เมื่อกฎเหล็กของโลกธุรกิจถูกท้าทายด้วยความจริงที่ไม่มีใครอยากเชื่อ
จินตนาการดูสิครับ คุณกำลังนั่งอ่านหนังสือธุรกิจเล่มหนึ่ง แล้วเจอประโยคที่ว่า “การวางแผนเป็นการเดาทาย” หรือ “การประชุมคือยาพิษ” คุณคงคิดว่าผู้เขียนบ้าไปแล้วใช่มั้ย? แต่เมื่อคุณอ่านต่อไป คุณจะพบว่าคำพูดเหล่านี้มาจากประสบการณ์จริงของ Jason Fried ผู้ก่อตั้งบริษัท Basecamp ที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาท
“Rework” ไม่ใช่หนังสือธุรกิจธรรมดา มันเปรียบเสมือนการปฏิวัติความคิดที่บอกเราว่า ทุกสิ่งที่เราเคยเชื่อมาเรื่องการทำงานและทำธุรกิจ อาจจะผิดทั้งหมด
ทิ้งแผนการใหญ่โต เริ่มจากวันนี้
เรามักได้ยินคำแนะนำว่า “ต้องมีแผนการ 5 ปี 10 ปี” แต่ Jason Fried กลับบอกว่า การวางแผนระยะยาวเป็นเรื่องไร้สาระ เหตุผลง่ายๆ คือโลกเปลี่ยนไปเร็วมาก
ลองคิดดูสิครับ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ใครจะไปคิดว่า TikTok จะมาแทนที่ Facebook หรือ Netflix จะมาทำลายธุรกิจร้านเช่าแผ่น DVD แบบ Blockbuster ได้? บริษัท Kodak ที่เคยครองตลาดฟิล์มโลก ก็ล้มละลายเพราะไม่ทันโลกดิจิทัล
“การวางแผนคือการเดาทาย” Jason เขียนไว้ “และการเดาทายไม่ใช่วิธีการบริหารธุรกิจ”
แทนที่จะเสียเวลานั่งวางแผนยาวๆ ที่อาจจะใช้ไม่ได้ เขาแนะนำให้เราทำแบบนี้:
- โฟกัสที่สิ่งที่ทำได้วันนี้
- แก้ปัญหาที่เห็นชัดๆ ตรงหน้า
- ปรับเปลี่ยนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
เหมือนการขับรถในหมอกหนาครับ เราไม่จำเป็นต้องเห็นไกลถึงจุดหมาย แค่เห็นไฟหน้ารถไปข้างหน้าสักไม่กี่เมตรก็พอ แล้วขับไปทีละนิด
เริ่มเล็กๆ แต่เริ่มเลย
หลายคนคิดว่า การเริ่มธุรกิจต้องมีเงินเป็นล้าน ต้องมีออฟฟิศสวยๆ ต้องมีพนักงานเป็นสิบคน แต่ Jason บอกว่าเราคิดผิด
บริษัท Apple เริ่มต้นในโรงรถ Google เริ่มจากห้องพักนักศึกษา ส่วน Basecamp ของ Jason เอง เริ่มจากการที่เขาและเพื่อนไม่กี่คน อยากมีเครื่องมือจัดการโปรเจคที่ใช้ง่าย
“อย่าไปคิดถึงการเป็น Google วันแรก” เขาเขียน “คิดแค่ว่าจะแก้ปัญหาของตัวเองวันนี้ยังไง”
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือเรื่องของร้านกาแฟเล็กๆ ในซอยใกล้บ้าน แทนที่เจ้าของจะฝันว่าอยากเป็น Starbucks เขากลับโฟกัสที่การทำกาแฟให้อร่อย และให้บริการลูกค้าในย่านนั้นให้ดี ผลลัพธ์คือร้านนั้นมีลูกค้าประจำมากมาย และกำไรดีกว่าร้านใหญ่หลายแห่ง
การเริ่มเล็กมีข้อดีหลายอย่าง:
- ผิดพลาดแล้วไม่เสียหายมาก
- เรียนรู้ได้เร็ว
- ไม่ต้องกู้เงินหรือหาทุน
- ปรับเปลี่ยนได้ง่าย
ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลมากขึ้น
สังคมเรามักยกย่องคนที่ทำงาน 80-100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เขาเรียกพวกนี้ว่า “วีรบุรุษการทำงาน” แต่ Jason คิดว่านี่เป็นความเข้าใจผิด
“การทำงานมากไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลงานที่ดี” เขาเขียน “บางครั้งมันทำให้เราเหนื่อย จนคิดไม่ออก และตัดสินใจผิดพลาด”
แทนที่จะทำงานหนัก เขาแนะนำให้ทำงานอย่างชาญฉลาด ด้วยการ:
หาจุดสำคัญที่ส่งผลกระทบมากที่สุด – เหมือนการใช้คันโยกครับ หาจุดที่เราใช้พลังงานน้อย แต่ได้ผลเยอะ
ตัวอย่างเช่น บริษัทขายของออนไลน์แห่งหนึ่ง แทนที่จะเสียเวลาตอบอีเมลลูกค้าทีละฉบับ เขาทำ FAQ ที่ดี และระบบ Chatbot ที่ตอบคำถามพื้นฐานได้ ผลลัพธ์คือ ประหยัดเวลาได้วันละหลายชั่วโมง
ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก – Jason เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “Feature Creep” คือการเพิ่มความซับซ้อนที่ไม่ต้องการ
iPhone เป็นตัวอย่างที่ดี Steve Jobs ตัดปุ่มต่างๆ ออกจนเหลือแค่หน้าจอเดียว ทำให้ใช้งานง่าย ไม่งงงวย คนจึงชอบใช้
พักผ่อนให้เพียงพอ – สมองที่เหนื่อยล้าจะคิดไม่ออก ความคิดสร้างสรรค์จะมาตอนที่เราผ่อนคลาย
หลายคนประสบความสำเร็จด้วยการทำงาน 40-50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ใช้เวลานั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ลูกค้าคือครูที่ดีที่สุด
เราชอบนั่งเดาใจลูกค้า นั่งคิดว่าเขาต้องการอะไร แต่ Jason บอกว่า วิธีที่ดีที่สุดคือออกไปคุยกับเขา
“อย่าเดา ให้ถาม” เขาเขียน
Basecamp ของเขาเกิดขึ้นเพราะเขาคุยกับลูกค้า และพบว่าเครื่องมือจัดการโปรเจคที่มีอยู่ซับซ้อนเกินไป ลูกค้าต้องการสิ่งที่ง่ายๆ ใช้งานได้ทันที
บริษัทรถยนต์หลายแห่งเข้าใจผิด คิดว่าลูกค้าต้องการรถที่มีปุ่มเยอะๆ ฟีเจอร์เยอะๆ แต่จริงๆ แล้ว ลูกค้าต้องการรถที่ขับง่าย ปลอดภัย และประหยัดน้ำมัน
การฟังลูกค้าจริงๆ ต้องทำแบบนี้:
- คุยกับลูกค้าจริง ไม่ใช่นั่งเดาเอา
- ถามปัญหาที่เขาเจอจริงๆ
- สังเกตพฤติกรรมการใช้งานจริง
- ปรับปรุงตามฟีดแบคที่ได้
การประชุมคือยาพิษ
นี่เป็นจุดที่ Jason เขียนอย่างหน้าตาเฉย “การประชุมส่วนใหญ่เป็นการเสียเวลา”
เขายกตัวอย่างการประชุม 1 ชั่วโมง ที่มีคน 10 คน จริงๆ แล้วเป็นการเสียเวลาไป 10 ชั่วโมง (1 ชั่วโมง x 10 คน) และส่วนใหญ่ไม่มีผลลัพธ์อะไร
การประชุมที่ไร้ประโยชน์มักมีลักษณะแบบนี้:
- ไม่มีวาระชัดเจน
- คุยไปคุยมาไม่มีข้อสรุป
- คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็มาร่วมด้วย
- ใช้เวลานานเกินความจำเป็น
Jason แนะนำว่า ถ้าจำเป็นต้องประชุม ให้ทำแบบนี้:
- เชิญแค่คนที่เกี่ยวข้องจริงๆ
- กำหนดเวลาสั้น (30 นาที หรือน้อยกว่า)
- มีวาระชัดเจน
- ต้องได้ข้อสรุปและใครทำอะไรเมื่อไหร่
บางเรื่องที่เราคิดว่าต้องประชุม จริงๆ แล้วอีเมลหรือข้อความสั้นๆ ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ต้องเป็นเซียนทุกอย่าง
หลายบริษัทพยายามทำทุกอย่าง ขายทุกอย่าง เป็นเลิศในทุกเรื่อง แต่ Jason บอกว่าการทำแบบนี้จะทำให้เราไม่เก่งอะไรเลย
“ทำสิ่งหนึ่งให้ดีที่สุด ดีกว่าทำหลายสิ่งแบบธรรมดา” เขาเขียน
McDonald’s ไม่ได้พยายามทำอาหารทุกประเภท แต่โฟกัสที่แฮมเบอร์เกอร์และอาหารจานด่วน จนกลายเป็นผู้นำโลก
Google เริ่มจากการทำแค่ Search Engine ให้ดีที่สุด ก่อนจะค่อยขยายไปสิ่งอื่น
Basecamp ทำแค่เครื่องมือจัดการโปรเจค ไม่ได้พยายามทำ CRM หรือ Accounting แต่ก็ประสบความสำเร็จ
การโฟกัสมีข้อดี:
- ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นที่หนึ่งในสิ่งที่เราทำ
- ลูกค้าจำเราได้ง่าย
- แก้ปัญหาได้ลึกและดีกว่าคู่แข่ง
พนักงานไม่ใช่เด็ก
หลายบริษัทชอบควบคุมพนักงานทุกจิตทุกใจ เช็คอินเช็คเอาท์ ติดตามว่าใครทำอะไรเมื่อไหร่ แต่ Jason คิดว่าการทำแบบนี้ผิด
“ถ้าคุณไม่ไว้ใจพนักงาน ทำไมต้องจ้างเขา?” เขาเขียน
เขาให้อิสระพนักงาน Basecamp ทำงานที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ที่สำคัญคือผลงาน ไม่ใช่เวลาที่นั่งหน้าโต๊ะ
บริษัทอื่นๆ ที่เริ่มทำแบบนี้ก็พบว่า:
- พนักงานมีความสุขในการทำงานมากขึ้น
- ผลงานมีคุณภาพดีขึ้น
- คนไม่ลาออกง่าย
- ประหยัดค่าใช้จ่ายออฟฟิศ
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกงานที่ทำแบบนี้ได้ แต่สำหรับงานที่ใช้ความคิด การให้อิสระมักได้ผลดีกว่าการควบคุม
การแข่งขันที่ไม่ต้องแข่ง
Jason มีความคิดที่แปลกเรื่องการแข่งขัน เขาบอกว่าอย่าไปสนใจคู่แข่งมาก ให้โฟกัสที่ลูกค้าแทน
“เมื่อคุณมัวแต่มองคู่แข่ง คุณจะลืมมองลูกค้า” เขาเขียน
หลายบริษัทใช้เวลาไปกับการเลียนแบบคู่แข่ง ดูว่าเขาทำอะไร แล้วก็ทำตาม แต่การทำแบบนี้จะทำให้เราตามหลังเขาตลอด
แทนที่จะทำแบบนั้น Jason แนะนำให้:
- สร้างสิ่งที่แตกต่าง
- แก้ปัญหาที่คู่แข่งแก้ไม่ได้
- ทำในแบบที่เราถนัด
- มีจุดขายที่ชัดเจน
Basecamp ไม่ได้พยายามเป็นเหมือน Microsoft Project หรือ Jira แต่สร้างทางเลือกใหม่ที่ง่ายกว่า ใช้งานง่ายกว่า
ความล้มเหลวคือครู
Jason ไม่ได้บอกว่าความล้มเหลวเป็นสิ่งดี แต่เขาบอกว่าอย่ากลัวมันจนเกินไป
“ความผิดพลาดสอนเราได้มากกว่าความสำเร็จ” เขาเขียน
เขายกตัวอย่างตัวเอง ก่อนจะทำ Basecamp สำเร็จ เขาเคยทำโปรเจคหลายอย่างที่ล้มเหลว แต่จากความล้มเหลวนั้นเอง เขาได้เรียนรู้ว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล
สิ่งสำคัญคือ:
- ล้มเหลวเร็วๆ ก่อนที่จะเสียเงินเยอะ
- เรียนรู้จากความผิดพลาด
- ไม่ทำผิดแบบเดิมซ้ำ
- ลองใหม่ด้วยวิธีที่ดีกว่า
เริ่มทำเลย หยุดหาข้อแก้ตัว
นี่เป็นข้อความสำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ Jason บอกว่าคนส่วนใหญ่มีข้อแก้ตัวมากมาย:
- “ยังไม่มีเวลา”
- “ยังไม่มีเงิน”
- “ยังไม่รู้เพียงพอ”
- “ยังไม่ใช่จังหวะที่ดี”
แต่ความจริงคือ เราจะไม่มีวันพร้อม 100% เราต้องเริ่มด้วยสิ่งที่มี แล้วปรับปรุงไปเรื่อยๆ
“จังหวะที่เหมาะสมคือตอนนี้” เขาเขียน
หลายคนรอจนกว่าจะมีความรู้เพียงพอ แต่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือทำ เราจะเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการทำ
ถ้าคุณอยากเขียนหนังสือ อย่ารอจนกว่าจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการเขียน เริ่มเขียนเลย แล้วจะได้เรียนรู้วิธีเขียนที่ดีขึ้น
ถ้าอยากเปิดร้านกาแฟ อย่ารอจนกว่าจะมีเงินเปิดร้านใหญ่ เริ่มจากรถเข็นก่อน แล้วค่อยขยายใหญ่ขึ้นเมื่อมีลูกค้า
สรุป: ปฏิวัติความคิดของตัวเอง
“Rework” ไม่ใช่แค่หนังสือธุรกิจ มันเป็นการปฏิวัติความคิดที่บอกเราว่า กฎเหล็กหลายข้อที่เราเคยเชื่อมา อาจจะไม่ถูกต้อง
สิ่งที่ Jason Fried สอนเราคือ:
- อย่าวางแผนยาวเกินไป โฟกัสที่วันนี้
- เริ่มเล็ก แต่เริ่มเลย
- ทำงานอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่หนัก
- ฟังลูกค้าจริงๆ ไม่ใช่เดา
- ลดการประชุมที่ไร้ประโยชน์
- โฟกัสที่สิ่งที่เราเก่งที่สุด
- ไว้ใจพนักงาน
- อย่ากลัวความล้มเหลว
- หยุดหาข้อแก้ตัว เริ่มทำเลย
การอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนมีเพื่อนที่ประสบความสำเร็จมาบอกว่า “เฮ้ย หยุดคิดมาก แล้วลงมือทำซะ!” ด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมา แต่เต็มไปด้วยประสบการณ์จริง
ที่สำคัญที่สุดคือ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้เราเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในวันเดียว แต่บอกให้เราเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้วันนี้ แล้วค่อยๆ ปรับปรุงไปเรื่อยๆ
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนที่ยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็ว และกล้าลองสิ่งใหม่ จะเป็นคนที่รอดและประสบความสำเร็จ
Jason Fried ผ่านหนังสือเล่มนี้ ได้ให้ของขวัญที่มีค่าแก่เรา นั่นคือ ความกล้าที่จะคิดต่าง ความกล้าที่จะทำต่าง และที่สำคัญที่สุด ความกล้าที่จะเริ่มต้น
ดังนั้น หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว อย่านั่งคิดว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ เริ่มเลยตอนนี้ เพราะตามที่ Jason บอกไว้ “จังหวะที่เหมาะสมคือตอนนี้”
#hrรีพอร์ต
Leave a comment