เมื่อความสำเร็จกลายเป็นกับดัก
เจมส์เป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีขนาดกลาง มีพนักงาน 50 คน รายได้ปีละหลายสิบล้าน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษในคุกที่ตัวเองสร้างขึ้น ทุกเช้าตื่นมาต้องตอบอีเมล 200 ฉบับ เข้าประชุม 8 ชั่วโมง กลับบ้านตอน 3 ทุ่ม แล้วยังต้องเปิดแล็ปท็อปทำงานต่อจนดึก
“ทำไมยิ่งประสบความสำเร็จ ชีวิตถึงยิ่งวุ่นวาย?” เจมส์ถามตัวเองทุกคืนก่อนนอน
เขาไม่ใช่คนเดียวที่เจอปัญหานี้ หลายคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ กลับพบว่าตัวเองติดอยู่ในวงจรของความยุ่งเหยิง ยิ่งธุรกิจเติบโต ยิ่งมีงานเพิ่มขึ้น ยิ่งมีคนต้องการความสนใจ จนในที่สุดกลายเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุดในบริษัทตัวเอง
การตื่นรู้ครั้งสำคัญ
วันหนึ่ง เจมส์ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองของเขาไปตลกกาล นั่นคือ “Buy Back Your Time” ของ Dan Martell ผู้เขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เคยเป็นผู้ประกอบการที่ทำงานวันละ 16 ชั่วโมง จนกระทั่งวันหนึ่งลูกชายถามว่า “ทำไมพ่อไม่เคยอยู่บ้าน?”
คำถามนี้ทำให้ Dan ตระหนักว่า เขาได้สร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่กลับสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต – เวลา
“ปัญหาไม่ใช่การจัดการเวลา แต่คือการซื้อเวลาคืนมา” Dan เขียนไว้ในหนังสือ
ความแตกต่างคืออะไร? การจัดการเวลาคือการพยายามยัดเยียดงานมากขึ้นเข้าไปในเวลาเดิม แต่การซื้อเวลาคืนมาคือการลงทุนเงินเพื่อให้คนอื่นทำงานแทนเรา เพื่อให้เราได้เวลาไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า
สูตรการคำนวณมูลค่าเวลา
Dan มีเทคนิคง่ายๆ ในการคำนวณว่าเวลาของเราคุ้มค่าเท่าไหร่
สมมติเจมส์มีรายได้ปีละ 5 ล้านบาท เขาทำงาน 50 สัปดาห์ต่อปี สัปดาห์ละ 60 ชั่วโมง
- 5,000,000 ÷ (50 × 60) = 1,667 บาทต่อชั่วโมง
นั่นหมายความว่า ถ้าเจมส์จ้างใครมาทำงานแทนในอัตรา 500 บาทต่อชั่วโมง เขาจะได้กำไร 1,167 บาทต่อชั่วโมง และที่สำคัญกว่านั้น เขาจะได้เวลาคืนมาเพื่อไปทำงานที่สร้างมูลค่าสูงกว่า
ระบบ DRIP: วิธีการมอบหมายงานอย่างเป็นระบบ
Dan แนะนำระบบ DRIP ที่ช่วยให้การมอบหมายงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ:
D – Document (จดบันทึก)
เจมส์เริ่มจากการเขียนขั้นตอนการทำงานที่เขาทำประจำ เช่น การตอบอีเมลลูกค้า:
- เปิดอีเมลในช่วงเช้า 9:00-10:00
- อ่านและแบ่งประเภทอีเมล (ด่วน/ไม่ด่วน/ติดตาม)
- ตอบอีเมลด่วนก่อน
- ส่งต่ออีเมลที่เกี่ยวข้องกับแผนกอื่น
- จดบันทึกการติดตามในระบบ CRM
R – Record (บันทึกวิดีโอ)
เขาบันทึกวิดีโอตัวเองทำงานจริง พร้อมอธิบายเหตุผลของแต่ละขั้นตอน เช่น “ผมจะดูจากหัวข้ออีเมลก่อนว่าด่วนไหม ถ้ามีคำว่า ‘URGENT’ หรือชื่อลูกค้าใหญ่ ผมจะเปิดอ่านทันที”
I – Implement (ให้ลองทำ)
เจมส์หาผู้ช่วยส่วนตัวมา ให้เธอดูวิดีโอและลองทำตามขั้นตอน ในช่วงแรกเขายังคอยสอนและแก้ไข
P – Perfect (ปรับปรุงให้สมบูรณ์)
หลังจากผู้ช่วยทำได้คล่อง เจมส์และเธอร่วมกันปรับปรุงขั้นตอน เพิ่มเติมรายละเอียดที่ขาดหาย สร้างเทมเพลตการตอบอีเมลสำหรับสถานการณ์ต่างๆ
การเลือกงานที่จะมอบหมาย
Dan แนะนำให้เริ่มจากงานที่เข้าเงื่อนไขนี้:
- งานที่เราไม่ชอบทำ – เช่น การจัดตารางนัดหมาย
- งานที่ใครก็ทำได้ – เช่น การพิมพ์เอกสาร การตอบอีเมลทั่วไป
- งานที่เราไม่เก่งที่สุด – เช่น การออกแบบกราฟิก
เจมส์เริ่มจากการมอบหมายงานเหล่านี้:
สัปดาห์ที่ 1-2: งานพื้นฐาน
- การตอบอีเมลทั่วไป (ประหยัดเวลา 2 ชั่วโมงต่อวัน)
- การจัดตารางนัดหมาย (ประหยัดเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน)
- การพิมพ์รายงาน (ประหยัดเวลา 30 นาทีต่อวัน)
สัปดาห์ที่ 3-4: งานที่ซับซ้อนขึ้น
- การติดตามใบเสนอราคา
- การประสานงานกับลูกค้า
- การจัดทำเอกสารนำเสนอ
เดือนที่ 2: งานที่ต้องใช้ความคิด
- การวิเคราะห์ข้อมูลขาย
- การเขียนบทความบล็อก
- การจัดการโซเชียลมีเดีย
ความต่อต้านภายใน
แต่การปล่อยวางไม่ใช่เรื่องง่าย เจมส์พบว่าตัวเองมีความคิดเหล่านี้:
“ผมทำเองเร็วกว่า” – นี่คือกับดักใหญ่ที่สุด ในระยะสั้นอาจจริง แต่ในระยะยาว การสอนคนอื่นจะคุ้มค่ากว่า
“เขาทำไม่ได้ดีเท่าผม” – Dan เขียนว่า “80% ที่ใครทำได้ดีกว่า 0% ที่คุณไม่ได้ทำเลย”
“ค่าใช้จ่ายแพงเกินไป” – เมื่อคิดในแง่ของมูลค่าเวลา การจ้างคนมาช่วยกลับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
“ลูกค้าต้องการผมโดยตรง” – ความจริงคือลูกค้าต้องการปัญหาของเขาได้รับการแก้ไข ไม่ใช่ต้องการเจมส์โดยเฉพาะ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
หลังจาก 6 เดือน เจมส์พบว่า:
เวลาที่ได้คืนมา
- ลดเวลาทำงานจาก 12 ชั่วโมงเป็น 8 ชั่วโมงต่อวัน
- วันเสาร์-อาทิตย์ว่างเพื่อครอบครัว
- มีเวลาออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เรียนรู้สิ่งใหม่
ธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น
- รายได้เพิ่มขึ้น 30% เพราะมีเวลาโฟกัสกับลูกค้าใหม่
- ทีมทำงานได้อิสระมากขึ้น
- ระบบองค์กรแข็งแกร่ง ไม่พึ่งพาเจมส์คนเดียว
คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- ความเครียดลดลง
- ความสัมพันธ์กับครอบครัวดีขึ้น
- มีพลังงานในการทำสิ่งที่รัก
กรอบการคิดใหม่: การลงทุนในเวลา
Dan เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ: “เงินหาได้ แต่เวลาหาไม่ได้”
เจมส์เรียนรู้ที่จะคิดในแง่ของการลงทุน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย:
- การจ้างผู้ช่วย 25,000 บาทต่อเดือน
- ได้เวลาคืนมา 40 ชั่วโมงต่อเดือน
- มูลค่าเวลาที่ได้คืนมา = 40 × 1,667 = 66,680 บาท
- กำไรสุทธิ = 66,680 – 25,000 = 41,680 บาทต่อเดือน
นี่ยังไม่รวมมูลค่าที่แท้จริง – เวลาที่ได้ใช้กับครอบครัว สุขภาพที่ดีขึ้น และโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่
เทคนิคการเริ่มต้น
สำหรับคนที่อยากลองแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง Dan แนะนำ:
สัปดาห์ที่ 1: การสำรวจ
จดบันทึกว่าใช้เวลาทำอะไรบ้างแต่ละวัน เป็นเวลานานเท่าไหร่ รู้สึกอย่างไรกับงานนั้น
สัปดาห์ที่ 2: การจัดอันดับ
แบ่งงานออกเป็น 3 กลุ่ม:
- สีเขียว: งานที่เราชอบและเก่ง (เก็บไว้ทำเอง)
- สีเหลือง: งานที่เราทำได้แต่ไม่ใช่จุดแข็ง (พิจารณามอบหมาย)
- สีแดง: งานที่เราไม่ชอบหรือไม่เก่ง (มอบหมายก่อน)
สัปดาห์ที่ 3: การทดลอง
เลือกงานสีแดง 1-2 อย่าง ลองหาคนมาช่วยทำ อาจเป็นฟรีแลนซ์หรือพาร์ทไทม์
สัปดาห์ที่ 4: การประเมินผล
ดูว่าได้เวลาคืนมาเท่าไหร่ ใช้เวลานั้นทำอะไร รู้สึกอย่างไร
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง
จากประสบการณ์ของเจมส์และคำแนะนำจาก Dan มีข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:
1. มอบหมายงานที่ยากเกินไป
ครั้งแรกไม่ควรมอบหมายงานที่ซับซ้อนมาก เริ่มจากงานง่ายๆ ก่อน เมื่อเชื่อใจกันแล้วค่อยเพิ่มความยาก
2. ไม่มีระบบติดตาม
การมอบหมายไม่ใช่การโยนงานไป ต้องมีระบบเช็คงาน ให้ฟีดแบ็ค และปรับปรุง
3. คาดหวังผลลัพธ์ 100%
ยอมรับว่าคนอื่นอาจทำได้แค่ 80% ของความสมบูรณ์แบบที่เราต้องการ แต่ 80% ที่ทำได้ยังดีกว่า 0% ที่เราไม่ได้ทำ
4. ไม่ลงทุนกับการสอน
การสอนงานต้องใช้เวลาในช่วงแรก แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
เมื่อเวลาคือทุกสิ่งทุกอย่าง
เรื่องราวของเจมส์และหลักการจาก Dan Martell สะท้อนความจริงข้อหนึ่ง: เวลาคือทรัพยากรที่หายากที่สุดในโลก
เราซื้อของได้ด้วยเงิน แต่ซื้อเวลาด้วยเงินไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือการ “ซื้อเวลาคืนมา” โดยการลงทุนให้คนอื่นทำงานแทนเรา
Dan เขียนไว้ในหนังสือว่า: “ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่การมีเงินมาก แต่เป็นการมีเวลาทำในสิ่งที่เราอยากทำ กับคนที่เรารัก”
วันนี้ เจมส์กลับบ้านตอน 6 โมงเย็น รับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว เล่นกับลูก อ่านหนังสือก่อนนอน เขาใช้เงินซื้อเวลาคืนมา และพบว่านั่นคือการซื้อขายที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต
เพราะเมื่อเวลาหมดไป มันจะไม่กลับมาอีก แต่เงินหาได้เสมอ
คำถามที่ควรถามตัวเอง: วันนี้คุณจะซื้อเวลาคืนมาอย่างไร?
#hrรีพอร์ต
Leave a comment