บทนำ: เรื่องราวของคนที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง

มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อแอน เธอเล่าให้ฟังว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย เธอเคยอิจฉาเพื่อนร่วมห้องมาก เพราะเพื่อนคนนั้นเก่งทุกอย่าง วาดรูปได้สวย เล่นกีตาร์เพราะ เขียนหนังสือได้ แม้แต่ทำอาหารก็อร่อย

“ฉันนึกแล้วว่าคนเราต้องเกิดมาพร้อมความสามารถ ถ้าไม่มีก็ไม่มี” แอนเล่า “เลยไม่เคยลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะกลัวว่าตัวเองไม่เก่ง”

แต่แล้ววันหนึ่ง แอนได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “Suddenly Talented” ของ Sean D’Souza ซึ่งมาบอกเธอว่า ความคิดที่ว่าคนเราต้องเกิดมาเก่ง นั่นเป็นความเข้าใจผิดครับ!

ความจริงเรื่องความเก่งที่ไม่มีใครเล่าให้ฟัง

Sean D’Souza ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่นักวิชาการที่นั่งทำวิจัยในห้องแล็บ แต่เป็นคนที่สอนจริงมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นการวาดการ์ตูน ภาพสีน้ำ การถ่ายภาพ หรือการเขียน ลูกศิษย์ของเขาเป็นคนที่จ่ายเงินเรียนจริง และที่สำคัญคือ สามารถเลิกเรียนได้ตลอดเวลา (เพราะเรียนออนไลน์) แต่กลับเลือกเรียนต่อจนจบ

เขาสังเกตเห็นว่า ผู้คนสามารถเก่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ดูเหมือนจะ “เก่งปุบปับ” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์เลย

D’Souza เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “การไปถึงระดับ Doable Greatness” หรือ “ความเก่งที่ทำได้”

“Doable Greatness” คืออะไร?

ลองนึกภาพดูครับ ในโลกนี้มีระดับความสามารถ 3 ระดับ:

ระดับที่ 1: คนธรรมดา – ทำอะไรก็ได้ แต่ไม่โดดเด่น ระดับที่ 2: Doable Greatness – เก่งระดับที่คนอื่นมองว่าเป็นมืออาชีพ ระดับที่ 3: อัจฉริยะ – เก่งระดับโลก แต่คนแบบนี้มีน้อยมาก

คนส่วนใหญ่คิดว่าถ้าจะเก่ง ต้องเป็นระดับที่ 3 เท่านั้น แต่ความจริงคือ ระดับที่ 2 ก็เพียงพอแล้ว และสิ่งสำคัญคือ เราไปถึงระดับนี้ได้!

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณวาดรูประดับ Doable Greatness เพื่อนๆ จะชม เจ้านายจะให้งานออกแบบ คนในโซเชียลจะกดไลก์ แม้ว่าคุณจะยังไม่ใช่ปิกัสโซ่ก็ตาม

4 เสาหลักแห่งการเก่งปุบปับ

เสาที่ 1: การจัดการพลังงาน (Energy Management)

D’Souza บอกว่าคนเราล้มเหลวไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่เพราะจัดการพลังงานผิดวิธี

ลองดูตัวอย่างของจอห์น นักเรียนโปรแกรมมิ่งคนหนึ่ง เขาตื่นเช้ามาแล้วเปิดคอร์สเรียนออนไลน์ เรียนไปเรื่อยๆ จนเหนื่อย แล้วก็บังคับตัวเองเรียนต่อ ผลคือ สมองเริ่มงง เบื่อ และท้อ ในที่สุดก็เลิกเรียน

แต่ถ้าจอห์นรู้เรื่องการจัดการพลังงาน เขาจะเรียน 25 นาที พักผ่อน 5 นาที เรียนต่ออีก 25 นาที วิธีนี้ทำให้สมองสดใส ไม่เหนื่อยล้า และเรียนได้นานขึ้น

การจัดการพลังงานยังรวมถึง การเลือกครูที่ใช่ ด้วย ครูที่ดีจะไม่ทำให้เราหมดพลังงาน แต่จะเติมพลังให้เรา

เสาที่ 2: ความมั่นใจสำคัญกว่าทักษะ

นี่เป็นจุดที่น่าแปลกใจมาก D’Souza บอกว่า ความมั่นใจสำคัญกว่าทักษะ

ยกตัวอย่าง มิกิ สาวญี่ปุ่นที่เรียนภาษาอังกฤษมา 10 ปี เธอรู้ไวยากรณ์ รู้คำศัพท์เยอะมาก แต่เวลาต้องพูดกับฝรั่ง กลับพูดไม่ออก เพราะขาดความมั่นใจ

ในทางตรงกันข้าม มาร์ค นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่เรียนภาษาไทยแค่ 3 เดือน แต่กล้าพูด กล้าผิด ใน 6 เดือนเขาพูดภาษาไทยได้คล่องกว่ามิกิที่เรียนอังกฤษมา 10 ปี

ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เพราะความมั่นใจทำให้เราลองผิดลองถูก เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

เสาที่ 3: โซนปลอดภัย (Safe Zone)

D’Souza เล่าเรื่องครูสอนวาดรูปคนหนึ่ง เขาสังเกตว่านักเรียนหลายคนวาดรูปได้สวยเมื่ออยู่ในคลาส แต่พอกลับบ้านกลับวาดไม่ได้

เขาค้นพบว่า ในคลาสมี “โซนปลอดภัย” คือ:

  • ไม่มีใครหัวเราะเยาะ
  • ทุกคนเป็นมือใหม่เหมือนกัน
  • ครูให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ
  • บรรยากาศเป็นกันเอง

แต่ที่บ้าน พี่ชายอาจเข้ามาแล้วพูดว่า “วาดอะไรวะ อัปลักษณ์จัง” ทำให้ความมั่นใจหายไปทันที

นี่คือเหตุผลที่ D’Souza เน้นว่า การสร้างโซนปลอดภัยสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการหาที่เรียนที่เหมาะสม หาเพื่อนเรียนที่ให้กำลังใจ หรือแม้แต่การบอกคนในบ้านให้ช่วยสนับสนุน

เสาที่ 4: ทิ้งกฎ 10,000 ชั่วโมง

คุณเคยได้ยินไหมว่า “ถ้าจะเก่งต้องฝึก 10,000 ชั่วโมง” D’Souza บอกว่า กฎนี้ทำร้ายคนมากกว่าช่วย

มาคิดดูครับ 10,000 ชั่วโมง แปลว่า:

  • ถ้าฝึกวันละ 1 ชั่วโมง = 27 ปี
  • ถ้าฝึกวันละ 3 ชั่วโมง = 9 ปี

ใครจะอยากเริ่มเรียนอะไรใหม่ถ้าต้องใช้เวลาขนาดนี้?

แต่ D’Souza มีข้อมูลที่น่าสนใจ เขาได้สังเกตลูกศิษย์ของตัวเองพบว่า:

  • วาดการ์ตูน: 2-3 สัปดาห์ ก็เริ่มวาดได้น่าดู
  • ภาพสีน้ำ: 1-2 เดือน ก็ระดับมืออาชีพ
  • การเขียน: 3-6 เดือน ก็เขียนได้น่าอ่าน

เคล็ดลับคือ อย่าไปเทียบกับอัจฉริยะ แต่ให้เทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ เมื่อคุณดีขึ้นจากเมื่อวาน นั่นคือความสำเร็จแล้ว

เรื่องจริงของคนที่เปลี่ยนไป

กลับมาที่แอนที่เล่าไว้ตอนต้น หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เธอตัดสินใจลองเรียนวาดรูปออนไลน์

สัปดาห์แรก: เธอหาคอร์สที่ไม่เครียด มีคนให้กำลังใจ (โซนปลอดภัย) เรียนวันละ 30 นาที พักบ่อยๆ (จัดการพลังงาน)

สัปดาห์ที่ 2-3: เธอเริ่มมั่นใจขึ้น เพราะเห็นว่าภาพของตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์

เดือนที่ 2: เพื่อนๆ เริ่มชมภาพวาดของเธอ บอกว่าสวย น่ารัก มีสไตล์

เดือนที่ 3: เธอเริ่มขายภาพวาดออนไลน์ได้แล้ว!

“ตอนนี้ฉันไม่ใช่ปิกัสโซ่ แต่ฉันเก่งพอที่จะสอนคนอื่นได้ พอที่จะมีรายได้เสริมได้ และสำคัญที่สุดคือ ฉันมีความสุขกับการวาดรูป” แอนเล่า

หลักการใช้งานจริง

จากหนังสือ “Suddenly Talented” เราสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้แบบนี้:

ขั้นตอนที่ 1: เลือกสิ่งที่อยากเก่ง

ไม่ต้องเลือกหลายอย่างพร้อมกัน เลือกแค่ 1-2 อย่าง เช่น ภาษาอังกฤษ การถ่ายภาพ การทำอาหาร

ขั้นตอนที่ 2: หาโซนปลอดภัย

  • หาที่เรียนที่ไม่เครียด (อาจเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์)
  • หาเพื่อนเรียนที่ให้กำลังใจกัน
  • บอกคนรอบข้างให้ช่วยสนับสนุน

ขั้นตอนที่ 3: จัดการพลังงาน

  • กำหนดเวลาเรียนสั้นๆ เช่น 25-30 นาทีต่อครั้ง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • เรียนในช่วงเวลาที่สมองสดใส (คนละคนคนละเวลา)

ขั้นตอนที่ 4: สร้างความมั่นใจ

  • ไม่เทียบกับผู้เชี่ยวชาญ เทียบกับตัวเองเมื่อวาน
  • เฉลิมฉลองความก้าวหน้าเล็กๆ น้อยๆ
  • หาครูที่ให้กำลังใจมากกว่าตำหนิ

ขั้นตอนที่ 5: ลืมเรื่อง 10,000 ชั่วโมง

  • ตั้งเป้าหมายระยะสั้น เช่น 1 เดือน 3 เดือน
  • ดูว่าตัวเองพัฒนาไปแค่ไหนแล้ว
  • ถ้าถึงระดับ Doable Greatness แล้ว ให้ภูมิใจ!

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง

จากประสบการณ์ของ D’Souza มีข้อผิดพลาดที่เราควรระวัง:

1. เปรียบเทียบกับคนที่เก่งที่สุด อย่าไปเทียบตัวเองกับเทพ ให้เทียบกับคนที่เพิ่งเรียนเหมือนเรา หรือตัวเองเมื่อเริ่มต้น

2. เรียนมากเกินไป การเรียน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ได้ทำให้เก่งเร็วขึ้น แต่จะทำให้เหนื่อยและท้อ

3. หาครูผิดคน ครูที่ดีต้องให้ความมั่นใจ ไม่ใช่แค่ความรู้ ถ้าครูทำให้เรารู้สึกงี่เง่า เปลี่ยนครูเลย

4. ไม่มีที่ฝึก แค่เรียนไม่พอ ต้องมีที่ให้ลองทำ ลองผิด ลองถูก

สำหรับคนที่ยังลังเล

หนังสือ “Suddenly Talented” ไม่ได้สัญญาว่าเราจะเป็นอัจฉริยะ แต่สัญญาว่า เราจะเก่งได้ ในระดับที่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิต การทำงาน และการมีความสุข

คิดดูสิครับ ถ้าคุณเก่งถ่ายภาพระดับ Doable Greatness:

  • เพื่อนๆ จะให้ถ่ายรูปงานแต่งงาน
  • อาจมีรายได้เสริมจากการขายภาพ
  • ได้เก็บความทรงจำสวยๆ ไว้
  • รู้สึกภูมิใจในตัวเอง

นั่นไม่ดีแล้วเหรอ?

สรุป: ข้อความที่ Sean D’Souza อยากส่งถึงเรา

หนังสือ “Suddenly Talented” ต้องการบอกเราว่า:

“คุณไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะ แค่เป็นคนที่เก่งก็พอแล้ว และความเก่งนั้นอยู่ในเอื้อมมือของคุณ”

สิ่งที่คุณต้องทำคือ:

  • เข้าใจว่าความเก่งเป็นทักษะ ไม่ใช่ของขวัญจากสวรรค์
  • จัดการพลังงานให้ดี
  • สร้างความมั่นใจ
  • หาโซนปลอดภัยในการเรียนรู้
  • ลืมกฎ 10,000 ชั่วโมง

ถ้าคุณทำตามสิ่งเหล่านี้ คุณจะค้นพบว่าตัวเองเก่งได้มากกว่าที่คิด และที่สำคัญ คุณจะเก่งได้เร็วกว่าที่คิดด้วย

วันนี้เป็นวันที่ดีในการเริ่มต้น ลองเลือกสิ่งที่อยากเรียนรู้ แล้วใช้หลักการจาก “Suddenly Talented” ดูครับ ใครรู้ เดือนหน้าคุณอาจกลายเป็นคนที่ “เก่งปุบปับ” คนต่อไปก็ได้!


หมายเหตุ: บทความนี้สรุปมาจากหนังสือ “Suddenly Talented: How To Overcome The Struggle Of Learning” โดย Sean D’Souza ผู้ที่สนใจสามารถไปอ่านหนังสือต้นฉบับเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment