สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะมาเล่าเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลกดกาล นั่นคือการเรียนรู้เทคนิคการอ่านเร็วจากหนังสือ “Speed Reading: Learn to Read a 200+ Page Book in 1 Hour” ของ Kam Knight

จุดเริ่มต้นของปัญหา

เมื่อก่อนผมเป็นคนที่อ่านหนังสือช้ามาก หนังสือเล่มหนึ่ง 300 หน้า ใช้เวลาอ่านเกือบสัปดาห์ บางทีก็เบื่อจนอ่านไม่จบเลย ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีมากมายและต้องอัปเดตตัวเองตลอดเวลา การอ่านช้าทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังตกขบวน

ผมจำได้ว่าตอนที่ทำงานในบริษัทใหม่ เจ้านายให้อ่านรายงานประจำปีที่หนาปึ๊ก แล้วให้สรุปในวันถัดไป ผมนั่งอ่านจนตี 2 ยังอ่านไม่จบครึ่งเล่ม รู้สึกหดหู่มาก แล้วก็เจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ

การเริ่มต้นเรียนรู้

หนังสือของ Kam Knight เริ่มต้นด้วยการทำลายความเชื่อผิดๆ เรื่องการอ่าน เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่มีนิสัยการอ่านที่ผิดมาตั้งแต่เด็ก โดยไม่รู้ตัว

นิสัยแรกที่ต้องเลิก: การอ่านออกเสียงในใจ

นี่คือจุดที่ผมตกใจมาก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าการที่เราอ่านแล้วมี “เสียง” ในหัวนั้นจริงๆ แล้วทำให้อ่านช้าลง เหมือนกับว่าเรากำลังอ่านออกเสียงให้คนฟัง แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครฟัง

ผมลองทดสอบตัวเอง พบว่าเวลาอ่าน “แมวอยู่บนโต๊ะ” ในหัวจะมีเสียงพูดว่า “แ-ม-ว-อ-ยู่-บ-น-โ-ต๊-ะ” ช้าเหมือนคนพูด นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เราอ่านไม่เร็วกว่าคนพูด

วิธีแก้ไข: Kam Knight แนะนำให้นับเลข 1-2-3-4-5 ในใจขณะอ่าน หรือฟังเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง เพื่อให้สมองส่วนที่ใช้ออกเสียงยุ่งอยู่กับอย่างอื่น

ตอนแรกผมรู้สึกแปลกมาก เหมือนกับอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่หลังจากฝึกไปสักพัก พบว่าสามารถเข้าใจเนื้อหาได้โดยไม่ต้องมีเสียงในหัว และที่สำคัญคือ อ่านเร็วขึ้นเยอะ

นิสัยที่สอง: การอ่านย้อนกลับ

อีกสิ่งหนึ่งที่ Kam Knight ชี้ให้เห็นคือ เราชอบอ่านย้อนกลับ เวลาอ่านประโยคหนึ่งแล้วรู้สึกไม่เข้าใจ เราจะกลับไปอ่านใหม่ นิสัยนี้ทำให้เสียเวลามาก

ผมสังเกตตัวเองแล้วพบว่าจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะเวลาอ่านหนังสือเทคนิคหรือบทความซับซ้อน บางทีอ่านประโยคเดียวกันไป 3-4 รอบ

วิธีแก้ไข: ใช้นิ้วหรือปากกาชี้ไปข้างหน้าตลอดเวลา ไม่ให้ตากลับไปข้างหลัง แม้จะไม่เข้าใจก็ให้อ่านต่อไป เพราะบริบทข้างหน้าจะช่วยให้เข้าใจส่วนที่ไม่เข้าใจก่อนหน้า

เทคนิคการเคลื่อนไหวตา: จุดเปลี่ยนที่แท้จริง

ส่วนที่ผมชอบมากที่สุดในหนังสือคือเรื่องการเคลื่อนไหวตา Kam Knight อธิบายว่าตาของเราไม่ได้เคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง แต่จะ “กระโดด” จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่ละจุดหยุดเรียกว่า “Fixation”

ตัวอย่างคนอ่านช้า: เวลาอ่านประโยค “ฉันไปซื้อของที่ตลาด” ตาจะหยุดที่:

  • “ฉัน” (หยุด 1)
  • “ไป” (หยุด 2)
  • “ซื้อ” (หยุด 3)
  • “ของ” (หยุด 4)
  • “ที่” (หยุด 5)
  • “ตลาด” (หยุด 6)

รวม 6 จุดหยุด

ตัวอย่างคนอ่านเร็ว: ตาจะหยุดที่:

  • “ฉันไปซื้อ” (หยุด 1)
  • “ของที่ตลาด” (หยุด 2)

รวม 2 จุดหยุด

เห็นไหมครับ? ลดจุดหยุดลงได้มากเท่าไหร่ ก็อ่านเร็วขึ้นเท่านั้น

การฝึกขยายช่วงการมองเห็น

Kam Knight ให้ฝึกแบบนี้:

  1. เขียนคำต่างๆ บนกระดาษ แยกห่างกัน
  2. มองจ้องตรงกลาง แล้วพยายามอ่านคำข้างๆ โดยไม่ขยับตา
  3. ค่อยๆ เพิ่มระยะห่างระหว่างคำ

ผมฝึกเทคนิคนี้ประมาณ 2 สัปดาห์ รู้สึกว่าสายตาขยายออกไปได้มากขึ้น เหมือนกับว่าดูทีวีจอใหญ่แทนที่จะดูผ่านกล้องส่องทางไกล

เทคนิคที่เปลี่ยนเกม: Meta Guiding

นี่คือเทคนิคที่ผมประทับใจมากที่สุด แทนที่จะใช้นิ้วชี้ไปทีละบรรทัด Kam Knight สอนให้ใช้นิ้วเขียน “S” กลับหัวบนหน้ากระดาษ

วิธีทำ:

  1. เริ่มจากมุมซ้ายบน เลื่อนนิ้วไปขวา (บรรทัดที่ 1)
  2. เลื่อนขึ้นไปทแนวทกง กลับไปซ้าย (บรรทัดที่ 2)
  3. เลื่อนลงไปทแนวทางขวา (บรรทัดที่ 3)
  4. ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะได้รูปร่างคล้าย “S” กลับหัว

ตอนแรกผมคิดว่าแปลก แต่พอลองแล้วพบว่าตาเคลื่อนที่ได้นุ่มนวลขึ้น และอ่านเร็วขึ้นมาก เพราะตาไม่ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นของแต่ละบรรทัด

การทดสอบครั้งแรก: จากหอยทากสู่กระรอก

หลังจากฝึกมา 3 สัปดาห์ ผมตัดสินใจทดสอบกับหนังสือ “พ่อรวยพ่อจน” ที่มี 280 หน้า

ก่อนฝึก: ใช้เวลา 5 วัน อ่านวันละ 2 ชั่วโมง (รวม 10 ชั่วโมง) หลังฝึก: ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที

ประหลาดใจมาก! แต่ที่สำคัญกว่าคือ ผมยังเข้าใจเนื้อหาได้ดี สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ครบถ้วน

เทคนิคการอ่านอย่างมีกลยุทธ์

Kam Knight ไม่ได้สอนแค่อ่านเร็ว แต่สอนอ่านอย่างฉลาด เขาแนะนำเทคนิค “Preview, Read, Review”

Preview (สำรวจก่อนอ่าน):

  • อ่านปกหลัง สารบัญ และบทสรุป
  • ดูหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย และรูปภาพ
  • ใช้เวลาแค่ 5-10 นาที แต่จะทำให้เข้าใจภาพใหญ่

ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง: ผมเคยต้องอ่านรายงานการเงินของบริษัทที่หนา 150 หน้า ก่อนหน้านี้จะนั่งอ่านตั้งแต่หน้าแรก แต่หลังจากใช้เทคนิค Preview พบว่า:

  • หน้า 1-20 เป็นคำนำและคำอธิบายทั่วไป (ข้ามได้)
  • หน้า 50-80 เป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องอ่านละเอียด
  • หน้า 100-150 เป็นภาคผนวกและตารางข้อมูล (อ่านเฉพาะที่จำเป็น)

แทนที่จะใช้เวลา 8 ชั่วโมง ผมใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง และได้ข้อมูลครบถ้วนไม่แพ้เดิม

Read (อ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย):

  • กำหนดคำถามที่ต้องการหาคำตอบ
  • มุ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  • ข้ามส่วนที่ไม่สำคัญ

Review (ทบทวน):

  • สรุปประเด็นสำคัญ
  • จดบันทึกส่วนที่จำเป็น
  • เชื่อมโยงกับความรู้เดิม

ความผิดพลาดที่ผมเคยทำ

ผิดพลาดที่ 1: เร่งรีบเกินไป ตอนแรกผมคิดว่าต้องอ่านให้เร็วที่สุดทันที ผลคือ อ่านเร็วแต่ไม่เข้าใจอะไรเลย เหมือนกับมองตัวอักษรผ่านไปแต่สมองไม่ได้ประมวลผล

ทางแก้: ค่อยๆ เพิ่มความเร็วทีละนิด เริ่มจาก 150% ของความเร็วเดิม แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 200%, 300% เป็นต้น

ผิดพลาดที่ 2: ใช้เทคนิคกับเนื้อหาทุกประเภท ผมเคยลองใช้เทคนิคการอ่านเร็วกับบทกวี และสูตรคณิตศาสตร์ ผลคือ งงไปหมด

ทางแก้: Kam Knight อธิบายชัดเจนว่าเทคนิควนี้เหมาะกับ:

  • หนังสือนิยาย
  • หนังสือธุรกิจและการพัฒนาตนเอง
  • รายงาน บทความข่าว
  • เอกสารทั่วไป

ไม่เหมาะกับ:

  • ตำราเรียนที่ต้องจำรายละเอียด
  • บทกวี สาขาเศรษฐศาสตร์
  • เอกสารกฎหมายที่ต้องเข้าใจทุกคำ
  • สูตรคณิตศาสตร์

ผลลัพธ์หลังจาก 6 เดือน

หลังจากฝึกฝนมา 6 เดือน ผมสามารถ:

  • อ่านหนังสือ 200-250 หน้าได้ใน 1.5-2 ชั่วโมง
  • อ่านรายงานที่ซับซ้อนได้เร็วขึ้น 3 เท่า
  • ติดตามข่าวสารและอัปเดตความรู้ได้มากขึ้น
  • มีเวลาว่างมากขึ้นสำหรับกิจกรรมอื่นๆ

ที่สำคัญคือ ไม่ได้เสียความเข้าใจ แต่กลับยังเข้าใจได้ดีขึ้น เพราะได้เห็นภาพใหญ่และเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีกว่า

เทคนิคขั้นสูง: Photo Reading

ส่วนท้ายของหนังสือ Kam Knight แนะนำเทคนิคที่เรียกว่า “Photo Reading” ซึ่งเป็นการมองหน้ากระดาษแบบผ่อนคลาย ไม่มุ่งเน้นอ่านทีละคำ แต่ให้สมองจับภาพรวมของทั้งหน้า

วิธีทำ:

  1. หลับตาผ่อนคลาย
  2. เปิดตามองหน้ากระดาษแบบ “soft focus” (ไม่จ้องจุดใดจุดหนึ่ง)
  3. พลิกหน้าเร็วๆ ประมาณ 2-3 วินาทีต่อหน้า
  4. ให้สมองเก็บภาพไว้ก่อน จะค่อยดึงข้อมูลออกมาทีหลัง

เทคนิคนี้ยากมาก ผมยังใช้ไม่คล่อง แต่ Kam Knight บอกว่าเป็นเทคนิคสำหรับคนที่ฝึกมาแล้วหลายปี

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

หากคุณสนใจอยากลองฝึกการอ่านเร็ว ผมแนะนำให้:

เริ่มจากพื้นฐาน:

  1. ฝึกหยุดการอ่านออกเสียงในใจก่อน
  2. ใช้นิ้วชี้นำทางสายตา
  3. หลีกเลี่ยงการอ่านย้อนกลับ

ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง:

  • ตั้งเป้าฝึก 15-20 นาทีทุกวัน
  • เริ่มจากหนังสือง่ายๆ ที่เข้าใจได้ไม่ยาก
  • อย่าเร่งรีบ ค่อยๆ เพิ่มความเร็ว

เลือกเนื้อหาที่เหมาะสม:

  • เริ่มจากนิยาย หนังสือธุรกิจ หรือบทความข่าว
  • หลีกเลี่ยงตำราเรียนหรือเนื้อหาเทคนิคในระยะแรก

สรุป

การอ่านเร็วเปลี่ยนชีวิตผมจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องการอ่านหนังสือเร็วขึ้น แต่เป็นการเปิดโลกของข้อมูลและความรู้ที่กว้างใหญ่กว่าเดิม

หนังสือของ Kam Knight เป็นมากกว่าคู่มือการอ่านเร็ว มันเป็นการปฏิวัติวิธีคิดเรื่องการเรียนรู้ จากคนที่เคยกลัวหนังสือหนาๆ กลายเป็นคนที่อ่านหนังสือเดือนละ 10-15 เล่ม

ถึงแม้จะใช้เวลาในการฝึกฝน และบางครั้งก็รู้สึกท้อใจเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาด แต่เมื่อมองย้อนกลับ การลงทุนเวลา 3-6 เดือนแรกเพื่อเรียนรู้ทักษะนี้ คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้รับตลอดชีวิต

สุดท้ายนี้ ผมอยากบอกว่าการอ่านเร็วไม่ใช่เวทมนตร์ มันเป็นทักษะที่ฝึกได้ เหมือนกับการขับรถหรือว่ายน้ำ ใครก็สามารถเรียนรู้ได้ หากมีความอดทนและฝึกฝนอย่างถูกวิธี

หนังสือ “Speed Reading” ของ Kam Knight เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก และหากคุณกำลังมองหาวิธีจัดการกับข้อมูลที่ท่วมท้นในยุคนี้ ผมขอแนะนำให้ลองอ่านดู คุณอาจจะพบว่าชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment