ตอนที่ 1: จากสัตว์ป่าสู่เทพเจ้า

เมื่อประมาณ 70,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เราเป็นแค่สัตว์ชนิดหนึ่งในป่าใหญ่แอฟริกา ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก แต่วันนี้เราสามารถส่งจรวดไปดวงจันทร์ รักษาโรคร้ายให้หาย และสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดเกือบเท่าเรา

ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอล ได้เล่าเรื่องน่าทึ่งนี้ในหนังสือ “Homo Deus: A Brief History of Tomorrow” เขาพาเราเดินทางจากอดีตสู่อนาคต ผ่านเรื่องเล่าที่ทำให้เราต้องหยุดคิดว่า… มนุษย์กำลังจะเป็นอะไรต่อไป?

ตอนที่ 2: ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

เมื่อเราเอาชนะ “ศัตรูเก่า” 3 ตัวได้แล้ว

ตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เราต่อสู้กับปัญหาใหญ่ 3 อย่างคือ ความอดอยาก โรคร้าย และสงคราม ฮาราริบอกว่าในศตวรรษที่ 21 เราเอาชนะมันได้แล้วเกือบทั้งหมด

เรื่องความอดอยาก: ในอดีต คนตายเพราะขาดอาหารเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกวันนี้ คนที่เป็นโรคอ้วนมีมากกว่าคนที่ขาดอาหาร ปี 2010 ทั่วโลกมีคนอดอยากประมาณ 1 ล้านคน แต่มีคนเป็นโรคอ้วนถึง 1.5 พันล้านคน!

เอาตัวอย่างประเทศไทยดู เมื่อ 50 ปีก่อน คนไทยหลายคนยังขาดอาหาร แต่ตอนนี้เราห่วงเรื่องคนไทยอ้วนกันมากกว่า ร้านอาหารมีทั่วทุกซอย แม็คโดนัลด์ KFC เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

เรื่องโรคร้าย: ในยุคก่อน คนตายเพราะไข้หวัดใหญ่ได้ แต่ตอนนี้เราผลิตวัคซีนได้ รักษาเอดส์ได้ ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้ ยาแก้โรคมะเร็งก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2020 เมื่อโควิด-19 ระบาด เราสามารถผลิตวัคซีนได้ภายในแค่ 1 ปี สิ่งที่เคยใช้เวลา 10-15 ปี

เรื่องสงคราม: แม้จะยังมีความขัดแย้ง แต่สงครามขนาดใหญ่เหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ไม่เกิดขึ้นแล้ว ทุกวันนี้ คนฆ่าตัวตายมากกว่าคนที่ตายจากสงคราม คนตายจากอุบัติเหตุมากกว่าคนที่ถูกฆาตกรรม

ตอนที่ 3: เป้าหมายใหม่ – กลายเป็น “โฮโม เดอุส” (Homo Deus)

เมื่อปัญหาเก่าหมดไป มนุษย์ก็ตั้งเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่กว่า นั่นคือการกลายเป็น “โฮโม เดอุส” หรือ “มนุษย์เทพ” ด้วยเป้าหมาย 3 อย่าง:

1. อมตะ (Immortality)

คนเราไม่อยากตายใช่มั้ย? ในอนาคต เราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ 200-300 ปี หรือแม้แต่ไม่ตายเลย

ตอนนี้เราเห็นสัญญาณแล้ว นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาเรื่องการชะลอความแก่ มีคนพยายามแช่แข็งร่างกายเพื่อรอเทคโนโลยีในอนาคต บริษัทใหญ่ๆ เช่น Google ลงทุนวิจัยการต่อต้านความแก่หลายพันล้านดอลลาร์

คิดดูสิ ถ้าเราอยู่ได้ 300 ปี เราจะเห็นโลกเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่? เราจะได้เรียนหลายอาชีพ มีชีวิตหลายช่วง แต่ก็มีคำถามตาม… แล้วโลกจะรับไหวมั้ย?

2. ความสุขสมบูรณ์ (Bliss)

คนเราอยากมีความสุขตลอดเวลา ไม่อยากเศร้า ไม่อยากเครียด ในอนาคต เราอาจมียาที่กินแล้วมีความสุขตลอด หรือใส่ชิปในสมองเพื่อควบคุมอารมณ์

ตอนนี้เราก็เห็นแล้ว ยาแก้ซึมเศร้า ยาแก้ความวิตกกังวล คนกินกันมากขึ้น เกมส์ออนไลน์ทำให้เราได้รับความสุขชั่วคราว โซเชียลมีเดียก็เหมือนกัน เราได้ “ไลค์” แล้วมีความสุข

แต่ถ้าเรามีความสุขตลอดเวลา เราจะยังเป็นมนุษย์อยู่มั้ย? ความเศร้า ความโกรธ ความผิดหวัง มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์เหรอ?

3. พลังเหนือมนุษย์ (Divinity)

เราอยากมีความสามารถเหมือนเทพเจ้าในเทพนิยาย อยากบินได้ อ่านใจคนอื่นได้ จำอะไรได้หมด ฉลาดกว่าไอน์สไตน์

เทคโนโลยีกำลังทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริงได้ เราสามารถใส่ชิปในสมองเพื่อเพิ่มความจำ ใส่อุปกรณ์เพื่อเพิ่มพลัง หูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ก็เหมือนเราเข้าใจทุกภาษาทันที

คิดดูสิ คนที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ เขาจะฉลาดกว่า แข็งแกร่งกว่า และสามารถทำอะไรได้มากกว่าคนธรรมดา เขาจะยังเป็น “มนุษย์” เหมือนเราอยู่มั้ย?

ตอนที่ 4: ศาสนาใหม่ 3 แบบที่กำลังเกิดขึ้น

ฮาราริบอกว่า ในโลกยุคใหม่ กำลังมี “ศาสนา” ใหม่ 3 แบบที่คนเริ่มเชื่อถือ:

1. ลัทธิมนุษย์นิยม (Humanism)

เชื่อว่ามนุษย์สำคัญที่สุด ความรู้สึกและความต้องการของมนุษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด: เมื่อเราต้องตัดสินใจอะไร เรามักจะถามตัวเองว่า “ใจเราอยากยังไง?” “รู้สึกยังไง?” เราเชื่อว่าความรู้สึกของเราถูกต้อง

ในการเมือง เราเชื่อในประชาธิปไตย คือให้คนโหวตตามใจ ในเศรษฐกิจ เราเชื่อในการตลาดเสรี คือให้คนซื้อสิ่งที่ชอบ ในชีวิตส่วนตัว เราเชื่อว่าแต่ละคนมีสิทธิ์เลือกคู่ครอง อาชีพ ศาสนา

2. ลัทธิข้อมูลนิยม (Dataism)

เชื่อว่าข้อมูลและอัลกอริธึมคือทุกสิ่ง และอัลกอริธึมรู้เราดีกว่าเรารู้จักตัวเอง

ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน:

  • Netflix รู้ว่าเราอยากดูหนังเรื่องไหน ดีกว่าเรารู้จักตัวเอง
  • Google รู้ว่าเราสนใจอะไร จากการที่เราค้นหา
  • Spotify รู้ว่าเราอยากฟังเพลงไหน
  • แอปหาคู่รู้ว่าเราควรคบกับใคร

เราเริ่มไว้ใจ “อัลกอริธึม” มากกว่าตัวเราเอง เวลาหาร้านอาหาร เราดู Google Review เวลาซื้อของ เราดูรีวิวใน Shopee เวลาดูหนัง เราดูคะแนนใน IMDb

3. ลัทธิเทคโนโลยีนิยม (Techno-Humanism)

เชื่อว่าเทคโนโลยีจะแก้ปัญหาทุกอย่าง และมนุษย์ควรผสานกับเครื่องจักรเพื่อกลายเป็น “ไซบอร์ก”

ตัวอย่าง:

  • คนที่ใส่เครื่องช่วยฟัง เครื่องกระตุ้นหัวใจ ขาเทียม
  • คนที่ใช้สมาร์ทโฟนทุกวัน จนเหมือนโทรศัพท์เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
  • คนที่ฟิตเนสด้วยแอปฯ ที่วัดชีพจร นับก้าว วิเคราะห์การนอน

ในอนาคต เราอาจใส่ชิปในสมองเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตรงๆ ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของโลกได้ทันที

ตอนที่ 5: อนาคตที่น่ากลัว – ชนชั้น “คนไร้ประโยชน์”

เมื่อ AI และหุ่นยนต์ทำงานเก่งกว่าเรา

สิ่งที่ฮาราริเตือนคือ ในอนาคต มนุษย์อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม:

กลุ่มที่ 1: ชนชั้นสูงใหม่ (Enhanced Humans) คนที่มีเงินใช้เทคโนโลยียกระดับตัวเอง ฉลาดขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อายุยืนขึ้น กลายเป็น “ซูเปอร์ฮิวแมน”

กลุ่มที่ 2: ชนชั้น “ไร้ประโยชน์” (Useless Class)
คนธรรมดาที่กลายเป็น “คนไร้ประโยชน์” เพราะเครื่องจักรและ AI ทำงานได้ดีกว่า ถูกกว่า และไม่บ่น

ตัวอย่างที่เราเห็นแล้ววันนี้:

  • พนักงานรีเซฟชั่นถูกแทนที่ด้วยแอปฯ Check-in ออนไลน์
  • พนักงานธนาคารถูกแทนที่ด้วย ATM และ Mobile Banking
  • คนขับแท็กซี่กำลังจะถูกแทนที่ด้วยรถไร้คนขับ
  • ล่ามภาษาถูกแทนที่ด้วย Google Translate
  • นักข่าวบางคนถูกแทนที่ด้วย AI ที่เขียนข่าวกีฬา ข่าวหุ้นได้

ตัวอย่างจากชีวิตจริง

ลองคิดถึงเพื่ๆน คนรอบตัวเรา:

ป้าที่ขายข้าวผัด – เมื่อมีหุ่นยนต์ทำอาหารที่ทำได้เก่งกว่า เร็วกว่า สะอาดกว่า ราคาถูกกว่า ป้าจะทำงานอะไร?

พี่ที่ทำงานบุ๊คคีปปิ้ง – เมื่อมีซอฟต์แวร์ที่ทำบัญชีได้เองอัตโนมัติ ไม่ผิดพลาด ทำงานได้ 24 ชั่วโมง พี่จะทำงานอะไร?

หมอที่วินิจฉัยโรค – เมื่อมี AI ที่ดูภาพถ่ายรังสีได้แม่นยำกว่า วินิจฉัยโรคได้เร็วกว่า หมอจะมีบทบาทยังไง?

คำถามใหญ่คือ… ถ้าคนเหล่านี้ไม่มีงานทำ เขาจะอยู่ยังไง? รัฐบาลจะต้องเลี้ยงหรือเปล่า? หรือจะปล่อยให้เขาอดตาย?

ตอนที่ 6: ข้อมูลคือพระเจ้าใหม่

เมื่ออัลกอริธึมรู้เราดีกว่าเรารู้จักตัวเอง

ฮาราริเล่าเรื่องน่าคิดเรื่องหนึ่ง: ในอนาคต เมื่อเราเดินผ่านร้านไอศกรีม อัลกอริธึมในสมาร์ทโฟนอาจจะบอกเราว่า “อย่ากินเลย วันนี้คุณกินน้ำตาลเกินแล้ว และคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ใช่มั้ย?”

อัลกอริธึมรู้จาก:

  • ข้อมูลสุขภาพจากสมาร์ทวอทช์
  • รายการอาหารที่เราสั่งจากแอปฯ
  • เป้าหมายลดน้ำหนักที่เราตั้งไว้
  • ข้อมูลพันธุกรรมที่บอกว่าเราเสี่ยงเป็นเบาหวาน

คำถามคือ… เราจะฟังอัลกอริธึมหรือฟังใจเรา?

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ววันนี้

  • การหาคู่: แอป Tinder, Bumble วิเคราะห์พฤติกรรมเราแล้วแนะนำคนที่ “เหมาะ” กับเรา แต่จริงๆ แล้วมันรู้เราดีกว่าเรารู้จักตัวเองหรือเปล่า?
  • การลงทุน: Robo-advisor วิเคราะห์ข้อมูลตลาดหุ้นแล้วแนะนำการลงทุน คนมากมายให้ AI ตัดสินใจการเงินแทน
  • การรักษาโรค: IBM Watson วินิจฉัยโรคมะเร็งได้แม่นยำกว่าหมอในบางกรณี แล้วเราจะเชื่อหมอหรือเชื่อ AI?
  • การเลี้ยงลูก: แอปฯ เลี้ยงลูกบอกเวลานอน เวลากิน เวลาเล่น แม่รุ่นใหม่หลายคนฟังแอปฯ มากกว่าฟังสัญชาตญาณตัวเอง

ตอนที่ 7: เมื่อการเมืองถูกแฮ็ก

ประชาธิปไตยในยุคข้อมูลใหญ่

ฮาราริเตือนว่า ระบบประชาธิปไตยที่เราใช้กันอยู่อาจจะใช้ไม่ได้ในยุคที่ข้อมูลมีพลังมาก

เพราะ:

  • คนทั่วไปไม่มีข้อมูลเพียงพอ ในการตัดสินใจเรื่องซับซ้อน เช่น นโยบายเศรษฐกิจ เทคโนโลยี AI หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ข้อมูลสามารถถูกจัดการได้ ใครที่ควบคุมข้อมูล ก็ควบคุมความคิดของผู้คนได้

ตัวอย่าง: การเลือกตั้งในหลายประเทศถูก “แฮ็ก” ด้วยข่าวปลอมในโซเชียลมีเดีย คนโหวตตามอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลที่บิดเบือน

อนาคตของการเมือง

ในอนาคต การเมืองอาจกลายเป็น:

  • เทคโนเครซี่: ให้คนเก่ง คนที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีเป็นผู้นำ
  • อัลกอครซี่: ให้อัลกอริธึมเป็นผู้ตัดสินใจนโยบาย
  • ข้อมูลาธิปไตย: ใครมีข้อมูลมาก ใครมีอำนาจ

จีนเป็นตัวอย่างประเทศที่กำลังทดลอง “Social Credit System” ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของพลเมืองให้คะแนนความน่าเชื่อถือ คนที่คะแนนต่ำถูกจำกัดสิทธิ์เดินทาง ขอกู้เงิน หางาน

ตอนที่ 8: ความหมายของชีวิตในยุคใหม่

เมื่อเราไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร

ปัญหาใหญ่ที่ฮาราริตั้งคำถามคือ: เมื่อเราผสานกับเทคโนโลยีมากขึ้น เราจะยังเป็น “มนุษย์” อยู่มั้ย?

คิดดูสิ:

  • ถ้าเราใส่ชิปในสมองเพื่อเพิ่มความจำ ความคิดที่เกิดขึ้นเป็นของเราหรือของชิป?
  • ถ้าเราใช้ AI ช่วยตัดสินใจทุกเรื่อง การตัดสินใจนั้นเป็นของเราหรือของ AI?
  • ถ้าเราดัดแปลงยีนให้ลูกฉลาดสวย เขายังเป็น “คน” เหมือนเราไหม?

ตัวอย่างจากยุคปัจจุบัน

แม้ทุกวันนี้เราก็เริ่มเห็นปัญหานี้แล้ว:

เด็กยุคใหม่: เกิดมาพร้อมสมาร์ทโฟน มีข้อมูลทั้งโลกปลายนิ้ว แต่กลับไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ ไม่รู้จักอดทน ไม่รู้จักเล่นกับเพื่อนแบบแท้ๆ

คนทำงานออฟฟิศ: ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานทุกอย่าง จนไม่รู้จักคิดหรือคำนวณด้วยตัวเอง ถ้าไฟฟ้าดับ งานก็หยุด

คนใช้ GPS: ใช้แผนที่ดิจิทัลจนไม่รู้จักจำทาง ถ้าโทรศัพท์เสีย หาทางไม่เป็น

เราจะไปทางไหนกันแน่?

ตอนที่ 9: คำเตือนสำคัญ

3 ภัยใหญ่ที่เราต้องระวัง

ฮาราริเตือนเราถึงภัยใหญ่ 3 อย่าง:

1. ความไม่เท่าเทียมที่รุนแรงมาก คนรวยจะใช้เทคโนโลยียกระดับตัวเอง กลายเป็น “เหนือมนุษย์” ส่วนคนจนจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ชนชั้นใหม่จะเกิดขึ้น: ชนชั้น “เทพ” และชนชั้น “คนไร้ประโยชน์”

2. การสูญเสียความเป็นมนุษย์ เมื่อเราพึ่งพาเทคโนโลยีทุกเรื่อง เราอาจจะลืมความหมายของความเป็นมนุษย์ ลืมวิธีการรู้สึก คิด และเชื่อมต่อกับคนอื่น

3. การสูญเสียอำนาจตัดสินใจ เมื่ออัลกอริธึมตัดสินใจทุกอย่างแทนเรา เราจะกลายเป็นแค่คนรับคำสั่ง ไม่มีอำนาจควบคุมชีวิตตัวเอง

แล้วเราจะทำยังไง?

ฮาราริไม่ได้บอกคำตอบที่แน่นอน แต่เขาให้เรา “ตั้งคำถาม” กับตัวเอง:

  1. เราอยากให้อนาคตเป็นแบบไหน? อยากให้เทคโนโลยีช่วยเหลือมนุษย์ หรืออยากให้เทคโนโลยีแทนที่มนุษย์?
  2. เราจะยังคงความเป็นมนุษย์ไว้ยังไง? อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเป็น “มนุษย์” และเราจะรักษามันไว้ได้ยังไง?
  3. เราจะแบ่งปันประโยชน์จากเทคโนโลยีกันยังไง? จะทำยังไงไม่ให้คนรวยกับคนจนห่างกันมากขึ้น?

ตอนที่ 10: บทสรุป – เรื่องเล่าที่ยังไม่จบ

อนาคตไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นทางเลือก

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในหนังสือ Homo Deus คือ ฮาราริไม่ได้บอกว่าอนาคตจะเป็นแบบไหนแน่ๆ เขาแค่เตือนเราว่า ถ้าเราไม่ตื่นตัว ไม่คิด ไม่เตรียมตัว เราอาจจะไม่ชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาบอกว่า: “เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การทำนาย แต่เป็นการสำรวจความเป็นไปได้ เพื่อให้เราได้เตรียมตัวและเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด”

ตัวอย่างที่ให้กำลังใจ

แม้จะฟังดูน่ากลัว แต่ก็มีตัวอย่างดีๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว:

ในด้านการศึกษา: เทคโนโลยีช่วยให้เด็กในถิ่นทุรกันดารมีโอกาสเรียนรู้เท่ากับเด็กในเมืองใหญ่ คอร์สออนไลน์ฟรีทำให้คนจนได้เรียนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ

ในด้านสุขภาพ: เทคโนโลยีช่วยรักษาคนพิการให้เดินได้ คนตาบอดให้มองเห็น คนหูหนวกให้ได้ยิน

ในด้านการสื่อสار: เทคโนโลยีเชื่อมต่อคนทั่วโลกให้เข้าใจกันมากขึ้น แปลภาษาให้คุยกันได้ แชร์ความรู้ให้กันฟรี

คำถามสำคัญสำหรับคนไทย

ในฐานะที่เราเป็นคนไทย เราควรถามตัวเองว่า:

1. ประเทศไทยจะเตรียมตัวยังไงกับการเปลี่ยนแปลงนี้?

  • ระบบการศึกษาเราจะสอนเด็กให้เตรียมพร้อมกับยุคใหม่ได้มั้ย?
  • คนไทยจะมีทักษะที่ไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรได้มั้ย?

2. เราจะรักษาเอกลักษณ์ไทยไว้ยังไง?

  • วัฒนธรรม ประเพณี ภาษาไทย จะอยู่รอดในยุคที่ทุกอย่างเป็นดิจิทัล?
  • ความเป็น “คนไทย” จะมีความหมายยังไงในอนาคต?

3. เราจะใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาประเทศได้ยังไง?

  • จะทำยังไงให้เทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาความยากจน การศึกษา สุขภาพของคนไทย?
  • จะทำยังไงให้คนไทยทุกคนได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่คนรวย?

5 สิ่งที่เราทำได้ตั้งแต่วันนี้

1. เรียนรู้ตลอดชีวิต อย่าคิดว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วจะไม่ต้องเรียนอีก ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา

2. ฝึกทักษะที่เครื่องจักรทำไม่ได้

  • ความคิดสร้างสรรค์
  • ความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่น
  • การแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์
  • การทำงานร่วมกับคนอื่น

3. ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด อย่าให้เทคโนโลยีครอบงำชีวิต ใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือ ไม่ใช่ปล่อยให้มันควบคุมเรา

4. คิดอย่างมีวิจารณญาณ อย่าเชื่อข้อมูลง่ายๆ เรียนรู้วิธีการแยกแยะข่าวจริงกับข่าวปลอม คิดก่อนแชร์

5. ใส่ใจสังคม อย่าคิดแค่ตัวเอง ช่วยเหลือคนรอบข้างให้ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าสังคมดี เราก็จะอยู่ดี

ข้อความสุดท้าย

Homo Deus ไม่ใช่หนังสือที่ให้คำตอบ แต่เป็นหนังสือที่ให้คำถาม คำถามที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 คือ มนุษย์คืออะไร และเราอยากเป็นอะไรต่อไป?

เราอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ เทคโนโลยีให้อำนาจเราในการสร้างสรรค์และทำลาย ในการรักษาและทำร้าย ในการรวมกันและแยกกัน

ทางเลือกอยู่ที่เรา เราจะเลือกใช้พลังนี้เพื่ออะไร? เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่า หรือเพื่อทำลายสิ่งที่ดีงามที่เรามี?

อนาคตไม่ได้เกิดขึ้นเอง อนาคตถูกสร้างขึ้นโดยการกระทำของเราในวันนี้

และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องอ่าน ต้องคิด ต้องถกเถียงกันเรื่องเหล่านี้ เพราะการตัดสินใจที่เราทำวันนี้ จะกำหนดว่าลูกหลานของเราจะใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคต

เรื่องเล่าของ Homo Deus ยังไม่จบ… และเราทุกคนคือผู้เขียนบทสุดท้ายของมัน


“เราได้กลายเป็นเทพเจ้าแล้วหรือยัง? คำถามที่แท้จริงไม่ใช่เราจะกลายเป็นเทพเจ้าได้หรือไม่ แต่เราจะเป็นเทพเจ้าแบบไหน – เทพเจ้าที่สร้างสรรค์ หรือเทพเจ้าที่ทำลายล้าง?”

– ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment