เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน หลายคนคิดว่าต้องเก่งคณิตศาสตร์ เข้าใจกราฟ ตัวเลข และสูตรการคำนวณต่างๆ แต่หนังสือ “The Psychology of Money” ของ Morgan Housel มาบอกเราว่า ความจริงแล้วเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องของสมองเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของหัวใจมากกว่า
เรื่องราวที่เปลี่ยนความคิด
Housel เริ่มต้นหนังสือด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ เขาเล่าถึงคนสองคนที่มีชะตากรรมตรงกันข้าม
คนแรก เป็นชาวอเมริกันธรรมดาๆ ทำงานเป็นคนดูแลโรงจอดรถและคนทำความสะอาด ตลอดชีวิตไม่เคยได้เงินเดือนเกิน 25,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 8 แสนบาทต่อปี) แต่เมื่อเขาเสียชีวิตในวัย 92 ปี กลับทิ้งมรดกไว้มากกว่า 8 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 280 ล้านบาท)
คนที่สอง เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมาก รายได้หลายสิบล้านดอลลาร์ต่อปี เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง แต่สุดท้ายกลับล้มละลายและเสียชีวิตด้วยหนี้สินมากมาย
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
คำตอบอยู่ที่การเข้าใจจิตวิทยาของตัวเอง คนแรกรู้จักพอเพียง ใช้จ่ายน้อยกว่าที่ได้ และให้เวลาทำงานให้กับเงิน ส่วนคนที่สองมีรายได้มาก แต่ใช้จ่ายมากกว่าที่ได้ และใช้เงินไปเสี่ยงในสิ่งที่ไม่เข้าใจ
บทเรียนที่ 1: ความแตกต่างระหว่าง “ดูรวย” กับ “รวยจริง”
หลายคนเข้าใจผิดว่าคนรวยคือคนที่ใช้จ่ายเก่ง ซื้อรถหรู บ้านใหญ่ เสื้อผ้าแบรนด์เนม แต่จริงๆ แล้ว คนรวยจริงคือคนที่เราไม่เห็น
ยกตัวอย่าง มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งขับรถ Toyota Camry รุ่นเก่า อยู่บ้านเก่าๆ แต่งตัวธรรมดา คุณอาจคิดว่าเขาไม่มีเงิน แต่จริงๆ แล้วเขาอาจมีเงินออมในบัญชีหลายล้าน เพราะเขาเลือกที่จะ เก็บเงินไว้แทนที่จะใช้ให้คนอื่นเห็น
ในทางตรงกันข้าม คนที่ขับรถหรู อยู่บ้านใหญ่ อาจเป็นเพียงคนที่มีรายได้ดี แต่ไม่มีเงินออม เพราะเงินทั้งหมดไปจ่ายเป็นค่างวดรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต
สิ่งที่เราเห็นคือความมั่งคั่ง แต่สิ่งที่เราไม่เห็นคือความร่ำรวย
บทเรียนที่ 2: พลังแห่งการออมแบบสบายๆ
คุณรู้มั้ยว่าถ้าคุณอายุ 25 ปี เริ่มออมเงินเดือนละ 5,000 บาท (วันละแค่ 167 บาท) และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 7% ต่อปี เมื่อคุณอายุ 65 ปี คุณจะมีเงินมากกว่า 13 ล้านบาท?
แต่ถ้าคุณรอจนอายุ 35 ปี ถึงจะเริ่มออมจำนวนเดียวกัน คุณจะได้เงินแค่ 6 ล้านบาท เท่านั้น
นี่คือพลังของ “Compound Interest” หรือ ดอกเบี้ยทบต้น Einstein เคยกล่าวว่ามันคือ “สิ่งมหัศจรรย์ที่ 8 ของโลก”
ลองคิดดูเหมือนลูกหิมะที่กลิ้งลงจากยอดเขา ตอนแรกมันเล็ก แต่เมื่อกลิ้งไปเรื่อยๆ มันจะใหญ่ขึ้นเร็วมาก เงินก็เหมือนกัน ยิ่งเก็บนาน ยิ่งโต
บทเรียนที่ 3: เรื่องราวของ Warren Buffett
Warren Buffett เป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก แต่คุณรู้มั้ยว่า 99% ของความมั่งคั่งของเขาเกิดขึ้นหลังจากอายุ 50 ปี?
เขาเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 11 ปี ตอนอายุ 30 ปี เขามีเงิน 1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเก่งมาก แต่ถ้าเขาเกษียณตอนอายุ 30 ปี เขาจะไม่ได้เป็นคนรวยที่สุดในโลก
ความลับของ Buffett คือ เขาให้เวลากับเงิน เขาไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นมาก แต่เขาเริ่มเร็วและอยู่ในเกมนานกว่าใคร
บทเรียนที่ 4: ทำไมคนฉลาดถึงทำโง่ๆ ได้?
เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมหมอ ทนาย วิศวกร หรือคนที่เก่งๆ กลับมีปัญหาหนี้สิน หรือเล่นหุ้นขาดทุน?
เหตุผลคือ ความฉลาดทางวิชาการไม่เท่ากับความฉลาดทางอารมณ์
Housel เล่าว่าในปี 2008 ตอนที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มีคนเก่งๆ หลายคนที่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ดี แต่กลับขายหุ้นตอนราคาต่ำสุด เพราะกลัวและตื่นตระหนก
การลงทุนไม่ใช่เรื่องของการหาสูตรลับ แต่เป็นเรื่องของการนั่งนิ่งและรอ
นักลงทุนที่ดีที่สุดไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่มีสติมากที่สุด
บทเรียนที่ 5: เรื่องราวของประวัติศาสตร์และความเชื่อ
คุณเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมคนรุ่นพ่อแม่ชอบเก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคาร แต่คนรุ่นใหม่กลับชอบลงทุนในหุ้นหรือคริปโต?
คำตอบอยู่ที่ ประสบการณ์ชีวิต
คนที่เกิดในช่วงปี 1940-1950 ได้เจอเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ สงครามโลก ภาวะเงินเฟ้อ พวกเขาจึงมองว่าการเก็บเงินไว้ในที่ปลอดภัยสำคัญกว่าการเสี่ยง
แต่คนที่เกิดในช่วงปี 1980-1990 โตมาในยุคที่เศรษฐกิจดี เทคโนโลยีเจริญ หุ้นขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องปกติ
ไม่มีใครผิดหรือถูก แต่ละคนมีเหตุผลของตัวเอง
บทเรียนที่ 6: เรื่องราวของความโลภ
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักพนันในคาสิโน เขาชนะเงินได้ 50 ล้านบาท แต่แทนที่จะหยุด เขากลับเล่นต่อจนกลายเป็นหนี้ 100 ล้านบาท
ปัญหาไม่ใช่ที่เขาโง่ แต่เขาไม่รู้ว่า “พอแล้ว”
ในชีวิตจริง เราเจอคนแบบนี้บ่อยๆ มีคนที่รวยแล้วแต่ยังอยากรวยกว่านี้ มีบ้านใหญ่แล้วแต่ยังอยากได้ใหญ่กว่านี้ ขับรถหรูแล้วแต่ยังอยากได้หรูกว่านี้
Housel บอกว่า คำว่า “พอ” เป็นหนึ่งในคำที่มีค่าที่สุดในโลก เพราะถ้าเรารู้ว่าอะไรพอแล้ว เราจะมีความสุขได้
บทเรียนที่ 7: ความสำคัญของเงินฉุกเฉิน
เคยมีคนถามว่า “เก็บเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่ได้ดอกเบี้ยแค่ 1% ต่อปี มันไม่คุ้มใช่มั้ย? เอาไปลงทุนดีกว่า”
แต่ Housel ตอบว่า เงินฉุกเฉินไม่ใช่เพื่อให้ได้ผลตอบแทน แต่เพื่อให้เรานอนหลับได้
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณไม่มีเงินฉุกเฉิน แล้วรถเสีย ต้องซ่อม 50,000 บาท คุณต้องกู้เงิน หรือขายหุ้นในช่วงที่ราคาตก
แต่ถ้าคุณมีเงินฉุกเฉิน คุณจ่ายได้เลย ไม่ต้องกังวล และยังคงลงทุนต่อไปได้
เงินฉุกเฉินให้เราได้ความสบายใจ และความสบายใจมีค่ามากกว่าผลตอบแทน
บทเรียนที่ 8: ศิลปะของการไม่ทำอะไร
นี่เป็นบทเรียนที่ยากที่สุด เพราะคนเราชอบทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเวลาเห็นหุ้นขึ้นลง เราอยากซื้อ อยากขาย อยากเปลี่ยน
แต่การศึกษาพบว่า คนที่ซื้อขายบ่อยๆ มักจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าคนที่ซื้อแล้วเก็บไว้
มีการศึกษาผู้ลงทุนในอเมริกา พบว่า ในช่วง 20 ปี ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี แต่ผู้ลงทุนทั่วไปได้เพียง 4% ต่อปี
สาเหตุ? เพราะพวกเขาซื้อตอนราคาสูง ขายตอนราคาต่ำ
บทเรียนที่ 9: เรื่องราวของ “Tail Events”
Housel เล่าว่าในธุรกิจลงทุน ผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจากเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่ครั้ง
Amazon หุ้นตัวหนึ่งที่ทุกคนรู้จัก แต่คุณรู้มั้ยว่าในช่วง 20 ปี Amazon มีวันที่หุ้นลดลงมากกว่า 5% ถึง 339 วัน แต่มีวันที่หุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% เพียง 365 วัน
และ 365 วันนั้นแหละที่ทำให้ Amazon กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายล้านล้าน
นี่แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จมาจากการอยู่ในเกมนานพอที่จะเจอเหตุการณ์ดีๆ
บทเรียนที่ 10: ความแตกต่างระหว่าง “การเสี่ยง” และ “การปรับตัว”
หลายคนคิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องของการทายถูกทายผิด แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของ การเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เราไม่รู้
นักลงทุนที่ดีไม่ใช่คนที่ทายอนาคตได้ แต่เป็นคนที่เตรียมตัวไว้สำหรับหลายๆ สถานการณ์
ยกตัวอย่าง แทนที่จะเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนในหุ้นตัวเดียว เราควรกระจายการลงทุน เก็บเงินสดบ้าง ซื้อหุ้นบ้าง ซื้อทองบ้าง
เป้าหมายไม่ใช่ให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด แต่เพื่อให้อยู่รอดในเกมนานที่สุด
สรุป: เรื่องเงินคือเรื่องของจิตใจ
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราจะเข้าใจว่า การจัดการเงินไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่แน่นอน แต่เป็นศิลปะที่ต้องใช้จิตใจ
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การหาสูตรลับเพื่อรวยข้ามคืน แต่เป็นการ:
- รู้จักพอเพียง – รู้ว่าเงินเท่าไหร่ถึงจะทำให้เรามีความสุข
- อดทนและมีสติ – ไม่ตื่นตระหนกเวลาเกิดวิกฤต
- เริ่มเร็วและออมสม่ำเสมอ – ให้เวลาทำงานให้กับเงิน
- กระจายความเสี่ยง – ไม่เอาไข่ใส่ตะกร้าใบเดียว
- เรียนรู้จากผิดพลาด – แต่ไม่ให้ความผิดพลาดทำลายทุกอย่าง
สุดท้ายแล้ว เงินไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเครื่องมือ เครื่องมือที่จะช่วยให้เราได้เลือกทำในสิ่งที่รัก ใช้เวลากับคนที่สำคัญ และมีความอิสระในชีวิต
และนั่นคือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง
#hrรีพอร์ต
Leave a comment