เมื่อชีวิตเราไม่ใช่เรื่องของการ “บริหารเวลา” แต่เป็นเรื่องของการ “ใช้ชีวิต”
คุณเคยคิดไหมว่า ถ้าเราอายุยืน 80 ปี เราจะมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้เพียงแค่ 4,000 สัปดาห์เท่านั้น? ตัวเลขนี้ดูน้อยมาก จนทำให้เรารู้สึกว่าต้องรีบทำอะไรให้เยอะ ให้เร็ว ให้คุ้มค่า แต่ Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือ “Four Thousand Weeks: Time Management for Mortals” กลับมาบอกเราว่า “ความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้เราไม่มีความสุข”
ปัญหาของ “คนยุคใหม่” ที่อยากควบคุมทุกอย่าง
วันหนึ่งมีคนถามผมว่า “ทำไมยิ่งมีแอปจัดการเวลา To-do list หรือปฏิทินดิจิตอลเยอะขึ้น เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาไม่พอใช้มากขึ้น?” คำตอบอาจจะอยู่ในหนังสือเล่มนี้
Burkeman เล่าเรื่องราวของตัวเขาเองที่เคยเป็น “คนบ้าการจัดการเวลา” เขาลองใช้ทุกระบบ ทุกแอป ทุกเทคนิค ตั้งแต่ Getting Things Done, Pomodoro Technique, ไปจนถึงการตื่นเช้า 5 โมงเพื่อให้มีเวลาทำงานมากขึ้น
แต่แล้วเขาค้นพบว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรา “ไม่มีเวลาพอ” หรือ “ไม่เก่งจัดการเวลา” ปัญหาอยู่ที่เราคิดว่า “เวลาเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้”
ลองคิดดูสิ เวลาที่เราเช้าตื่นมาจนก่อนนอน เราต้องตอบอีเมล 50 อีเมล แต่พอตอบเสร็จก็มีใหม่เข้ามาอีก 30 อีเมล พอทำ To-do list เสร็จ 10 รายการ ก็มีงานใหม่เข้ามาอีก 15 งาน มันไม่มีวันจบ เพราะงานมันขยายตัวเพื่อเติมเต็มเวลาที่เรามี (Parkinson’s Law)
เรื่องเล่าจากชีวิตจริง: คุณป้า “ขยัน” ที่ไม่เคยพัก
ผมมีป้าคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีของปัญหานี้ เธอเป็นคนที่ “ขยัน” มาก ตื่นเช้า 5 โมง ออกกำลังกาย ทำงาน ดูแลลูก ทำอาหาร ดูแลบ้าน เรียน MBA ที่มหาวิทยาลัย และยังไปเรียนภาษาอังกฤษตอนเย็น
ทุกคนมองเธอว่าเก่งมาก “บริหารเวลาได้ดีจัง” แต่เธอเล่าให้ผมฟังว่า “หนูรู้สึกเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาได้นั่งดื่มกาแฟเฉยๆ ไม่มีเวลาคุยกับสามี ไม่มีเวลาอ่านหนังสือที่อยากอ่าน แม้แต่เวลาอาบน้ำยังต้องรีบๆ”
สิ่งที่เกิดขึ้นกับป้าคือสิ่งที่ Burkeman เรียกว่า “ดักของประสิทธิภาพ” (Efficiency Trap) – ยิ่งเราทำสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น เราก็ยิ่งต้องทำเยอะขึ้น และไม่มีวันจบ
การค้นพบที่เปลี่ยนทุกอย่าง: ยอมรับว่า “เราทำไม่หมด”
Burkeman เล่าว่า จุดเปลี่ยนของเขาเกิดขึ้นตอนที่เขาอ่านงานวิจัยเกี่ยวกับ “ความวิตกกังวล” พบว่า คนที่วิตกกังวลมักจะมีนิสัยชอบ “วางแผนล่วงหน้าทุกอย่าง” และ “อยากควบคุมทุกสิ่ง”
เขาตระหนักว่า การจัดการเวลาแบบเดิมๆ ทำให้เราเป็นคนวิตกกังวลมากขึ้น เพราะเราพยายามควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
แล้วถ้าเราหยุดพยายามควบคุมล่ะ? ถ้าเรายอมรับว่า เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้?
ตัวอย่างของคนที่เปลี่ยนมุมมอง
มาดูตัวอย่างของแกรี่ (ชื่อสมมุติ) เพื่อนของผมที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเปลี่ยนชีวิต
ก่อนอ่านหนังสือ:
- ตื่น 5.30 น. เช็คอีเมล
- 6.00 น. ออกกำลังกายแบบรีบๆ 30 นาที
- 6.45 น. อาบน้ำเร็วๆ กินข้าวเร็วๆ
- 7.30 น. ขับรถไปทำงาน ฟังพอดแคสต์ “พัฒนาตัวเอง”
- ระหว่างวันทำงาน + ตอบ LINE + เช็คข่าว + อ่าน Facebook
- เย็นกลับถึงบ้าน เหนื่อยมาก ดูเน็ตฟลิกซ์ไปเฉยๆ แล้วนอน
เขาบอกว่า “รู้สึกเหมือนแต่ละวันวิ่งมาทั้งวัน แต่ไม่รู้ว่าได้อะไร”
หลังอ่านหนังสือ:
- ตื่น 6.00 น. นั่งดื่มกาแฟช้าๆ 15 นาที ไม่เช็คโทรศัพท์
- 6.30 น. ออกกำลังกายแบบใส่ใจ มีสติ 45 นาที
- 8.00 น. กินข้าวเช้าช้าๆ คุยกับแฟน
- 9.00 น. ไปทำงาน เลือกทำแค่ 3 งานสำคัญต่อวัน
- เลิกเช็คอีเมลบ่อยๆ เช็คแค่ 3 ครั้งต่อวัน
- เย็นถึงบ้าน อ่านหนังสือ 30 นาที พูดคุยกับคนในครอบครัว
เขาบอกว่า “ทำน้อยลง แต่รู้สึกได้อะไรมากขึ้น”
หลักคิดสำคัญ: การเลือก “ไม่ทำ” คือการเลือก “ทำ”
Burkeman อธิบายด้วยคำเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย: “ถ้าคุณมีเงิน 100 บาท แล้วซื้อข้าวผัด 50 บาท นั่นหมายความว่า คุณเลือกที่จะ ‘ไม่ซื้อ’ น้ำส้ม ไอศกรีม หรือหนังสือ ด้วยเงิน 50 บาทที่เหลือ”
เวลาก็เหมือนกัน เราใช้เวลา 2 ชั่วโมงดู Netflix หมายความว่า เราเลือกที่จะ “ไม่ทำ” อย่างอื่น เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน หรือนอนให้เพียงพอ
ปัญหาคือ เรามักจะไม่ “เลือกอย่างมีสติ” แต่ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปตาม “กิจกรรมที่ง่าย” หรือ “เร้าใจในตอนนั้น” เช่น scrolling social media
การฝึก “อยู่กับปัจจุบัน” แบบใหม่
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้พูดถึง mindfulness แบบทั่วไป แต่พูดถึงการ “อยู่กับปัจจุบัน” ในมุมมองใหม่
ตัวอย่างจากชีวิตจริง:
การกินข้าว
- แบบเดิม: กินข้าวขณะเล่นโทรศัพท์ ดูทีวี คิดเรื่องงาน
- แบบใหม่: กินข้าวโดยสนใจรสชาติ กลิ่น พื้นผิว ความหิว ความอิ่ม
การคุยกับคนรัก
- แบบเดิม: คุยไปคิดเรื่องอื่นไป หรือรอจังหวะตอบกลับ
- แบบใหม่: ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด สังเกตสีหน้า อารมณ์
การทำงาน
- แบบเดิม: ทำงานไปคิดว่า “เมื่อไหร่จะเสร็จ” “งานต่อไปคืออะไร”
- แบบใหม่: ตั้งใจกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้ รับรู้กระบวนการคิด การเขียน
เรื่องเล่า คุณยายกับ 500 สัปดาห์
Burkeman เล่าเรื่องของคุณยายวัย 90 ปี ที่มาหาหมอ หมอบอกว่า “ถ้าดูแลสุขภาพดีๆ อาจจะอยู่ได้อีก 10 ปี”
คุณยายกลับบ้านไปคิดว่า 10 ปี = 520 สัปดาห์ เธอเริ่มนับว่า จะได้เจอหลานอีกกี่ครั้ง ได้ไปวัดอีกกี่ครั้ง ได้ทำอาหารให้ครอบครัวอีกกี่ครั้ง
เธอเล่าให้ญาติฟังว่า “ตอนนี้ยายเริ่มเห็นว่า แต่ละครั้งมันมีค่า ยายเลยอยากใส่ใจให้มากกว่าเดิม”
นี่คือสิ่งที่ Burkeman อยากให้เราเข้าใจ – เมื่อเราตระหนักว่าเวลามีจำกัด เราจะเริ่มให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ”
หลักปฏิบัติ: 3 การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ส่งผลใหญ่
1. กฎ “3 งาน”
แทนที่จะทำ To-do list ยาวๆ ให้เลือกแค่ 3 งานสำคัญต่อวัน
- 1 งานสำคัญมาก (ถ้าทำได้แค่อันเดียววันนี้ จะเลือกอันไหน)
- 1 งานปานกลาง
- 1 งานเล็กๆ ที่ทำง่าย
2. การฝึก “เลือกอย่างมีสติ”
ก่อนทำอะไร ถามตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันกำลังเลือกที่จะไม่ทำอะไร?”
- ถ้าดู Netflix 2 ชั่วโมง = เลือกไม่นอนเร็ว
- ถ้าเช็คโซเชียล 30 นาที = เลือกไม่อ่านหนังสือ
- ถ้าทำงานล่วงเวลา = เลือกไม่ใช้เวลากับครอบครัว
3. ฝึก “รอ” และ “ช้า”
- รอก่อนเช็คโทรศัพท์ทันทีที่ตื่น
- เดินช้าลง สังเกตรอบตัว
- กินข้าวช้าลง
- คุยช้าลง ฟังมากกว่าพูด
ความสมบูรณ์แบบคือศัตรู
คนส่วนใหญ่ติดกับดักของการ “ทำให้ดีที่สุด” หรือ “ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด” แต่ Burkeman บอกว่า ความคิดแบบนี้ทำให้เราไม่เคยพอใจ
เขาเล่าตัวอย่างของตัวเอง: เคยใช้เวลา 2 ชั่วโมงหาแอปจดบันทึกที่ “สมบูรณ์แบบ” แต่ถ้าเอาเวลา 2 ชั่วโมงนั้นมาเขียนบันทึกจริงๆ จะได้ประโยชน์มากกว่า
หรือใช้เวลา 1 ชั่วโมงวิจัยว่า “ออกกำลังกายแบบไหนดีที่สุด” แต่ไม่ได้ออกกำลังกายจริง
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง: จากการ “ทำ” เป็นการ “เป็น”
สิ่งที่ Burkeman ต้องการสื่อคือ เลิกคิดแบบ “ฉันต้องทำอะไรให้เยอะ” แล้วเปลี่ยนเป็น “ฉันต้องการเป็นคนแบบไหน”
เช่น:
- แทนที่จะคิดว่า “ฉันต้องอ่านหนังสือให้ได้ 50 เล่มต่อปี”
- เปลี่ยนเป็น “ฉันต้องการเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ และให้เวลาตัวเองได้อ่านหนังสืออย่างสบายใจ”
- แทนที่จะคิดว่า “ฉันต้องออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน”
- เปลี่ยนเป็น “ฉันต้องการเป็นคนที่ดูแลร่างกาย และเมื่อออกกำลังกายก็ตั้งใจมีสติกับการเคลื่อนไหว”
สรุป: ชีวิตไม่ใช่ปัญหาที่ต้อง “แก้” แต่เป็นประสบการณ์ที่ต้อง “ใช้”
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ เราไม่จำเป็นต้อง “บริหารเวลา” แต่เราต้อง “ใช้ชีวิต”
เวลาไม่ใช่ทรัพยากรที่เราต้องบีบคั้น แต่เป็นของขวัญที่เราได้รับ ทุกวันที่เราตื่นขึ้นมาคือของขวัญใหม่ และเราต้องเลือกว่าจะเปิดของขวัญนี้อย่างไร
ไม่ต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องมีประสิทธิภาพในทุกเรื่อง แต่เลือกทำสิ่งที่หมายความกับเราจริงๆ และทำด้วยความตั้งใจ
เพราะเมื่อเราอายุ 80 ปี เราจะไม่นึกถึงว่าเราทำ To-do list ได้ครบทุกข้อหรือเปล่า แต่เราจะนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
สุดท้าย ขอฝากข้อคิด: วันนี้คุณจะใช้ 1 ใน 4,000 สัปดาห์ของชีวิตอย่างไร?
#hrรีพอร์ต
Leave a comment