ลองนึกภาพดูสิครับ คุณกำลังเลื่อนดู Facebook, Instagram หรือ TikTok แล้วหยุดเพื่อดูโพสต์หนึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการตัดสินใจว่าจะดูต่อหรือเลื่อนผ่านไป นั่นแหละคือสิ่งที่ Brendan Kane เรียกว่า “โลก 3 วินาที” ที่เราทุกคนกำลังใช้ชีวิตอยู่

Kane ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลที่เคยช่วยดารานักร้องอย่าง Taylor Swift และ Rihanna สร้าง follower หลายล้านคน ได้เขียนหนังสือ “Hook Point: How to Stand Out in a 3-Second World” เพื่อสอนเราว่าจะสร้าง “จุดเกี่ยว” ให้คนหยุดมาสนใจเราได้อย่างไร

ทำไมต้อง 3 วินาที?

เคยสังเกตไหมครับว่าเวลาเราเปิด social media เราจะเลื่อนเร็วแค่ไหน? Kane บอกว่าคนเราใช้เวลาเฉลี่ยแค่ 1.3 วินาทีในการดูแต่ละโพสต์ แล้วตัดสินใจว่าจะสนใจหรือไม่ ถ้าเป็น 3 วินาทีแรกที่คุณทำให้คนหยุดสนใจได้ ถือว่าคุณชนะไปแล้วครึ่งทาง

ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราเดินผ่านร้านขายของ สิ่งแรกที่ดึงดูดใจเราคืออะไร? ป้ายหน้าร้าน สีสัน หรือของที่วางโชว์หน้าร้าน ถ้าไม่ดึงดูดใจใน 3 วินาทีแรก เราก็จะเดินผ่านไปเลย

4 องค์ประกอบของ Hook Point ที่ดี

Kane แยก Hook Point ที่ดีออกเป็น 4 ส่วนหลัก:

1. Pattern Interruption – ทำสิ่งที่ไม่คาดคิด

สมองของคนเราชอบสิ่งที่คุ้นเคย แต่เมื่อเจอสิ่งที่แปลกใหม่หรือไม่เหมือนใคร จะหยุดสนใจทันที

ตัวอย่างที่ Kane ยกมาคือ การโฆษณารถยนต์ที่ใช้เด็กผู้ชายน้อยขับรถสปอร์ตแทนผู้ใหญ่ หรือร้านอาหารที่ให้พนักงานร้องเพลงขณะเสิร์ฟอาหาร สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหยุดมองเพราะไม่เหมือนที่เคยเห็น

ในไทยเรามีตัวอย่างที่ดีคือ โฆษณาของ Thai Life Insurance ที่มักจะเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนโฆษณาประกันทั่วไป แต่เล่าเรื่องความรัก ครอบครัว หรือมิตรภาพ จนคนดูไม่รู้ว่ากำลังดูโฆษณาประกัน

2. Curiosity – สร้างความอยากรู้

คนเราชอบเรื่องที่ทำให้อยากรู้ต่อ เหมือนตอนเราดูซีรีส์แล้วตอนจบทำให้เราอยากดูตอนต่อไป

Kane เล่าถึงวิดีโอหนึ่งที่เขาทำให้ลูกค้า เริ่มต้นด้วยประโยค “สิ่งที่ฉันจะบอกคุณในวิดีโอนี้ จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณตลอดไป” แค่ประโยคเดียวทำให้คนดูอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไร

ตัวอย่างในชีวิตจริง เวลาเราโพสต์ในกลุ่ม Facebook แทนที่จะเขียนว่า “ขายรองเท้าคู่ละ 500 บาท” ลองเปลี่ยนเป็น “รองเท้าคู่นี้ทำให้ฉันเจอคนรัก… (เรื่องจริง)” คนจะอยากอ่านต่อมากกว่า

3. Immediate Value – ให้คุณค่าทันที

คนจะสนใจเมื่อรู้สึกว่าจะได้อะไรกลับไปทันที ไม่ต้องรอ

Kane ยกตัวอย่าง YouTuber ที่ทำคลิป “3 วิธีลดน้ำหนัก 5 กิโลใน 1 เดือน” คนที่อยากลดน้ำหนักจะคลิกดูทันที เพราะรู้ว่าจะได้เทคนิคที่ใช้งานได้จริง

หรือเวลาเราเห็นโพสต์ “5 ร้านอาหารอร่อยราคาถูกในสยาม” คนที่ชอบกินจะสนใจทันที เพราะได้ข้อมูลที่นำไปใช้ได้เลย

4. Entertainment – สร้างความบันเทิง

คนชอบสิ่งที่ทำให้หัวเราะ สนุก หรือเกิดอารมณ์ดีๆ

Kane เล่าถึงแบรนด์หนึ่งที่ขายเสื้อผ้า แต่โพสต์วิดีโอของพนักงานเต้นแปลกๆ ในร้าน ทำให้คนดูสนุกและจำแบรนด์ได้

ในไทยเรามี “ป๋าเต็ด ภัทรพล” ที่ขายของโดยใช้การพูดตลกๆ ทำให้คนดูสนุกและจำได้ หรือร้านน้ำปั่นที่ให้พนักงานเต้นขณะปั่นน้ำ ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ

กลยุทธ์การทดสอบและปรับปรุง

Kane เน้นว่าการสร้าง Hook Point ไม่ใช่เรื่องเดาใจ แต่ต้องทดสอบและวัดผล

เขายกตัวอย่างลูกค้าคนหนึ่งที่ทำธุรกิจขาย course ออนไลน์ เริ่มแรกโพสต์วิดีโอแบบเดิมๆ ได้ผลไม่ดี แต่เมื่อเปลี่ยนมาเล่าเรื่องส่วนตัวว่าเขาเคยล้มเหลวอย่างไรก่อนจะมาสำเร็จ ยอดขายเพิ่มขึ้น 300%

วิธีการทดสอบที่ Kane แนะนำ:

  • สร้าง content หลายแบบสำหรับเรื่องเดียวกัน
  • ดูว่าแบบไหนได้ engagement สูงที่สุด
  • นำแบบที่ดีที่สุดไปพัฒนาต่อ
  • ทำซ้ำกระบวนการนี้เรื่อยๆ

ตัวอย่างการใช้งานจริง

สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แทนที่จะโพสต์รูปกาแฟธรรมดา เปลี่ยนมาโพสต์วิดีโอบาริสต้าวาดลายน่ารักๆ บนหน้ากาแฟ พร้อมเพลงเพราะๆ ทำให้คนอยากมาลองดู

สำหรับ Influencer

YouTuber คนหนึ่งที่ทำเนื้อหาเกี่ยวกับการเงิน แทนที่จะเริ่มต้นวิดีโอด้วย “สวัสดีครับวันนี้เราจะมาพูดเรื่องการลงทุน” เปลี่ยนมาเป็น “ผมเพิ่งเสียเงินไป 50,000 บาทเพราะการตัดสินใจผิดพลาดนี้” ทำให้คนอยากดูต่อว่าเขาทำผิดอะไร

สำหรับการหางาน

เวลาเขียน Resume แทนที่จะเขียน “มีประสบการณ์การทำงาน 5 ปี” ลองเปลี่ยนเป็น “ช่วยบริษัทเก่าเพิ่มยอดขาย 40% ใน 2 ปี ด้วยวิธีการแบบนี้…”

เทคนิคขั้นสูง: The Hook Stack

Kane พัฒนาเทคนิคที่เรียกว่า “Hook Stack” คือการใช้ Hook หลายๆ อันต่อเนื่องกัน

ตัวอย่าง:

  • Hook แรก: ดึงดูดให้คลิกดู (Curiosity)
  • Hook ที่สอง: ทำให้อยากดูต่อ (Pattern Interruption)
  • Hook ที่สาม: ให้คุณค่า (Immediate Value)
  • Hook ที่สี่: ทำให้จำได้ (Entertainment)

เหมือน Netflix ที่มี thumbnail น่าสนใจ (Hook แรก) แล้วเริ่มต้นซีรีส์ด้วยฉากแอ็คชั่น (Hook ที่สอง) ต่อด้วยเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม (Hook ที่สาม) และมีตัวละครที่น่ารัก (Hook ที่สี่)

การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

การนำเสนองาน

แทนที่จะเริ่มด้วย “ผมชื่อ… วันนี้จะมาเสนอเรื่อง…” ลองเริ่มด้วย “ถ้าผมบอกว่าเราสามารถเพิ่มกำไรได้ 50% โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุน คุณจะเชื่อไหม?”

การขายของออนไลน์

แทนที่จะโพสต์ “ขายกระเป๋า สวย ราคาดี” ลองเปลี่ยนเป็น “กระเป๋าใบนี้ช่วยชีวิตผมตอนเดินทางครั้งนั้น… (เรื่องจริง)”

การสร้างความสัมพันธ์

เวลาไปงานปาร์ตี้แทนที่จะแนะนำตัวว่า “สวัสดีครับ ผมทำงานที่บริษัท…” ลองเปลี่ยนเป็น “ผมเพิ่งกลับจากประเทศที่แปลกที่สุดในโลก คุณเดาดูสิว่าที่ไหน?”

อุปสรรคและวิธีแก้ไข

อุปสรรคที่ 1: กลัวทำแปลกเกินไป

หลายคนกลัวว่าถ้าทำแปลกเกินไปจะดูไม่เป็นมืออาชีพ Kane บอกว่าให้เริ่มเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ต้องแปลกมากในครั้งแรก

อุปสรรคที่ 2: ไม่รู้จะทำอะไร

ให้ดูคู่แข่งหรือคนในแวดวงเดียวกันว่าเขาทำอะไร แล้วคิดว่าจะทำอย่างไรให้แตกต่าง

อุปสรรคที่ 3: ทำแล้วไม่ได้ผล

Kane เตือนว่าต้องใจเย็น การทดสอบต้องใช้เวลา บางทีอาจต้องลองหลายครั้งกว่าจะเจอสูตรที่ใช่

สรุป: กุญแจสำคัญของการสร้าง Hook Point

หนังสือ “Hook Point” ไม่ได้สอนแค่เทคนิคการตลาด แต่สอนการเข้าใจธรรมชาติของคน ว่าเราสนใจอะไร ชอบอะไร และจะหยุดดูอะไร

สิ่งสำคัญที่สุดที่ Kane อยากให้เราจำคือ ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร การที่จะให้คนหยุดมาสนใจเราได้ เราต้องทำสิ่งที่แตกต่าง ให้คุณค่า และน่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตะโกนเสียงดังที่สุด

การสร้าง Hook Point ที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เริ่มจากการสังเกตว่าอะไรทำให้เราหยุดสนใจ แล้วลองนำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เราทำ

จำไว้ว่า ในโลก 3 วินาที คุณมีโอกาสเพียงหนึ่งเดียวในการสร้างความประทับใจแรก ใช้โอกาสนั้นให้คุ้มค่าที่สุด

ท้ายที่สุดแล้ว Hook Point ที่ดีที่สุดคือสิ่งที่มาจากใจจริง มีคุณค่า และสะท้อนตัวตนของเราได้อย่างแท้จริง เมื่อเราทำได้แบบนั้น คนจะไม่แค่หยุดมาดูเราเพียง 3 วินาที แต่จะติดตามเราไปอีกนานแสนนาน

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment