไมคุณถึงยอมแลกมันกับข้าวผัดจานโต? เพราะทุกคนเชื่อร่วมกันว่า กระดาษใบนั้น “มีค่า” ถ้าวันหนึ่งทุกคนหยุดเชื่อ เงินก็จะกลายเป็นกระดาษธรรมดาๆ ทันที
หรือ “ประเทศไทย” มันมีจริงมั้ย? ถ้าไปดูจากอวกาศ จะเห็นแค่ผืนดินและป่าไผ่ ไม่มีเส้นขอบเขตอะไรเลย แต่เราทุกคนเชื่อว่ามันมีอยู่จริง และยอมจ่ายภาษี ยอมเข้าทหาร เพื่อ “ประเทศ” ที่เป็นแค่ความคิดในหัว
นี่คือพลังของการจินตนาการร่วมกัน มันทำให้มนุษย์หลายหมื่นคนมารวมตัวกันทำงานได้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แค่เพราะเชื่อในเรื่องเดียวกัน
เสือตัวหนึ่งแข็งแกร่งกว่ามนุษย์คนหนึ่ง แต่เสือ 1,000 ตัว ไม่สามารถร่วมมือกันได้ ส่วนมนุษย์ 1,000 คน สามารถสร้างนครหลวงได้!
บทที่ 2: เมื่อข้าวสาลี “ปลูก” มนุษย์
ประมาณ 12,000 ปีที่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง ฮาราริเรียกว่า “การปฏิวัติทางเกษตร” แต่เขาบอกว่า จริงๆ แล้วนี่คือ “การหลอกลวงใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์”
ทำไมล่ะ?
ก่อนการเกษตร มนุษย์เราเป็น “นักล่านักเก็บ” เดินเร่ร่อนหาอาหารในธรรมชาติ วันหนึ่งกินผลไม้ วันหนึ่งกินเนื้อสัตว์ วันหนึ่งกินเห็ด อาหารหลากหลาย สุขภาพแข็งแรง ทำงานแค่วันละ 3-4 ชั่วโมง เวลาว่างเยอะ ความเครียดน้อย
แต่พอเริ่ม “ปลูกข้าว” ชีวิตกลับแย่ลง!
ลองดูชีวิตชาวนายุคแรกๆ:
- ทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไถ หว่าน เก็บเกี่ยว
- กินข้าวเปล่าๆ ทุกมื้อ อาหารจำเจ ขาดวิตามิน
- ติดอยู่กับที่ดิน ไปไหนไม่ได้
- ถ้าฝนแล้ง หรือแมลงกิน อดตายเป็นชุด
แล้วทำไมมนุษย์ถึงเลือกทำ? ฮาราริตอบว่า ไม่ใช่มนุษย์เลือกข้าวสาลี แต่ข้าวสาลีเลือกมนุษย์!
ยังไงล่ะ? ดูสิว่าข้าวสาลีได้อะไร:
- จากพืชป่าที่มีแค่ไม่กี่ไร่ กลายเป็นพืชที่ปกคลุมโลก
- มีมนุษย์คอยรดน้ำ ใส่ปุ่ย กำจัดศัตรูพืช
- มีมนุษย์คอยขยายพันธุ์ไปทั่วโลก
ส่วนมนุษย์ได้อะไร? ได้ประชากรเพิ่มขึ้น! ข้าวให้แคลอรี่เยอะ เลี้ยงคนได้มาก แม้ชีวิตแต่ละคนจะแย่ลง แต่จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
นี่คือบทเรียนสำคัญ: ในประวัติศาสตร์ สิ่งที่ “ดีต่อสปีชีส์” ไม่ได้หมายความว่า “ดีต่อปัจเจกบุคคล” เสมอไป
จากนักล่าที่มีเสรีภาพ เราก็กลายเป็นทาสของข้าวสาลี แต่ข้าวสาลีก็แพร่กระจายไปทั่วโลกด้วยความช่วยเหลือของเรา
บทที่ 3: ยุคแห่งการค้นพบ
ราว 500 ปีที่แล้ว เกิด “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” สิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง คือมนุษย์เริ่มยอมรับว่า “เราไม่รู้ทุกอย่าง”
ฟังดูธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่! เพราะก่อนหนั้า มนุษย์คิดว่ารู้ทุกอย่างแล้ว
เมื่อก่อน:
- คนโบราณคิดว่า พระเจ้าหรือบรรพบุรุษบอกทุกอย่างไว้แล้ว
- มีคำถาม? ไปถามพระ ถามหมอดู หรืออ่านตำราโบราณ
- ไม่ต้องทดลองหาคำตอบใหม่
ยุควิทยาศาสตร์:
- เริ่มทดลอง สังเกต สงสัย
- ยอมรับว่า “ไม่รู้” แล้วไปหาคำตอบ
- เชื่อว่าการศึกษาจะทำให้มีอำนาจมากขึ้น
ตัวอย่างชัดเจนคือการเดินเรือของยุโรป
เมื่อ 600 ปีที่แล้ว ชาวยุโรปเป็นแค่คนป่าเถื่อนในสายตาชาวจีน ชาวอาหรับ หรือชาวอินเดีย แต่พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่แตกต่าง: ความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อโคลัมบัสเดินเรือไปอเมริกา เขาไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร แต่ก็อยากรู้ ลองดูแผนที่เก่าๆ ของยุโรป เขียนว่า “ที่นี่มีมังกร” หรือ “ที่นี่ไม่รู้ว่ามีอะไร” แต่พวกเขาก็ไป!
ส่วนจีนที่เก่าแก่และอารยะกว่า กลับคิดว่ารู้ทุกอย่างแล้ว “โลกมีแค่จีนที่เป็นศูนย์กลาง ข้างนอกเป็นคนเถื่อน” ไม่อยากไปสำรวจ
ผลลพธ์? ยุโรปไปค้นพบทวีปใหม่ ขณะที่จีนนั่งอยู่บ้าน
วิทยาศาสตร์ เงิน และอำนาจ
ฮาราริอธิบายว่า สิ่งที่ทำให้ยุโรปไปยึดครองโลกได้ คือการรวมตัวของ 3 พลัง:
1. วิทยาศาสตร์ – ให้ความรู้และเทคโนโลยี
2. เงินทุน – ให้เงินลงทุนวิจัยและสำรวจ
3. จักรวรรดิ – ให้กำลังและอำนาจในการขยายตัว
เรื่องเล่าตัวอย่าง: การพิชิตอเมริกา
เมื่อสเปนไปอเมริกา พวกเขาไม่ได้ไปด้วยกำลัง 100,000 คน แต่ไปแค่หลายร้อยคน แล้วทำไมพิชิตอินคาและแอซเทคที่มีคนหลายล้านคนได้?
คำตอบ: เทคโนโลยี เงิน และการเมือง
- เทคโนโลยี: ม้า ปืน เหล็ก และสำคัญที่สุดคือ “เชื้อโรค” ที่คนอเมริกันดั้งเดิมไม่มีภูมิคุ้มกัน
- เงิน: นายทุนสเปนให้เงินลงทุน เพราะเชื่อว่าจะได้กำไร (และได้จริง!)
- การเมือง: สเปนรู้วิธีแบ่งแยกศัตรู หาพันธมิตรท้องถิน
นี่ไม่ใช่เรื่องของคนยุโรปเหนือกว่าในเรื่องศีลธรรม แต่เป็นเรื่องของการรวม 3 พลังนี้เข้าด้วยกันได้ดีที่สุดเท่านั้น
ศาสนาใหม่ของโลกสมัยใหม่
ฮาราริบอกว่า ปัจจุบันมนุษยชาติมี “ศาสนา” ใหม่ที่ทุกคนเชื่อ แม้จะไม่ได้มีพระเจ้า นั่นคือ:
1. ลัทธิเสรีนิยม (Liberalism)
เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีค่า มีเสรีภาพ มีสิทธิมนุษยชน
ตัวอย่างในชีวิตจริง: ประชาธิปไตย การเลือกตั้ง สิทธิในการพูด การคุ้มครองปัจเจกบุคคล
2. ลัทธิสังคมนิยม
เชื่อว่าความเท่าเทียมกันสำคัญกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล
ตัวอย่าง: ระบบสวัสดิการ การกระจายความมั่งคั่ง การดูแลคนจน
3. ลัทธิมนุษย์นิยม
เชื่อว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล คือสิ่งมีค่าที่สุด
ทุกศาสนาเหล่านี้มีเรื่องเดียวกัน: เป็นแค่ “เรื่องแต่ง” ที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่มีในธรรมชาติ แต่ก็มีพลังมหาศาลในการปกครองโลก
เรามีความสุขมากขึ้นจริงมั้ย?
นี่คือคำถามที่ฮาราริถามในตอนท้าย เรามีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย อายุยืนขึ้น ความสะดวกสบายมากขึ้น แต่เรามีความสุขมากขึ้นจริงมั้ย?
ลองเปรียบเทียบ:
มนุษย์ยุคหิน:
- ทำงานแค่ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน
- เวลาว่างเยอะ อยู่กับครอบครัวมาก
- กังวลแค่เรื่องอาหารและความปลอดภัย
- ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
มนุษย์สมัยใหม่:
- ทำงาน 8 ชั่วโมงขึ้นไป บางคนทำงานล่วงเวลา
- ความเครียดจากการแข่งขัน ค่าใช้จ่าย การเมือง
- มีสิ่งของมากมาย แต่ไม่แน่ใจว่ามีความสุขมากกว่า
- ความสัมพันธ์กับคนอื่นอาจตื้นเขิน
ฮาราริไม่ได้ตอบว่าใครมีความสุขมากกว่า แต่ให้เราคิดเอง เขาบอกว่า ความสุขอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอกมากเท่าที่คิด แต่ขึ้นอยู่กับเคมีในสมอง
อนาคตที่น่าตื่นเต้นและน่ากลัว
ฮาราริมองไปข้างหน้า เขาบอกว่ามนุษยชาติกำลังจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ที่อาจใหญ่กว่า 3 การปฏิวัติที่ผ่านมา
เราจะสามารถ:
- แก้ไขพันธุกรรม – ออกแบบลูกให้ฉลาด สวย แข็งแรง
- สร้างปัญญาประดิษฐ์ – ที่ฉลาดกว่ามนุษย์เสียอีก
- ยืดอายุขัยให้เป็นอมตะ – อาจไม่ต้องตายจากความแก่
แต่คำถามคือ: เราต้องการอะไรกันแน่? เราจะใช้พลังเหล่านี้ทำอะไร?
ตัวอย่างคำถามที่น่าคิด:
- ถ้าคนรวยสามารถออกแบบลูกให้ฉลาดและสวยได้ แล้วคนจนจะทำยังไง?
- ถ้า AI ฉลาดกว่ามนุษย์ แล้วมนุษย์จะมีหน้าที่อะไรในโลก?
- ถ้าคนบางคนอมตะได้ แต่คนบางคนไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น?
เรื่องเล่าที่ไม่จบ
“Sapiens” ไม่ใช่แค่หนังสือประวัติศาสตร์ แต่เป็นกระจกที่ให้เราส่องดูตัวเอง เราเป็นสปีชีส์ที่น่าอัศจรรย์ สร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้มากมาย แต่ก็สร้างปัญหามากมายเช่นกัน
บทเรียนสำคัญจากหนังสือ:
- พลังแห่งการจินตนาการ – สิ่งที่ทำให้เราพิเศษคือความสามารถในการเชื่อเรื่องเดียวกันเป็นล้านคน
- การเปลี่ยนแปลงไม่ได้หมายความว่าดีขึ้นเสมอ – การเกษตรทำให้เราแพร่พันธุ์มากขึ้น แต่ชีวิตแต่ละคนไม่จำเป็นต้องดีขึ้น
- ความรู้คือพลัง – การยอมรับว่า “เราไม่รู้” และหาความรู้ใหม่ ทำให้เราไปได้ไกล
- ศาสนาและความเชื่อปกครองโลก – สิ่งที่เราเรียกว่า “ความจริง” หลายอย่างเป็นแค่เรื่องที่เราตกลงกันเชื่อ
- คำถามสำคัญคือ “เราต้องการอะไร” – มีพลังมากขึ้น แต่จะใช้ทำอะไร?
เรื่องเล่าของมนุษยชาติยังไม่จบ และเราทุกคนคือส่วนหนึ่งของเรื่องเล่านี้ สิ่งที่เราทำวันนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลัง
ดังนั้น… เราจะเขียนบทต่อไปของมนุษยชาติอย่างไรกันดี?
#hrรีพอร์ต
Leave a comment