
สรุปเนื้อหา:
- ข้อเท็จจริงของคดี:
โจทก์กับพวกรวม 465 คน ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน(จำเลย) เพื่อเรียกร้องให้จ่ายสวัสดิการค่าเงินครองชีพและค่าระดับงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยสภาพการจ้าง รวมถึงค่าทำงานนอกเวลา (โอที) ที่ขาดหายไป เนื่องจากจำเลยไม่นำค่าเงินครองชีพและค่าระดับงานมาเป็นฐานในการคำนวณ - ประเด็นทางกฎหมายที่ต้องพิจารณา:
ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยว่าค่าเงินครองชีพและค่าระดับงานเป็น “ค่าจ้าง” ตาม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หรือไม่ - คำวินิจฉัยของศาล:
- ก่อนมีบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จำเลยและสหภาพแรงงานยอมรับร่วมกันว่าค่าเงินครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง และใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลา
- ในบันทึกข้อตกลงที่ภายหลังมีการปรับค่าเงินครองชีพเป็น 2,200 บาท ยังคงยืนยันว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่ต้องใช้คำนวณค่าล่วงเวลาเช่นเดิม
- ดังนั้น ค่าเงินครองชีพถือว่าเป็น “ค่าจ้าง” ตามนิยามในกฎหมายแรงงาน
- บทสรุป:
ศาลฎีกาพิพากษาว่าค่าเงินครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างตามกฎหมาย และจำเลยต้องนำไปใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาและค่าทำงานนอกเวลาให้แก่โจทก์
บทเรียนจากคดี:
นายจ้างต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงและกฎหมายแรงงานที่ระบุให้ค่าเงินครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ทั้งนี้เพื่อปกป้องสิทธิของลูกจ้างในการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมตามกฎหมาย.
อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๐๒-๑๙๙๖๖/๒๕๕๖
#hrรีพอร์ต
Leave a comment