
สรุปเนื้อหา:
- พื้นฐานของคดี:
โจทก์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่ระบุว่าโจทก์ไม่ได้ถูกเลิกจ้าง แต่ลาออกเอง โจทก์ยืนยันว่าการที่นายจ้างเดิมเลิกกิจการและโอนการดำเนินงานให้นาง ย. แต่โจทก์ไม่ยินยอมไปทำงานกับนาง ย. ถือเป็นการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน นายจ้างเดิมจึงต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า - ข้อเท็จจริง:
- นายจ้างเดิม (จำเลยที่ 2) แจ้งเลิกกิจการในเดือนตุลาคม 2550 และจะโอนกิจการให้นาง ย. ดำเนินการต่อ
- โจทก์แจ้งว่าไม่ต้องการทำงานกับนาง ย. แต่จะช่วยงานต่อไปประมาณ 2-3 เดือน
- นายทะเบียนจดเลิกห้างในวันที่ 6 ธันวาคม 2550 และโจทก์ทำงานถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่นายจ้างเดิมจ่ายค่าจ้าง
- เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2551 นาง ย. เริ่มเปิดดำเนินการ แต่โจทก์ไม่ไปทำงานและคืนกุญแจสำนักงานให้
- ข้อกฎหมาย:
- การที่นายจ้างเดิมเลิกกิจการและโอนให้บุคคลอื่นดำเนินการต่อ แต่ลูกจ้างไม่ยินยอมโอนไปทำงานด้วย ถือว่าเป็นกรณีนายจ้างเดิมเลิกจ้างตาม มาตรา 118 วรรคสอง
- นายจ้างเดิมต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง เพราะถือว่าไม่สามารถให้ลูกจ้างทำงานต่อไปได้
- คำพิพากษา:
ศาลแรงงานภาค 9 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม โดยระบุว่าการเลิกกิจการของนายจ้างเดิมและการโอนกิจการให้บุคคลอื่น โดยไม่มีข้อตกลงกับลูกจ้าง ถือเป็นการเลิกจ้าง
บทสรุป:
เมื่อนายจ้างเดิมเลิกกิจการและโอนการดำเนินงานให้บุคคลอื่น แต่ลูกจ้างไม่ยินยอมโอนตามไปด้วย การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเลิกจ้าง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายแรงงาน
อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๙๔๓/๒๕๕๗ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน)
#hrรีพอร์ต
Leave a comment