บทเรียนจากการมองข้ามอนาคต

ปี 2012 บริษัท Kodak ผู้ผลิตฟิล์มและกล้องชื่อดังที่เคยครองใจคนทั่วโลกมากว่า 130 ปี ประกาศล้มละลาย ใครจะคิดว่าบริษัทที่เคยเป็นเจ้าตลาดฟิล์มถ่ายรูปจะจบลงด้วยวิธีนี้

สิ่งที่น่าสนใจคือ Kodak เป็นบริษัทแรกที่คิดค้นเทคโนโลยีกล้องดิจิทัลขึ้นมาในปี 1975 แต่กลับไม่กล้าลงทุนพัฒนาต่อ เพราะกลัวว่าจะกระทบกับธุรกิจฟิล์มที่กำลังทำเงินได้ดี ผลที่ได้คือ บริษัทอื่นเข้ามาครองตลาดกล้องดิจิทัลแทน และ Kodak ก็ค่อยๆ ตกขอบ

เรื่องราวของ Kodak เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การไม่มีแผนกลยุทธ์ที่มองไกลและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกสามารถทำลายธุรกิจได้ถึงขั้นล้มละลาย นี่คือเหตุผลว่าทำไมการวางแผนเชิงกลยุทธ์จึงสำคัญมาก

การวางแผนเชิงกลยุทธ์คืออะไร? ทำไมต้องทำ?

พูดง่ายๆ การวางแผนเชิงกลยุทธ์คือการหาคำตอบของคำถาม 3 ข้อพื้นฐาน:

  1. ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? (ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน)
  2. เราอยากจะไปที่ไหน? (กำหนดเป้าหมายอนาคต)
  3. เราจะไปให้ถึงได้อย่างไร? (วางแผนการดำเนินงาน)

แต่อย่าเข้าใจผิดว่าการวางแผนเชิงกลยุทธ์เป็นแค่การเขียนเอกสารสวยๆ แล้วเก็บไว้ในตู้ มันต้องเป็นกระบวนการที่มีชีวิต ที่ทุกคนในองค์กรเข้าใจ เข้าร่วม และนำไปปฏิบัติจริง

ทำไมองค์กรต้องมีแผนกลยุทธ์?

ลองนึกภาพว่าคุณขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดโดยไม่มีแผนที่ ไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้เส้นทาง คุณจะรู้สึกอย่างไร? น่าจะหลงทาง เสียเวลา เสียน้ำมัน และอาจไม่ถึงจุดหมายเลย

องค์กรที่ไม่มีแผนกลยุทธ์ก็เป็นแบบนี้:

  • ทีมงานไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อน-หลัง
  • ทรัพยากรถูกใช้ไม่เกิดประโยชน์ เงินและเวลาไปกับงานที่ไม่สำคัญ
  • ผู้นำแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แทนที่จะวางแผนรับมือล่วงหน้า

ในทางกลับกัน องค์กรที่มีแผนกลยุทธ์ที่ดีจะได้:

  • ความชัดเจนในเป้าหมาย ทุกคนทำงานไปทิศทางเดียวกัน
  • การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รู้ว่าควรลงทุนตรงไหน
  • ความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง เตรียมตัวรับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ดี

4 ขั้นตอนของการวางแผนเชิงกลยุทธ์

ขั้นตอนที่ 1: รู้จักตัวเองและสภาพแวดล้อม

ก่อนจะกำหนดเป้าหมาย เราต้องรู้จักตัวเองก่อน เหมือนหมอที่ต้องตรวจร่างกายผู้ป่วยก่อนวางแผนการรักษา

เครื่องมือที่ใช้บ่อย:

SWOT Analysis – วิเคราะห์ 4 มิติ:

  • Strengths (จุดแข็ง): เราเก่งเรื่องอะไร?
  • Weaknesses (จุดอ่อน): เราอ่อนตรงไหน?
  • Opportunities (โอกาส): มีโอกาสอะไรรออยู่?
  • Threats (ภัยคุกคาม): อะไรเป็นอันตรายต่อเรา?

ตัวอย่าง: ร้านกาแฟเล็กๆ อาจวิเคราะห์ว่า

  • จุดแข็ง: กาแฟอร่อย บริการเป็นกันเอง
  • จุดอ่อน: เงินทุนจำกัด พื้นที่เล็ก
  • โอกาส: คนในย่านชอบกาแฟสดมากขึ้น
  • ภัยคุกคาม: สตาร์บัคส์เข้ามาเปิดใกล้ๆ

PESTLE Analysis – วิเคราะห์ปัจจัยภายนอกใหญ่ๆ 6 ด้าน:

  • Political (การเมือง): นโยบายรัฐบาล กฎหมาย
  • Economic (เศรษฐกิจ): เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย
  • Social (สังคม): พฤติกรรมผู้บริโภค วัฒนธรรม
  • Technological (เทคโนโลยี): นวัตกรรมใหม่ๆ
  • Legal (กฎหมาย): ข้อบังคับต่างๆ
  • Environmental (สิ่งแวดล้อม): ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ขั้นตอนที่ 2: กำหนดทิศทางและเป้าหมาย

เมื่อรู้สถานะปัจจุบันแล้ว ต่อไปคือการวาดภาพอนาคตที่เราต้องการ

วิสัยทัศน์ (Vision): เราอยากเป็นอะไรในอนาคต?

  • ตัวอย่าง: “เป็นร้านกาแฟอันดับ 1 ในใจของคนในชุมชน”

พันธกิจ (Mission): เราทำอะไร เพื่ออะไร?

  • ตัวอย่าง: “เสิร์ฟกาแฟคุณภาพดี ในบรรยากาศอบอุ่น เพื่อเป็นพื้นที่พบปะของคนในชุมชน”

ค่านิยม (Values): เรายึดมั่นในสิ่งใด?

  • ตัวอย่าง: คุณภาพ ความเป็นกันเอง ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

การตั้งเป้าหมายแบบ SMART:

  • Specific (เจาะจง): เพิ่มยอดขายกาแฟ (ไม่ใช่แค่ “เพิ่มยอดขาย”)
  • Measurable (วัดผลได้): เพิ่ม 30% (ไม่ใช่แค่ “เพิ่มเยอะๆ”)
  • Achievable (ทำได้จริง): อิงจากข้อมูลจริง ไม่ฝันเหลือเกิน
  • Relevant (เกี่ยวข้อง): สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของร้าน
  • Time-bound (มีกรอบเวลา): ภายใน 1 ปี

ขั้นตอนที่ 3: สร้างกลยุทธ์

ตอนนี้รู้แล้วว่าเราอยู่ตรงไหน และอยากไปที่ไหน เหลือแค่หาวิธีการไป

กลยุทธ์มี 3 ระดับ:

  1. กลยุทธ์องค์กร: ทิศทางใหญ่ของทั้งบริษัท
    • ตัวอย่าง: ขยายสาขา หรือโฟกัสสาขาเดียว
  2. กลยุทธ์หน่วยธุรกิจ: แต่ละหน่วยจะทำอย่างไร
    • ตัวอย่าง: สาขาในออฟฟิศโฟกัสคนทำงาน สาขาใน mall โฟกัสครอบครัว
  3. กลยุทธ์หน้าที่งาน: แต่ละฝ่ายมีแผนอย่างไร
    • ตัวอย่าง: ฝ่ายการตลาด → โซเชียลมีเดีย, ฝ่ายการเงิน → ควบคุมต้นทุน

ความท้าทายในขั้นนี้: การแปลงความคิดให้เป็นแผนปฏิบัติที่จับต้องได้ และการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม

ขั้นตอนที่ 4: นำแผนไปปฏิบัติ

นี่คือขั้นตอนที่ยากที่สุด! สถิติบอกว่า 95% ของพนักงานไม่เข้าใจกลยุทธ์ของบริษัทตัวเอง และ 85% ของผู้บริหารใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อเดือนในการคุยเรื่องกลยุทธ์

กลไกสำคัญ:

  • สร้างความเข้าใจร่วมกัน: ทุกคนต้องรู้ว่าแผนคืออะไร ทำไมถึงทำ
  • แบ่งหน้าที่ชัดเจน: ใครทำอะไร เมื่อไหร่ ยังไง
  • ภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง: ผู้นำต้องเป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

การวัดผลและการเรียนรู้

การวางแผนกลยุทธ์ไม่ได้จบแค่การทำ มันต้องวัดผล ปรับปรุง และเรียนรู้ตลอดเวลา

ตัวชี้วัดที่สำคัญ

ตัวชี้วัดนำ (Leading Indicators) – บอกอนาคต:

  • จำนวนลูกค้าใหม่ต่อเดือน
  • คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า
  • ชั่วโมงการฝึกอบรมพนักงาน

ตัวชี้วัดตาม (Lagging Indicators) – บอกผลที่เกิดขึ้นแล้ว:

  • รายได้ กำไร
  • ส่วนแบ่งการตลาด
  • อัตราการรักษาลูกค้า

Netflix กับข้อมูล

Netflix เป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล พวกเขาเก็บข้อมูลทุกการกระทำของผู้ใช้:

  • ดูหนังเรื่องไหน เมื่อไหร่ นานแค่ไหน
  • กดหยุด เร็วไป ถอยกลับตรงไหน
  • ค้นหาอะไร เลือกดูอะไร

ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อแนะนำคอนเทนต์ที่แม่นยำ สร้างซีรีส์ใหม่ที่ถูกใจผู้ชม และตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์หนัง ทำให้ Netflix ครองใจผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากความล้มเหลว

Motorola และการมองตลาดผิด

ปี 2009 Motorola ลงทุนมหาศาลทำโทรศัพท์หรูหราราคาแพง คิดว่าผู้บริโภคต้องการความหรูหรา แต่กลับเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ คนหันมาใช้มือถือราคาประหยัด Motorola จึงขาดทุนหนัก

บทเรียน: ต้องวิจัยตลาดอย่างรอบด้าน ไม่ใช่คิดเองตามสมมติฐาน

Schlitz Brewing กับการลดคุณภาพ

Schlitz Brewing Company เคยเป็นเบียร์ยี่ห้อที่ 2 ของอเมริกา แต่เพื่อลดต้นทุนแข่งขัน พวกเขาเปลี่ยนวัตถุดิบและกระบวนการผลิตให้ถูกลง ผลคือเบียร์รสชาติแย่ ลูกค้าหนีหมด บริษัทล้มละลาย

บทเรียน: คุณภาพคือหัวใจของธุรกิจ อย่าเอาคุณภาพไปแลกกับการประหยัดต้นทุน

Makro กับกลยุทธ์ 4 ด้านที่ปัง

Makro ในไทยเป็นตัวอย่างของการทำกลยุทธ์สำเร็จ ด้วย 4 แนวทาง:

  1. Big Data: ใช้ข้อมูลเข้าใจลูกค้า ว่าซื้ออะไร เมื่อไหร่ เท่าไหร่
  2. Store Format: ปรับรูปแบบร้านให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม
  3. Product Selection: คัดสรรสินค้าที่ตรงใจลูกค้าจริงๆ
  4. Engagement: เปิดศูนย์ “มิตรแท้โชว์ห่วย” ให้ความรู้แก่ลูกค้า SME

ผลลัพธ์คือ Makro กลายเป็นร้านค้าส่งที่ SME ไว้วางใจและติดใจ

การวางแผนกลยุทธ์ส่วนบุคคล

หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับชีวิตส่วนตัว:

ประเมินตัวเอง (Personal SWOT):

  • จุดแข็ง: เก่งอะไร?
  • จุดอ่อน: อ่อนตรงไหน?
  • โอกาส: อุตสาหกรรมไหนกำลังเติบโต?
  • ภัยคุกคาม: AI จะมาแทนที่งานเราไหม?

กำหนดเป้าหมาย: อยากเป็นอะไรใน 5 ปีข้างหน้า? วางแผนปฏิบัติ: จะพัฒนาตัวเองอย่างไร? วัดผลและปรับปรุง: ติดตามความคืบหน้าสม่ำเสมอ

เครื่องมือยุคใหม่

OKR (Objectives and Key Results)

  • Objective: เป้าหมายที่อยากบรรลุ (เช่น เป็นร้านกาแฟที่ลูกค้ารักมากที่สุด)
  • Key Results: ผลลัพธ์ที่วัดได้ (เช่น คะแนนความพึงพอใจ 4.8/5, ลูกค้าประจำ 80%)

Balanced Scorecard (BSC)

วัดผลสำเร็จจาก 4 มุมมอง:

  • การเงิน: รายได้ กำไร
  • ลูกค้า: ความพึงพอใจ ความภักดี
  • กระบวนการ: ประสิทธิภาพการทำงาน
  • การเรียนรู้: การพัฒนาบุคลากร

กุญแจสำคัญของความสำเร็จ

จากการศึกษาองค์กรที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว พบว่ากุญแจสำคัญ 3 ข้อ:

1. การวิเคราะห์ที่รอบด้าน

  • อย่ามองแค่จากมุมมองตัวเอง มองจากข้างนอกด้วย
  • ใช้ข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึก
  • เปิดรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย

2. การปฏิบัติที่สอดคล้อง

  • สื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ
  • แบ่งหน้าที่ชัดเจน
  • ติดตามและช่วยเหลือกันให้บรรลุเป้าหมาย

3. การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

  • วัดผลสม่ำเสมอ
  • ยอมรับข้อผิดพลาดและปรับปรุง
  • อัปเดตแผนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

อนาคตอยู่ในมือเรา

การวางแผนเชิงกลยุทธ์ไม่ใช่เวทมนตร์ที่จะทำให้สำเร็จข้ามคืน แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จอย่างมาก เหมือนกับการมีแผนที่และเข็มทิศในการเดินทาง

สิ่งสำคัญคือ อย่าให้แผนกลยุทธ์เป็นเพียงเอกสารที่สวยงามในตู้ แต่ให้มันเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริง มีชีวิต และพัฒนาไปกับสถานการณ์

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว องค์กรที่รอดและเติบโตได้คือองค์กรที่วางแผนได้ดี ปรับตัวได้เร็ว และเรียนรู้ได้ตลอดเวลา

จงจำไว้ว่า ความล้มเหลวของ Kodak ไม่ได้เกิดจากการขาดเทคโนโลยี แต่เกิดจากการขาดวิสัยทัศน์ในการวางแผนกลยุทธ์ ส่วนความสำเร็จของ Netflix และ Makro มาจากการมีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน ใช้ข้อมูลขับเคลื่อน และปรับปรุงตลอดเวลา

อนาคตขององค์กรจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่อยู่ที่ความสามารถในการวางแผนและขับเคลื่อนแผนนั้นให้สำเร็จ

เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยการถามตัวเองว่า: “ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน เราอยากไปไหน และเราจะไปให้ถึงได้อย่างไร?”

#hrรีพอร์ต

Posted in ,

Leave a comment