
พนักงานหนุ่มวัย 30 ต้น ๆ ชื่อสมชาย ทำงานเป็นพนักงานควบคุมในบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยความขยันขันแข็งและทุ่มเทให้กับงาน เขาสวมบทบาทพนักงานระดับ 3 ด้วยเงินเดือน 21,042.71 บาท พร้อมรายได้เสริมจากเบี้ยเลี้ยงและค่าล่วงเวลา ชีวิตดูเรียบง่ายและน่าพอใจ
แต่แล้ว “วันนั้น” ก็มาถึง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 เมื่อนายจ้างประกาศเลิกจ้างอย่างกะทันหัน โดยกล่าวหาว่าเขาทุจริตในหน้าที่ ราวกับฟ้าถล่ม สมชายถึงกับช็อก เขาสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันว่าตนไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใด
เริ่มต้นการต่อสู้ในศาลแรงงาน สมชายส่งเสียงเรียกร้องความเป็นธรรม เรียกค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการถูกเลิกจ้าง แต่ศาลแรงงานภาค 5 กลับพิพากษายกฟ้อง โดยเชื่อว่านายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุผลที่สมควร
ไม่ยอมแพ้ สมชายยื่นอุทธรณ์ เขาเชื่อมั่นในความถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็นการหักค่าจ้าง ซึ่งเขาเห็นว่าไม่เป็นธรรม แต่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษกลับมีความเห็นแตกต่าง
ศาลวินิจฉัยว่า การหักเงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์นั้นถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากสมชายเองได้ลงนามในสัญญากู้เงิน ซึ่งอนุญาตให้นายจ้างสามารถหักเงินส่งให้สหกรณ์ออมทรัพย์ได้ การหักเงินดังกล่าวสอดคล้องกับมาตรา 76 และ 77 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ในที่สุด ศาลอุทธรณ์ก็ยืนยันคำตัดสินเดิม ระบุว่าอุทธรณ์ของสมชายฟังไม่ขึ้น เพราะการหักเงินเป็นไปตามกฎหมายและข้อตกลง
เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความยุติธรรมในโลกแรงงาน ที่ไม่ใช่เสมอไปว่าความรู้สึกจะชนะตรรกะของกฎหมาย บางครั้งความจริงก็ซ่อนอยู่ในตัวบทกฎหมายและข้อตกลงที่เราเคยลงนามไป
อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 651/๒๕๖2
#hrรีพอร์ต
Leave a comment