ชายคนหนึ่งที่อยากทำทุกอย่าง

มาร์คเป็นนักการตลาดหนุ่มที่ทำงานในบริษัทเทคโนโลยี เขาเป็นคนที่พูดว่า “ใช่” กับทุกเรื่อง เมื่อเพื่อนร่วมงานขอให้ช่วยทำโปรเจกต์ เขาพูดว่า “ใช่” เมื่อหัวหน้าขอให้เข้าประชุมเพิ่ม เขาพูดว่า “ใช่” เมื่อลูกค้าขอให้แก้งานเล็กๆ น้อยๆ เขาก็พูดว่า “ใช่” เช่นกัน

แต่แล้ววันหนึ่ง มาร์คก็พบว่าตัวเองกำลังจมอยู่ในงานมากมาย เขาตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อตอบอีเมล ทำงานไปจนดึกดื่น กลับบ้านมาก็นั่งต่องานที่ยังเหลืออยู่ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ควরจะเป็นเวลาพักผ่อนกลับกลายเป็นเวลาทำงานต่อ

ที่แย่กว่านั้นคือ แม้เขาจะทำงานหนักมาก แต่ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าที่ควร งานแต่ละชิ้นได้แค่ 60-70% ของความสามารถจริงของเขา เพราะเวลาและพลังงานถูกกระจายไปหมด เขารู้สึกเหมือนวิ่งอยู่บนเครื่องวิ่งที่หยุดไม่ได้ วิ่งไปเรื่อยๆ แต่ไม่ไปถึงไหนเลย

เรื่องราวของมาร์คคือเรื่องราวของคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ เราอยากเป็น “คนที่ทำได้ทุกอย่าง” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือเราไม่มีอะไรเลย

การค้นพบหนทางใหม่

วันหนึ่ง มาร์คได้ไปฟังเสียงบรรยายของ Greg McKeown ผู้เขียนหนังสือ “Essentialism: The Disciplined Pursuit of Less” ประโยคแรกที่เขาได้ยินทำให้เขาต้องตกใจ

“ถ้าคุณไม่เลือกสิ่งที่จะทำ คนอื่นจะเลือกให้คุณ”

McKeown เล่าเรื่องของตัวเองว่า เขาเคยเป็นคนที่พูด “ใช่” กับทุกอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาต้องเลือกระหว่างการไปงานประชุมสำคัญหรืออยู่กับภรรยาที่กำลังจะคลอดลูก เขาเลือกไปประชุม แต่ตลอดเวลาในห้องประชุม ใจเขากลับอยู่กับครอบครัว

นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตระหนักว่า การพยายามทำทุกอย่างนั้นแท้จริงแล้วคือการไม่ทำอะไรเลย หรือทำแต่ไม่ได้คุณภาพ

หลักการของ Essentialism คืออะไร?

Essentialism ไม่ใช่เรื่องของการจัดการเวลาหรือการเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เป็นเรื่องของการเลือก การตัดสินใจอย่างมีสติว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญจริงๆ ในชีวิตเราแล้วมุ่งเน้นไปที่นั่น

หลักการพื้นฐานมี 3 ข้อ:

1. เรามีสิทธิ์เลือก (Individual Choice)

เชียงใหม่มีร้านก๋วยเตี้ยวเป็นร้อยร้าน แต่ร้านที่อร่อยจริงๆ มีแค่ไม่กี่ร้าน ชีวิตเราก็เหมือนกัน มีทางเลือกมากมาย แต่ทางเลือกที่คุ้มค่าจริงๆ มีแค่ไม่กี่ทาง

หลายคนคิดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ต้องทำตามที่คนอื่นบอก ต้องไปงานทุกงาน ต้องตอบรับทุกคำขอ แต่ความจริงแล้ว เราเลือกได้เสมอ แม้จะเป็นการเลือกที่ยาก

ตัวอย่าง: สมชายที่ทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง เขาได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงของบริษัท งานแต่งงานของเพื่อน และงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันเดียวกัน แทนที่จะพยายามไปทั้ง 3 งาน เขาเลือกไปแค่งานแต่งงานเพื่อน เพราะมิตรภาพสำคัญกว่าการประชาสัมพันธ์ตัวเอง

2. เรื่องส่วนใหญ่ไม่สำคัญ (The Few Vital Many)

นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Vilfredo Pareto ค้นพบกฎ 80/20 ที่บอกว่า 20% ของสิ่งที่เราทำจะสร้างผลลัพธ์ 80% ของความสำเร็จ

ในการทำงาน: 20% ของลูกค้าให้รายได้ 80% ของบริษัท ในการเรียน: 20% ของเนื้อหาจะออกสอบ 80% ของข้อสอบ
ในชีวิต: 20% ของกิจกรรมจะสร้างความสุข 80% ของชีวิตเรา

ปัญหาคือเรามักใช้เวลาไปกับ 80% ที่ไม่ค่อยสำคัญ แทนที่จะโฟกัสไปที่ 20% ที่สำคัญจริง

ตัวอย่าง: นิดาเป็นนักเขียนอิสระ เธอใช้เวลาไปกับการตอบข้อความใน Facebook, การอ่านอีเมล, การดูข่าวออนไลน์วันละ 4-5 ชั่วโมง แต่ใช้เวลาเขียนแค่ 2 ชั่วโมง เธอพบว่าการเขียน 2 ชั่วโมงนั้นสร้างรายได้และความสุขให้เธอมากกว่ากิจกรรมอื่นๆ ทั้งหมด

3. การแลกเปลี่ยนหลีกเลี่ยงไม่ได้ (Trade-off)

เราไม่สามารถมีทุกอย่างได้ ถ้าเราเลือกสิ่งหนึ่ง เราต้องยอมสละอีกหลายสิ่ง และนั่นไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เราเลือกนั้นมีค่ากว่า

Warren Buffett เศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกเคยบอกว่า ความแตกต่างระหว่างคนประสบความสำเร็จกับคนที่ประสบความสำเร็จมากคือ คนที่ประสบความสำเร็จมากจะพูด “ไม่” กับเกือบทุกอย่าง

ตัวอย่าง: แอปเปิลในสมัย Steve Jobs มีผลิตภัณฑ์น้อยมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ทุกผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาทำออกมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในประเภทของมัน เพราะพวกเขาโฟกัสไปที่การทำให้สิ่งน้อยๆ นั้นสมบูรณ์แบบ

3 ขั้นตอนสู่การเป็น Essentialist

ขั้นที่ 1: สำรวจ (Explore)

ก่อนจะตัดสินใจว่าอะไรสำคัญ เราต้องหาเวลาสำรวจตัวเองก่อน เหมือนนักสำรวจที่ไม่รีบร้อน แต่สังเกตดูสิ่งรอบตัวอย่างระมัดระวัง

การหาเวลาเงียบ: ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน การหาเวลาที่เงียบสงบเป็นสิ่งจำเป็น Bill Gates มีนิสัยหาเวลาไปคิดคนเดียว 2 สัปดาห์ทุกปี โดยไม่มีใครมารบกวน เขาเรียกช่วงนี้ว่า “Think Week”

ตัวอย่าง: มานีเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ เธอมักรู้สึกสับสนว่าควรขายสินค้าประเภทไหนต่อไป เธอจึงหาเวลาเช้าวันเสาร์ก่อนที่ใครจะตื่น นั่งกับสมุดและปากกา เขียนคำถามง่ายๆ: “อะไรทำให้ฉันมีความสุขที่สุดในการขาย?” หลังจากคิดไป 30 นาที เธอพบคำตอบว่าการขายของเด็กทำให้เธอมีความสุขมากที่สุด เพราะได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ

การเล่น: การเล่นไม่ใช่เรื่องเบาๆ แต่เป็นวิธีที่สมองค้นพบความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ Google มีช่วงเวลา 20% ให้พนักงานทำโปรเจกต์ที่ชอบ Gmail และ Google Maps เกิดจากช่วงเวลานี้

การนอนหลับ: หลายคนคิดว่าการนอนน้อยจะทำงานได้มากขึ้น แต่จริงๆ แล้วการนอนพอเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เมื่อเรานอนพอ สมองจะทำงานได้ดีขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

ตัวอย่าง: ดรรชนีเป็นนักออกแบบกราฟิก เขาเคยทำงานจนดึกทุกวัน แต่พบว่าไอเดียที่คิดหลังเที่ยงคืนมักไม่ดี เขาจึงเปลี่ยนมานอนเร็วขึ้น ตื่นเช้าขึ้น ผลที่ได้คือไอเดียดีขึ้น งานเสร็จเร็วขึ้น และมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น

ขั้นที่ 2: กำจัด (Eliminate)

เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรสำคัญ สิ่งที่ยากที่สุดคือการกล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญ แม้มันจะดูดีหรือน่าสนใจ

กฎ 90%: เมื่อมีโอกาสใหม่มา ให้ประเมินว่าโอกาสนั้นตรงกับเป้าหมายหลักของเราแค่ไหน ถ้าไม่ถึง 90% ให้ถือว่ามันคือ 0% แล้วปฏิเสธเลย

ตัวอย่าง: กิตติเป็นโปรแกรมเมอร์ เป้าหมายหลักของเขาคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน AI วันหนึ่งเพื่อนเชิญให้ไปร่วมทำ startup ขายอาหาร แม้จะเป็นโอกาสดีและได้เงินเยอะ แต่เขาตัดสินใจปฏิเสธ เพราะมันไม่ตรงกับเป้าหมายหลักของเขา

วิธีการพูด “ไม่” อย่างสุภาพ:

  • “ขอบคุณที่นึกถึงผม แต่ตอนนี้ผมมีความสำคัญเร่งด่วนอื่นอยู่”
  • “เรื่องนี้ฟังดูน่าสนใจมาก แต่ผมไม่สามารถให้เวลาที่เหมาะสมกับมันได้”
  • “ผมอยากช่วยจริงๆ แต่ถ้าผมรับ ผมกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ”

การแยกสิ่งสำคัญออกจากสิ่งเร่งด่วน: หลายอย่างที่ดูเร่งด่วนไม่ได้สำคัญจริง เราต้องเรียนรู้ที่จะโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน

ตัวอย่าง: สมศรีเป็นครู เธอพบว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตอบข้อความของผู้ปกครอง, การทำเอกสารรายงาน, การประชุมต่างๆ แต่เวลาที่ใช้กับการเตรียมสอนและพัฒนาตัวเองกลับน้อยมาก เธอจึงกำหนดเวลาเฉพาะสำหรับการตอบข้อความ (เช้าและเย็น) และปฏิเสธการประชุมที่ไม่จำเป็น เพื่อใช้เวลานั้นพัฒนาการสอน

ขั้นที่ 3: ดำเนินการ (Execute)

การรู้ว่าอะไรสำคัญยังไม่พอ เราต้องทำให้มันเกิดขึ้นจริง และทำให้มันง่ายขึ้น

สร้างระบบ ไม่ใช่เป้าหมาย: แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า “จะออกกำลังกาย” ให้สร้างระบบโดยเตรียมชุดออกกำลังกายไว้หน้าเตียง ตั้งนาฬิกาปลุกเร็วขึ้น 30 นาที และหาเพื่อนออกกำลังกายด้วย

ตัวอย่าง: อนันต์อยากเขียนหนังสือ แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า “จะเขียนหนังสือให้เสร็จในปีนี้” เขากำหนดว่าจะเขียนวันละ 500 คำก่อนอาหารเช้า ตั้งข้อความในโทรศัพท์เตือนทุกเย็นให้เตรียมโต๊ะเขียน และปิดอินเทอร์เน็ตในช่วงเขียน ผลคือ ในหนึ่งปีเขาเขียนหนังสือเสร็จ 2 เล่ม

การเตรียมพร้อมรับมืออุปสรรค: ก่อนเริ่มทำสิ่งสำคัญ ให้คิดว่าอุปสรรคอะไรที่อาจเกิดขึ้น แล้วเตรียมแผนรับมือไว้

การทำทีละเล็กละน้อย: ความสำเร็จใหญ่เกิดจากการสะสมของสิ่งเล็กๆ ที่ทำอย่างสม่ำเสมอ ดีกว่าการทำใหญ่ครั้งเดียวแล้วหยุด

ตัวอย่าง: วรรณเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือ เธอตั้งเป้าหมายอ่านหนังสือวันละ 2 หน้า (แค่ 5 นาที) แทนที่จะพยายามอ่านทั้งเล่มในวันเดียว ผลคือ ในหนึ่งปีเธออ่านหนังสือได้ 15 เล่ม มากกว่าที่เธอเคยอ่านในช้วงชีวิต 10 ปีที่ผ่านมา

เทคนิคพิเศษสำหรับ Essentialist

การใช้ “Minimum Viable Progress”

แทนที่จะรอจนกว่าจะมีเวลาเยอะๆ ถึงจะเริ่มทำสิ่งสำคัญ ให้เริ่มจากสิ่งเล็กที่สุดที่ทำได้

ตัวอย่าง: ประยุทธ์อยากเรียนภาษาอังกฤษ แต่คิดว่าต้องมีเวลาวันละ 2 ชั่วโมงถึงจะเรียนได้ เขาจึงไม่เริ่มสักที แต่หลังจากอ่าน Essentialism เขาเริ่มจากการเรียนคำศัพท์วันละ 5 คำระหว่างเดินทางไปทำงาน ใน 6 เดือน เขารู้คำศัพท์ใหม่กว่า 900 คำ และเริ่มกล้าใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน

กฎ 10/10/10

ก่อนตัดสินใจเรื่องใหญ่ ให้ถามตัวเองว่า “10 นาทีข้างหน้า, 10 เดือนข้างหน้า, และ 10 ปีข้างหน้า เราจะรู้สึกยังไงกับการตัดสินใจนี้?”

ตัวอย่าง: น้องมิวได้รับเชิญไปงานเลี้ยงวันเสาร์ แต่เธอต้องการเวลาเตรียมสอบ เมื่อคิดตามกฎนี้:

  • 10 นาทีข้างหน้า: รู้สึกดีที่ได้ไปเที่ยว
  • 10 เดือนข้างหน้า: ไม่มีผลอะไร
  • 10 ปีข้างหน้า: การสอบผ่านจะมีผลต่อการเรียนต่อและอนาคต

เธอจึงตัดสินใจอยู่บ้านเตรียมสอบ

การสร้าง “Essential Intent”

แทนที่จะมีเป้าหมายหลายอย่าง ให้มีเป้าหมายเดียวที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง และวัดผลได้

ตัวอย่าง:

  • แทนที่จะบอกว่า “อยากสุขภาพดี” → “จะวิ่งออกกำลังกายทุกวันอังคาร พฤหัส เสาร์ เวลา 6 โมงเช้า อย่างน้อย 30 นาที”
  • แทนที่จะบอกว่า “อยากประสบความสำเร็จในงาน” → “จะเพิ่มยอดขายของทีมให้ได้ 25% ภายใน 6 เดือนโดยการพัฒนาทักษะการขายของสมาชิกในทีม”

เรื่องราวจบของมาร์ค

หลังจากเรียนรู้หลัก Essentialism มาร์คเริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิต เขาใช้เวลา 1 สัปดาห์ทบทวนงานทั้งหมดที่ทำอยู่ และพบว่างานที่สร้างผลลัพธ์จริงๆ มีแค่ 3 งานจาก 15 งานที่ทำ

เขาเริ่มพูด “ไม่” กับงานอื่นๆ และโฟกัสไปที่ 3 งานหลัก ในช่วงแรกเพื่อนร่วมงานบางคนไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นว่างานที่เขาทำมีคุณภาพสูงขึ้นมาก พวกเขาก็เริ่มเข้าใจ

หลังจาก 6 เดือน มาร์คได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีม ไม่ใช่เพราะเขาทำงานมากที่สุด แต่เพราะเขาทำงานที่สำคัญที่สุดได้ดีที่สุด เขามีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น มีเวลาอ่านหนังสือและออกกำลังกาย และรู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิม

สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นมุมมองต่อชีวิต เขาเข้าใจแล้วว่า “มีน้อยแต่ดี” ดีกว่า “มีเยอะแต่ไร้คุณภาพ”

สรุป: ศิลปะแห่งการเลือก

Essentialism ไม่ใช่เรื่องของการขี้เกียจหรือทำงานน้อย แต่เป็นเรื่องของความกล้าหาญในการเลือก ความกล้าที่จะพูดว่า “ไม่” กับสิ่งดีๆ มากมาย เพื่อพูดว่า “ใช่” กับสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ในโลกที่มีตัวเลือกมากมาย คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนที่เลือกได้ดี ไม่ใช่คนที่ทำได้มากที่สุด

การเป็น Essentialist ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะง่ายขึ้น แต่หมายความว่าชีวิตจะมีความหมายมากขึ้น งานที่ทำจะมีคุณภาพสูงขึ้น และเราจะมีเวลาให้กับสิ่งที่รักจริงๆ มากขึ้น

จำไว้: “ถ้าเราไม่เลือกสิ่งที่จะทำ คนอื่นจะเลือกให้เรา” แล้วคุณจะเลือกอย่างไร?

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment