สรุปประเด็นสำคัญในคดี
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเหมาค่าแรง ฟ้องบริษัท ค. (นายจ้างผู้ประกอบกิจการ) และบริษัท ถ. (นายจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง) โดยอ้างว่า ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม และเรียกร้องค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

ข้อเท็จจริงในคดี

  1. สถานะการจ้างงาน
    • บริษัท ถ. ส่งตัวโจทก์ไปทำงานที่บริษัท ค. ในตำแหน่งพนักงานฝ่ายผลิต
    • บริษัท ค. เป็นผู้กำหนดลักษณะงานของโจทก์ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตของบริษัท ค.
  2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    • โจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ค. และบริษัท ถ. ในข้อหาปฏิบัติไม่เสมอภาค
    • หลังการฟ้องร้อง บริษัท ค. ส่งคืนตัวโจทก์กลับบริษัท ถ. โดยยึดบัตรพนักงาน คืนชุดพนักงาน และไม่อนุญาตให้ทำงานในโรงงานของตนอีก
  3. ผลต่อสถานะการจ้างงาน
    • บริษัท ถ. ซึ่งเป็นนายจ้างตามสัญญา ยังคงรับตัวโจทก์กลับเข้าทำงาน และจัดการจ่ายค่าจ้างเท่าเดิม
    • โจทก์ไม่ได้มาทำงานกับบริษัท ถ. ตามที่ได้รับข้อเสนอ

คำพิพากษาศาลแรงงานและศาลฎีกา

  1. ศาลแรงงานภาค 2
    • พิจารณาว่า การที่บริษัท ค. คืนตัวโจทก์โดยไม่จ่ายค่าจ้าง ถือเป็นการเลิกจ้าง
    • บริษัท ค. ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ไม่รับฟ้องเรื่องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
  2. ศาลฎีกา
    • เห็นว่า บริษัท ค. ส่งคืนตัวโจทก์ให้บริษัท ถ. ตามสัญญาเหมาแรงงาน ไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง
    • การที่บริษัท ถ. ยังรับโจทก์กลับเข้าทำงาน โดยกำหนดค่าจ้างและสวัสดิการเท่าเดิม แสดงว่าไม่ได้สิ้นสุดสถานะลูกจ้าง
    • การยึดบัตรหรือคืนชุดพนักงานเป็นเพียงขั้นตอนการส่งคืนตัวตามสัญญา ไม่ได้บ่งบอกถึงการเลิกจ้าง

ข้อสรุป

  • การส่งคืนลูกจ้างให้บริษัทนายจ้างตามสัญญาเดิม ไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง
  • โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยหรือค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
  • ศาลพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีนี้ทั้งหมด

ข้อควรทราบ
กรณีนี้เน้นย้ำว่า การคืนตัวลูกจ้างตามสัญญาเหมาแรงงานถือเป็นกระบวนการปกติ หากนายจ้างเดิมยังคงสถานะลูกจ้างโดยไม่ขาดช่วง ผู้ฟ้องต้องมาทำงานตามข้อตกลงเพื่อรักษาสิทธิในสถานะของตนเอง.

อ้างอิงจาก คำพิพำกษาศาลฎีกาที่ ๔๖๐๐/๒๕๖๑ (เหมาค่าแรง มาตรา ๑๑/๑)

#hrรีพอร์ต

Posted in

Leave a comment