📌 ประเด็นที่ต้องพิจารณา

  1. ค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าจ้าง และต้องนำมาคิดรวมในการคำนวณค่าชดเชย
  2. การโยกย้ายลูกจ้างที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเกินควร และการเลิกจ้างโดยไม่ตักเตือน

🔹 ค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าจ้าง ต้องนำมาคำนวณค่าชดเชย

  • โจทก์เป็น พนักงานขาย และได้รับค่าคอมมิชชั่นตามยอดขายรายเดือน
  • ค่าคอมมิชชั่นถือเป็นค่าจ้าง เพราะเป็นค่าตอบแทนที่นายจ้างจ่ายให้ตามผลการทำงานในเวลาปกติ
  • การคำนวณค่าชดเชย ต้องพิจารณารายได้ย้อนหลังตามระยะเวลาทำงาน
  • ในคดีนี้ ศาลแรงงานกำหนดค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 125,100 บาท (เฉลี่ยรายได้เดือนละ 41,700 บาท)
  • แต่ ไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับรายได้ในช่วง 90 วันสุดท้าย จึงต้องให้ศาลแรงงานภาค 8 ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม

🔹 การโยกย้ายที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเกินควร

  • โจทก์ถูก ย้ายจากภูเก็ตไปหัวหิน ตามนโยบายของนายจ้าง
  • แม้ใน ใบสมัครงานระบุว่าสามารถย้ายไปต่างจังหวัดได้ และบริษัทมีสิทธิ์โยกย้ายพนักงาน
  • แต่คำสั่งโยกย้ายเกิดขึ้นเพียง 2 วันก่อนเลิกจ้าง ทำให้โจทก์ไม่มีเวลาตัดสินใจอย่างรอบคอบ
  • การปฏิเสธของโจทก์จึง ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอย่างร้ายแรง
  • นายจ้างจึงไม่มีสิทธิเลิกจ้างทันทีโดยไม่ตักเตือนเป็นหนังสือ

⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

✅ ค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าจ้าง ต้องนำมาคำนวณค่าชดเชย
✅ การโยกย้ายที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเกินควร ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งร้ายแรง
✅ นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ต้องพิจารณารายได้ย้อนหลังให้ถูกต้อง

📢 ข้อสรุปสำคัญจากคดีนี้

🔹 ค่าคอมมิชชั่นถือเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน ต้องนำมาคิดค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง
🔹 การโยกย้ายที่ส่งผลกระทบต่อพนักงานมากเกินไป อาจเป็นเหตุให้เลิกจ้างโดยไม่มีมูล
🔹 นายจ้างไม่สามารถเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า หากลูกจ้างปฏิเสธการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม
🔹 การคำนวณค่าชดเชยต้องอิงจากรายได้ย้อนหลังที่ชัดเจน ไม่ใช่เฉลี่ยแบบกะเกณฑ์

💡 บทเรียนจากคดี: ลูกจ้างควร เก็บหลักฐานรายได้ย้อนหลัง เช่น สลิปเงินเดือน ใบแจ้งค่าคอมมิชชั่น เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณค่าชดเชยหากมีปัญหาการเลิกจ้าง!

คำพิพำกษาศาลฎีกาที่ ๕๐๘๒/๒๕๕๘

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment