เรื่องเล่าจากห้องประชุม

วันหนึ่งในปี 2019 ที่มหาวิทยาลัย Stanford ศาสตราจารย์ Ilya Strebulaev นั่งอยู่ในห้องประชุมกับกลุ่มนักลงทุนเสี่ยง (Venture Capitalists) ระดับโลก เขาตั้งคำถามง่ายๆ ที่ทำให้ทุกคนในห้องหยุดคิด

“ทำไมพวกคุณถึงประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ ทั้งที่ 90% ของสตาร์ทอัพที่คุณลงทุนจะล้มเหลว?”

คำตอบที่ได้กลับมาทำให้เขาตระหนักว่า ความคิดของนักลงทุนเสี่ยงไม่ใช่แค่เรื่องของการลงทุน แต่เป็นแนวคิดที่สามารถนำมาใช้กับทุกด้านของชีวิต

หนังสือ “The Venture Mindset” จึงเกิดขึ้นจากการค้นพบนี้ เป็นหนังสือที่จะพาเราไปรู้จักวิธีคิดที่แตกต่าง วิธีคิดที่จะช่วยให้เราเผชิญกับความไม่แน่นอนของโลกได้อย่างชาญฉลาด

ทำไมการล้มเหลวถึงนำไปสู่ความสำเร็จ

ลองนึกภาพว่าคุณเป็นนักลงทุน วันนี้คุณต้องตัดสินใจลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ 10 บริษัท คุณรู้อยู่แล้วว่า 7-8 บริษัทจะล้มเหลว 1-2 บริษัทจะอยู่รอดแต่ไม่โตมาก และมีโอกาสเพียง 1 บริษัทเดียวที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

คนธรรมดาอาจคิดว่า “นี่มันแย่มาก อัตราการล้มเหลวสูงขนาดนี้” แต่นักลงทุนเสี่ยงกลับคิดว่า “เยี่ยมเลย ถ้าบริษัทหนึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จให้ผลตอบแทน 100 เท่า มันจะชดเชยความเสียหายจากอีก 9 บริษัทที่ล้มเหลว”

ตัวอย่างชัดเจนคือ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal เขาลงทุนในบริษัทต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่ล้มเหลว แต่การลงทุน 500,000 ดอลลาร์ใน Facebook เมื่อปี 2004 กลับให้ผลตอบแทนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ การลงทุนเพียงครั้งเดียวนี้ชดเชยความเสียหายจากการลงทุนที่ล้มเหลวหลายสิบครั้ง

หลักการแรก: Portfolio Thinking – คิดแบบกระจายไข่

หลักการสำคัญที่สุดของ Venture Mindset คือการคิดแบบ Portfolio หรือการกระจายความเสี่ยง แต่ไม่ใช่แค่การกระจายเงินลงทุน หากแต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีคิดทั้งหมด

ตัวอย่างในชีวิตจริง:

นาย A ทำงานบริษัทเดียวมา 15 ปี เขียนโปรแกรมเก่ง เงินเดือนดี แต่วันหนึ่งบริษัทปิดตัว เขาตกงาน ไม่มีทักษะอื่น ไม่มีเครือข่าย หางานใหม่ยาก

นาย B ทำงานหลักที่บริษัทหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันเขาสอนออนไลน์ มีธุรกิจเล็กๆ ขายของออนไลน์ เขียนบล็อก และมีการลงทุนหุ้นหลายตัว เมื่อโควิดมา บริษัทเขาลดเงินเดือน แต่คอร์สออนไลน์และธุรกิจขายของออนไลน์กลับเติบโต ทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น

นี่คือความแตกต่างระหว่างการคิดแบบเก่า (ใส่ไข่ใบเดียว) กับ Portfolio Thinking (กระจายไข่หลายใบ)

หลักการที่สอง: Asymmetric Risk – เสี่ยงไม่สมมาตร

คำว่า “Asymmetric Risk” ฟังดูซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วหมายถึงการหาโอกาสที่ “เสียนิดหน่อย แต่ได้เยอะมาก”

ตัวอย่างง่ายๆ:

คุณเห็นงานเสวนาที่มีค่าเข้าร่วม 5,000 บาท ในงานจะมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทที่คุณฝันอยากทำงานด้วย

  • กรณีแย่ที่สุด: คุณเสียเงิน 5,000 บาท และเวลา 1 วัน
  • กรณีดีที่สุด: คุณได้พบผู้บริหาร สร้างเครือข่าย และได้งานใหม่ที่เงินเดือนสูงกว่าเดิม 50,000 บาท/เดือน

นี่คือ Asymmetric Risk คุณเสี่ยง 5,000 บาท แต่อาจได้ผลตอบแทนหลักแสนถึงหลักล้าน

ตัวอย่างจากธุรกิจจริง:

Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn เล่าว่า เมื่อเขาเริ่มต้น LinkedIn เขาใช้เงินเพียง 5 ล้านดอลลาร์ในการทดลอง หากล้มเหลว เขาเสียแค่ 5 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อประสบความสำเร็จ LinkedIn มีมูลค่ามากกว่า 20 พันล้านดอลลาร์

หลักการที่สาม: Fast Failure – ล้มเหลวให้เร็ว เรียนรู้ให้มาก

สิ่งที่นักลงทุนเสี่ยงทำได้ดีคือการยอมรับว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ และสิ่งสำคัญคือต้องล้มเหลวให้เร็วที่สุด เพื่อได้เรียนรู้และปรับปรุง

เรื่องจริงจาก Google:

ทีม Google เคยทำโปรเจกต์ชื่อ Google Wave ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ พัฒนามา 2 ปี แต่เมื่อเปิดตัวแล้วไม่มีคนใช้ แทนที่จะยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ดี Google ตัดสินใจปิดโปรเจกต์ทันที

ความรู้และประสบการณ์จาก Google Wave ถูกนำไปใช้พัฒนา Google Docs และ Google Meet ที่ประสบความสำเร็จมาก

นี่คือหลักการ Fast Failure – ล้มเหลวเร็ว เรียนรู้เร็ว และนำไปสู่ความสำเร็จครั้งต่อไป

การนำ Venture Mindset มาใช้ในชีวิตประจำวัน

1. ในการทำงาน

แทนที่จะ: มุ่งมั่นทำงานเดิมๆ เก็บเงินใส่ธนาคาร หวังความมั่นคง

ให้ลอง: สร้าง Portfolio Career

  • ทำงานหลัก 80% ของเวลา
  • สร้างธุรกิจข้างเคียง 15% ของเวลา
  • เรียนรู้ทักษะใหม่ 5% ของเวลา

ตัวอย่างจริง: พี่สาวของผู้เขียนทำงานพนักงานบัญชี แต่เริ่มขายขนมออนไลน์ในเวลาว่าง เมื่อโควิดมา บริษัทลดเงินเดือน แต่ธุรกิจขนมกลับเติบโต จนตอนนี้เธอลาออกจากงานประจำ มีรายได้จากขนมมากกว่าเงินเดือนเก่า 3 เท่า

2. ในการลงทุน

แทนที่จะ: เก็บเงินใส่ธนาคาร เสียดายถ้าหุ้นขาดทุน

ให้ลอง: กระจายการลงทุน

  • 70% ในสิ่งที่มั่นคง (เงินฝาก, กองทุนรวม, หุ้นใหญ่)
  • 20% ในสิ่งที่มีความเสี่ยงปานกลาง (หุ้นโตเร็ว, กองทุน Thematic)
  • 10% ในสิ่งที่เสี่ยงสูงแต่อาจได้มาก (สตาร์ทอัพ, คริปโต, หุ้นเล็ก)

ตัวอย่าง: นายหนึ่งในกรุงเทพฯ ลงทุนหุ้น PTT 100,000 บาท ได้กำไร 20% ในปีดี ขาดทุน 10% ในปีแย่ แต่เขาแบ่งเงิน 10,000 บาท ซื้อหุ้น Shopee ตั้งแต่ปี 2020 ราคาหุ้น 30 เหรียญ ตอนนี้ 10,000 บาทนั้นกลายเป็น 300,000 บาท

3. ในการเรียนรู้

แทนที่จะ: เรียนในสาขาเดียว เชี่ยวชาญลึกๆ

ให้ลอง: T-Shaped Learning

  • เรียนรู้หลักในสาขาหนึ่ง (เส้นตั้งของตัว T)
  • เรียนรู้พื้นฐานหลายสาขา (เส้นนอนของตัว T)

ตัวอย่าง: โปรแกรมเมอร์คนหนึ่งเรียนรู้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง, การเงิน, และจิตวิทยา ทำให้เขาสามารถพัฒนาแอปที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดีกว่า และเจรจากับนักลงทุนได้ดีกว่าโปรแกรมเมอร์ทั่วไป

ความล้มเหลวที่กลายเป็นแรงบันดาลใจ

James Dyson ผู้ประดิษฐ์เครื่องดูดฝุ่น Dyson ล้มเหลวในการทำต้นแบบ 5,126 ครั้ง ใช้เงินทั้งหมดจนเกือบล้มละลาย แต่เขาไม่ยอมแพ้

ในครั้งที่ 5,127 เขาทำสำเร็จ และต้นแบบนั้นกลายเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ขายดีที่สุดในโลก ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐี

Dyson เล่าว่า “ผมไม่เคยคิดว่าการล้มเหลว 5,126 ครั้งคือความล้มเหลว ผมคิดว่าเป็นการเรียนรู้ 5,126 วิธีที่ไม่ได้ผล”

นี่คือแก่นแท้ของ Venture Mindset – การมองความล้มเหลวเป็นข้อมูล ไม่ใช่การพ่ายแพ้

กฎเหล็ก 3 ข้อของ Venture Mindset

กฎข้อที่ 1: 10-20-70

  • 10% ของสิ่งที่คุณทำจะประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย
  • 20% จะได้ผลปานกลาง
  • 70% จะล้มเหลวหรือได้ผลต่ำกว่าคาด

การรู้อัตราส่วนนี้จะทำให้คุณไม่ผิดหวังเมื่อสิ่งที่ทำล้มเหลว และจะมีกำลังใจทำต่อไป

กฎข้อที่ 2: การคำนวณ Risk-Reward

ก่อนทำอะไร ให้ถามตัวเองเสมอ

  • เสียมากสุดเท่าไหร่?
  • ได้มากสุดเท่าไหร่?
  • โอกาสสำเร็จเท่าไหร่?

ถ้าสิ่งที่ได้มากกว่าสิ่งที่เสียอย่างชัดเจน ให้ลองทำ

กฎข้อที่ 3: การตั้ง Kill Criteria

ก่อนเริ่มโปรเจกต์ใดๆ ให้กำหนดเงื่อนไขการยุติไว้ล่วงหน้า

  • ถ้าใช้เงินเกิน X บาท โดยไม่เห็นผล ให้หยุด
  • ถ้าใช้เวลาเกิน Y เดือน โดยไม่มีความก้าวหน้า ให้หยุด
  • ถ้าได้ข้อมูลว่าทิศทางผิด ให้หยุดทันที

แผนปฏิบัติการ 30 วัน

สัปดาห์ที่ 1-2: การประเมินสถานการณ์

  • เขียนรายการสิ่งที่คุณกำลังทำ (งาน, การลงทุน, งานอดิเรก)
  • จัดกลุ่มว่าอะไรเสี่ยงสูง อะไรเสี่ยงต่ำ
  • ประเมินว่าคุณกระจายความเสี่ยงมากแค่ไหน

สัปดาห์ที่ 3: การทดลองเล็กๆ

  • เลือก 3 สิ่งใหม่ที่อยากลอง (เสี่ยงต่ำ แต่อาจได้ผลดี)
  • กำหนดงบประมาณและเวลาที่ใช้
  • เริ่มทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

สัปดาห์ที่ 4: การประเมินผลและปรับแผน

  • ดูผลการทดลองในสัปดาห์ที่ 3
  • ตัดสินใจว่าจะทำต่อ ปรับปรุง หรือหยุด
  • วางแผนสำหรับการทดลองครั้งต่อไป

สรุป: การเดินทางสู่ความคิดใหม่

The Venture Mindset ไม่ใช่แค่หนังสือเกี่ยวกับการลงทุน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดทั้งหมด เป็นการเปลี่ยนจาก “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” เป็น “จัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด”

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่างทุกวันนี้ การมีความคิดแบบ Venture Mindset จะช่วยให้เราไม่เพียงแค่อยู่รอดในความไม่แน่นอน แต่ยังเติบโตและเจริญรุ่งเรืองไปด้วย

จำไว้ว่า ชีวิตเหมือนเกมโป๊กเกอร์ เราไม่สามารถควบคุมไพ่ที่ได้ แต่เราควบคุมวิธีการเล่นได้ และคนที่เก่งที่สุดไม่ใช่คนที่ได้ไพ่ดีที่สุด แต่เป็นคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเล่น เมื่อไหร่ควรพับ และเมื่อไหร่ควรเล่นใหญ่

การมี Venture Mindset คือการเปลี่ยนจากคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลง เป็นคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลก และนั่นคือสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเราแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment