วันหนึ่งลูกสาววัย 15 ปีของฮาราริถามเขาว่า “พ่อครับ หนูควรเรียนอะไรดีหล่ะ เพื่อให้อนาคตหนูดีขึ้น?” คำถามง่ายๆ นี้กลับทำให้นักประวัติศาสตร์ชื่อดังต้องคิดหนัก เพราะโลกในยุคนี้เปลี่ยนแปลงเร็วจนแทบไม่มีใครตอบได้แน่ชัด
หนังสือ “21 Lessons for the 21st Century” จึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบคำถามนี้ ไม่ใช่แค่สำหรับลูกสาวของเขา แต่สำหรับเราทุกคนที่กำลังอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
เมื่อหุ่นยนต์มาแย่งงาน: ปัญหาแรกของยุคใหม่
ลองนึกภาพคุณเป็นคนขับแท็กซี่ที่ทำงานมา 20 ปี รู้จักทุกซอกทุกซอยในกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี แต่วันหนึ่งมี Grab มา แล้วก็มีรถยนต์ไร้คนขับตามมา งานที่คุณทำมาทั้งชีวิตอาจหายไปในชั่วข้ามคืน
ฮาราริเล่าให้ฟังว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในประวัติศาสตร์ เมื่อ 200 ปีที่แล้วเมื่อเครื่องจักรไอน้ำมา คนทำงานในฟาร์มก็ต้องไปทำงานในโรงงาน เมื่อ 50 ปีที่แล้วเมื่อคอมพิวเตอร์มา คนทำงานในโรงงานก็ต้องไปทำงานในออฟฟิศ
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะ AI ไม่ได้แย่งแค่งานใช้แรงงาน แต่รวมถึงงานใช้สมองด้วย นึกดูสิ ตอนนี้ ChatGPT เขียนบทความได้ แพทย์ AI วินิจฉัยโรงได้แม่นกว่าหมอคน แล้วมนุษย์จะทำอะไรได้บ้าง?
ฮาราริบอกว่าคำตอบไม่ใช่การต่อต้านเทคโนโลยี แต่เป็นการ เรียนรู้ที่จะปรับตัว เขายกตัวอย่าง คนขับแท็กซี่อาจไปเรียนเป็นไกด์นำเที่ยว เพราะงานที่ต้องใช้ “ความเป็นมนุষย์” อย่างการเล่าเรื่อง การเข้าใจอารมณ์ การสร้างความสัมพันธ์ ยังคงเป็นสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ดีเท่ามนุษย์
ความจริงที่หาไม่เจอ: เมื่อข่าวปลอมครองโลก
ช่วงโควิด-19 ระบาด เราคงเห็นกันแล้วว่าข่าวปลอมแพร่เร็วแค่ไหน วันหนึ่งมีคนแชร์ข่าวว่า “ดื่มน้ำร้อนฆ่าไวรัสได้” ไม่กี่ชั่วโมงข่าวนี้แพร่ไปทั่วโลก แต่ข่าวจริงจากองค์การอนามัยโลกที่บอกว่า “ไม่จริง” กลับแพร่ช้ากว่า
ฮาราริอธิบายว่าสมองเรา ชอบเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากกว่าเรื่องจริง ข่าวว่า “นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีรักษาโรคมะเร็งแล้ว!” ฟังดูน่าสนใจกว่า “นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองเบื้องต้นกับหนูแล็บ ผลออกมาดี แต่ต้องใช้เวลาอีก 10 ปีกว่าจะทดลองกับคน”
วิธีแก้ไขคือเรียนรู้การ คิดอย่างมีวิจารณญาณ เขาแนะนำให้เราถามตัวเองเสมอ 3 คำถาม:
- ใครเป็นคนเขียนข่าวนี้? เขามีความรู้จริงหรือเปล่า?
- เขาได้อะไรจากการแพร่ข่าวนี้?
- มีแหล่งข้อมูลอื่นยืนยันหรือไม่?
ประชาธิปไตยในวิกฤต: เมื่อการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออก
ฮาราริเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง ในปี 2016 คนอังกฤษโหวต Brexit (ออกจากสหภาพยุโรป) แต่หลังจากนั้นหลายคนออกมาบอกว่า “ไม่รู้จักว่า Brexit คืออะไร แค่อยากประท้วงรัฐบาล”
นี่คือปัญหาของประชาธิปไตยยุคใหม่ ประเด็นการเมืองซับซ้อนขึ้น แต่เราดันให้คนทั่วไปตัดสินใจในเรื่องที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่แน่ใจ
เขายกตัวอย่าง ถ้าคุณป่วยหนัก คุณจะให้คนในครอบครัวโหวตว่าจะผ่าตัดหรือกินยา หรือจะไปหาหมอเฉพาะทาง? แล้วทำไมเรื่องประเทศเราถึงให้คนทั่วไปโหวตได้?
ฮาราริไม่ได้บอกว่าประชาธิปไตยแย่ แต่เขาบอกว่าเราต้อง ปรับปรุงระบบ ให้คนมีข้อมูลมากขึ้นก่อนตัดสินใจ และต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้การเมืองกลายเป็นเหมือนการเชียร์กีฬา ที่คนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายโดยไม่ดูเนื้อหา
สงครามแห่งอนาคต: ไม่ใช่ปืนใหญ่ แต่เป็นข้อมูล
ข่าวดีคือโลกสงบขึ้นกว่าเก่า ในปี 2020 มีคนตายจากสงครามน้อยกว่าคนตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ แต่สงครามรูปแบบใหม่กำลังเกิดขึ้น
รัสเซียไม่ได้ส่งทหารมาตีอเมริกา แต่ส่งข่าวปลอมทาง Facebook จีนไม่ได้ส่งเรือรบมาตีไต้หวัน แต่แฮกข้อมูลบริษัทไต้หวัน เกาหลีเหนือไม่ได้ยิงขีปนาวุธใส่เกาหลีใต้ แต่แฮกธนาคารเกาหลีใต้
ฮาราริเปรียบว่า สงครามยุคใหม่เหมือนการเล่นหมากรุก ไม่ใช่การต่อยมวย ใครควบคุมข้อมูลได้มากกว่า ใครชนะ เขายกตัวอย่าง บริษัท Cambridge Analytica ใช้ข้อมูล Facebook ของคนอเมริกัน 50 ล้านคน มาวิเคราะห์ว่าแต่ละคนชอบอะไร แล้วส่งโฆษณาการเมืองแบบ “ตัดสินใจแทนคุณ” ให้ดู
วิธีป้องกันคือเราต้อง รู้ตัวว่าข้อมูลเราถูกใช้อย่างไร และต้องระวังเมื่อเห็นโฆษณาหรือข่าวที่ตรงกับความคิดเราเป็นอย่างมาก เพราะอาจเป็นเพราะ AI รู้ว่าเราชอบอะไร แล้วป้อนข้อมูลให้เราเห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น
ศาสนาในยุคเทคโนโลยี: เมื่อ Google รู้เราดีกว่าพระเจ้า
ฮาราริ (ที่เป็นชาวยิว) เล่าว่าเมื่อเขาอยากรู้ว่าควรแต่งงานกับแฟนหรือไม่ เขาไม่ได้ไปถามพระรับี แต่ไปอ่าน Google search history ของตัวเอง ดูว่าตัวเองค้นหาอะไรบ้าง แล้วก็วิเคราะห์ว่าตัวเองคิดยังไง
นี่คือปัญหาใหม่ที่ศาสนาต้องเผชิญ เมื่อก่อน คนต้องการคำแนะนำเรื่องชีวิต ก็ไปถามพระ หรือผู้นำทางศาสนา แต่ตอนนี้ AI รู้ว่าเราชอบอะไร เกลียดอะไร กลัวอะไร มากกว่าตัวเราเองเสียอีก
แต่ฮาราริไม่ได้บอกว่าศาสนาจะหมดความสำคัญ เขาบอกว่าศาสนามีบทบาทสำคัญในการ ให้ความหมายกับชีวิต และการ สร้างชุมชน ที่ AI ทำไม่ได้ แค่ศาสนาต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
เขายกตัวอย่าง วัดบางแห่งเริ่มใช้แอปให้คนบริจาคเงิน มัสยิดบางแห่งใช้ VR ให้คนที่ไปฮัจจ์ไม่ได้ ได้สัมผัสบรรยากาศเมกกะ แม้จะเป็นเทคโนโลยี แต่ความรู้สึกศรัทธายังคงเหมือนเดิม
การศึกษาที่ล้าสมัย: เมื่อโรงเรียนยังสอนแบบศตวรรษที่ 20
ลูกของคุณกำลังเรียน ม.6 เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 3,000 คำ เพื่อจะได้คะแนน TOEFL สูงๆ แต่ Google Translate แปลได้ 100 ภาษาภายใน 1 วินาที แล้วทำไมเราถึงยังบังคับให้เด็กจำคำศัพท์?
ฮาราริบอกว่าระบบการศึกษาปัจจุบัน ออกแบบมาสำหรับยุคโรงงาน ที่ต้องการคนที่ท่องจำได้เก่ง ทำงานซ้ำๆ ได้ แต่ยุคนี้เครื่องจักรทำงานซ้ำได้ดีกว่า สิ่งที่เราต้องการคือคนที่ คิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหา และ ปรับตัวได้เร็ว
เขายกตัวอย่างเด็กในฟินแลนด์ เขาไม่ได้เรียนจำสูตรคณิตศาสตร์ แต่เรียน “วิธีการคิด” เมื่อเจอโจทย์ปัญหา เด็กจะรู้จักหาข้อมูล วิเคราะห์ และหาทางออกเอง ผลคือเด็กฟินแลนด์เก่งที่สุดในโลกเรื่องการแก้ปัญหา
การศึกษายุคใหม่ควรสอน 4 อย่าง:
- Critical thinking คิดอย่างมีเหตุผล
- Communication สื่อสารได้ชัดเจน
- Collaboration ทำงานร่วมกับคนอื่นได้
- Creativity คิดสิ่งใหม่ๆ ออกมาได้
ความหมายของชีวิต: เมื่ออนาคตไม่แน่นอน
สุดท้าย ฮาราริตั้งคำถามที่ลึกที่สุด ถ้าโลกเปลี่ยนเร็วขนาดนี้ แล้วเราจะหาความหมายในชีวิตได้อย่างไร?
เขาเล่าเรื่องของตัวเอง เมื่อเขาเครียดจากการเขียนหนังสือ เขาจะไปนั่งสมาธิ ไม่คิดถึงอนาคต ไม่กังวลเรื่องอดีต แค่อยู่กับปัจจุบันขณะนี้ เขาบอกว่าการทำสมาธิทำให้เขารู้จักตัวเองมากขึ้น และไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
แต่เขาไม่ได้บอกให้ทุกคนไปนั่งสมาธิ เขาบอกว่าแต่ละคนมีวิธีหาความหมายที่ต่างกัน บางคนหาจากการช่วยเหลือผู้อื่น บางคนหาจากการสร้างสิ่งใหม่ บางคนหาจากครอบครัว สิ่งสำคัญคือต้อง รู้จักตัวเอง ว่าอะไรทำให้เราดีใจ อะไรทำให้เราภูมิใจ
สรุป: เตรียมตัวอย่างไรให้รอดในโลกใหม่
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราอาจรู้สึกท้อแท้บ้าง กลัวอนาคตบ้าง แต่ฮาราริไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อให้เรากลัว เขาเขียนเพื่อให้เราเตรียมตัว
เขาบอกว่าคนที่จะอยู่รอดในโลกใหม่ได้คือคนที่:
1. ยืดหยุ่น – ไม่ยึดติดกับอาชีพเดียว ทักษะเดียว แต่พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา
2. มีวิจารณญาณ – ไม่เชื่อทุกอย่างที่อ่าน รู้จักตรวจสอบข้อมูล
3. รู้จักตัวเอง – รู้ว่าเราดีเรื่องอะไร ชอบอะไร อยากทำอะไรในชีวิต
4. ต่อเนื่อง – เรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่
5. เมตตา – ไม่ลืมความเป็นมนุษย์ แม้โลกจะเทคโนโลยีมากแค่ไหน
เมื่อลูกสาววัย 15 ปีถามเขาว่าควรเรียนอะไร ฮาราริตอบว่า “เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ เรียนรู้วิธีการเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้วิธีการรู้จักตัวเอง”
โลกอาจเปลี่ยน แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือการที่เราต้องปรับตัวตลอดเวลา และนั่นคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดสำหรับศตวรรษที่ 21
ในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สิ่งเดียวที่แน่นอนคือการเปลี่ยนแปลง เตรียมตัวให้พร้อม แล้วเราจะผ่านพ้นไปได้
#hrรีพอร์ต
Leave a comment